ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1503 ท่านปู่ลงมือเป็นพ่อครัว
เฟิงฉีเอ๋อร์กล่าว “แม้ว่าคัมภีร์หมื่นคำสาปจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนให้เผ่าสัตว์เทพดูแลรักษา แต่เผ่าคำสาปก็ไม่เคยคิดล้มเลิกความคิดที่จะแย่งชิงมันไปเลย”
“หลังจากเวลาผ่านไป เผ่าสัตว์เทพทั้งสามเกิดโชคร้ายขึ้น เผ่าคำสาปมีคนคอยหนุนหลังอยู่ สถานการณ์ตอนนั้นของเผ่าสัตว์เทพย่ำแย่มาก”
“สามร้อยปีก่อน เผ่ากิเลนถูกทำลายล้างเผ่าไปแล้ว มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่หนีรอดมาได้”
“หากไม่ใช่เพราะว่าข้าบาดเจ็บสาหัส ข้าคงไม่ถูกเจ้าหมอนี่เล่นงานจนต้องมาถูกทำพันธสัญญาหรอก” เฟิงฉีเอ๋อร์จ้องมองไปที่ท่านปู่พลางกล่าว
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความตกใจว่า “เผ่ากิเลนถูกทำลายล้างเผ่าอย่างนั้นเหรอเจ้าคะ”
เฟิงฉีเอ๋อร์กล่าว “ใช่! ความแค้นของเผ่าในครั้งนี้ ข้าสาบานว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้! ซีเอ๋อร์ไปที่เผ่ามังกรมาแล้ว สถานการณ์ที่นั่นซีเอ๋อร์ก็คงจะรู้แล้วกระมัง”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “สถานการณ์ทางด้านเผ่ามังกรก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นถูกทำลายล้างเผ่า ส่วนเผ่าหงส์ไม่รู้จะเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
อย่างไรเสียนางก็ยังไม่ได้คัมภีร์หมื่นคำสาปอีกส่วนของเผ่าหงส์มา
เฟิงฉีเอ๋อร์กล่าว “คัมภีร์หมื่นคำสาปยังไม่ได้ตกไปอยู่ในกำมือของเผ่าคำสาปแน่นอน มิเช่นนั้นพวกมันคงไม่อยู่อย่างสงบเช่นนี้หรอก”
“อืม!” จิ่วเยี่ยพยักหน้าพลางกล่าว
ท่านปู่กล่าว “ฉีเอ๋อร์อยู่กับข้า มีข้าคอยบดบังเอาไว้ คนของเผ่าคำสาปไม่มีวันเจอนางได้แน่นอน”
“พรสวรรค์ของเฟิงอวิ๋นต้านสวรรค์มากจนทุกคนจับตามองไปที่เขา รวมถึงเฟิงหลิงอีก จากนั้นตัวตนของฉีเอ๋อร์จึงถูกเปิดเผย ผู้อาวุโสทั้งสิบสามคนของเผ่าคำสาปห้อมล้อมพวกเรา ข้า…ข้าอ่อนแอยิ่งนัก เป็นตัวถ่วงฉีเอ๋อร์”
“นางถูกคำสาปแต่ก็ยังพาข้าหนี หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าไม่ได้สนใจเฟิงอวิ๋นและน้อง ๆ ของเขาเลย เอาแต่รีบคิดหาทางแก้คำสาปให้ได้”
“ข้าทิ้งพวกเขาไว้ ให้เฟิงอวิ๋นที่อายุยังน้อยอยู่ในตอนนั้นดูแลน้องชายทั้งสองของเขาในวังตงหวงอันใหญ่โต ที่ห้อมล้อมไปด้วยอันตรายรอบด้าน”
“พิธีแต่งงานที่แสนยิ่งใหญ่ของเฟิงอวิ๋น ข้าก็ไม่ได้ไปร่วม!”
“หลานชายของข้ากำเนิดเกิดมา ข้าก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียน”
“แม้กระทั่งเฟิงอวิ๋นถูกใส่ร้าย ถูกลอบสังหาร ตกระกำลำบากจนแยกจากกันไป ข้าก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย”
“อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้อยู่ทำหน้าที่พ่อเลย เขาต้องโกรธเกลียดข้ามากแน่นอน”
ท่านปู่รู้สึกเสียใจ และเจ็บปวดใจยิ่งนัก!
เฟิงฉีเอ๋อร์เองก็ทั้งทอดถอนใจและเจ็บปวดใจเช่นกัน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อนาง
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็แดงก่ำขึ้น
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า “ท่านปู่ ข้าว่าท่านพ่อไม่มีทางกล่าวโทษโกรธเคืองท่านแน่นอน! ต่อให้ท่านปู่มีเรื่องมากมายที่ต้องทำ แต่ท่านปู่ก็พยายามปกป้องท่านแม่ของพวกเขา และไม่ทำให้ท่านพ่อกับท่านอาทั้งสองต้องสูญเสียผู้เป็นแม่ไปไม่ใช่หรอกหรือเจ้าคะ?”
“ท่านปู่! หลายปีที่ผ่านมาท่านปู่ลำบากมามากแล้ว”
แม้ว่าคำสาปนั้นจะไม่ได้รุนแรงและน่ากลัวเหมือนดั่งคำสาปของจิ่วเยี่ย แต่หากไม่ใช่เพราะท่านปู่พยายามทำทุกวิถีทางแล้วละก็ คงไม่มีทางอดทนมาได้ถึงตอนนี้แน่นอน
จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึมว่า “หากเป็นข้า ข้าก็เลือกที่จะทำเช่นเดียวกัน”
ซีสำคัญที่สุด สำคัญที่สุดแล้ว!
เพื่อคนรักแล้ว ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างอย่างโหดร้ายได้
ท่านปู่รู้สึกดีใจมาก เขากลัวจะถูกหลานสาวทอดทิ้ง นึกไม่ถึงเลยว่าซีเอ๋อร์จะเข้าอกเข้าใจเขามากถึงเพียงนี้
มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านปู่! เราคือครอบครัวเดียวกัน! เข้าอกเข้าใจกันและกันมันเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว ท่านปู่อย่าได้กล่าวโทษตัวเองเลย”
“ตอนนี้ท่านปู่ท่านย่าก็ปลอดภัยดีแล้ว สำหรับข้า สำหรับครอบครัวของข้า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดแล้ว”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้พูดคุยกันมากมาย! อีกทั้งยังมีเรื่องของท่านอาเล็กของนางอีกด้วย
ท่านปู่กล่าว “ตอนที่รับอวู่ซวงมา ฉีเอ๋อร์บอกว่าเด็กคนนั้นเหมือนนางมาก เป็นเด็กที่สิ้นหวัง พเนจรไร้บ้าน พวกเราจึงรับเขามาเลี้ยงเป็นลูกชาย”
“พยายามคิดหาทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งพิษในร่างกายเขา แต่รับเขามาเลี้ยงได้ไม่นาน ก็เกิดเรื่องขึ้นกับพวกเรา”
มู่เฉียนซีกล่าว “พิษในร่างท่านอาเล็กถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่เขาไปที่โลกภูต (โลกปีศาจ) แล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ตอนนี้ท่านอาเล็กจะเป็นเช่นไรบ้าง”
อีกเรื่องที่ทำให้มู่เฉียนซีมีความสุขมากนั่นก็คือเรื่องของท่านพ่อ และท่านแม่ของนาง
คำสาปของท่านย่าล้างคำสาปไปได้แล้ว รอให้หาท่านพ่อและคนอื่น ๆ เจอ ครอบครัวของนางก็จะกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง
ตอนนี้ทั่วทั้งตำหนักเป่ยหานล้วนแต่อิ่มเอมไปด้วยความสุข และความสนุกสนาน เมื่อท่านปู่รู้สึกดีอกดีใจจนความสุขล้นทะลักออกมาเช่นนี้ ทันทีที่ตะวันโผล่ขึ้นเส้นขอบฟ้า ท่านปู่ก็รีบไปที่ห้องครัวในทันที
เขาเดินทอดน่องไปด้วยท่าทางมีความสุข มู่เฉียนซีมองดูรอยยิ้มนั้นบนใบหน้าเขา
จากนั้นต่อมา เมื่อถึงเวลาอาหาร ท่านปู่ก็ได้เชิญทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน
เขายิ้มพลางกล่าวว่า “วันนี้ข้าอารมณ์ดี ลงมือกับอาหารให้ทุกคนกินเองกับมือเลย มา ๆ ๆ! นั่งลง ๆ อย่าได้เกรงใจเชียว!”
ทุกคนล้วนแต่รู้ดีว่าชายชราท่านนี้คือท่านปู่ของมู่เฉียนซี จึงเกรงใจเขามาก
คนที่หน้าด้านหน้าทนมากที่สุดก็คือเชียนอ้าวเซี่ย เขากล่าวออกมาว่า “ท่านปู่! ฝีมือของท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก อาหารมากมายเช่นนี้ ท่านปู่เป็นคนทำทั้งหมดเลยเหรอขอรับ!”
“ลำบากท่านแล้วขอรับ” น่าหลานอวี้กล่าวอย่างมีมารยาท
“นึกไม่ถึงเลยว่าท่านปู่จะเป็นพ่อครัวด้วย ช่างเป็นลาภปากยิ่งนัก”
จำต้องบอกเลยว่าอาหารที่ท่านปู่ทำนั้น ดูจากภายนอกแล้วไม่เลวเลย อีกทั้งยังชวนให้น้ำลายไหลน่ากินมากอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อเจ้าตะกละจวินเห็นอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะเช่นนี้ก็น้ำลายไหลย้อยลงมาทันที หากไม่ใช่เพราะมีผู้อาวุโสอยู่แล้วละก็ เขาคงจะพรวดเข้าไปกินเป็นคนแรกแล้ว
มู่เฉียนซีที่เดินเข้ามาได้ยินคำพูดเหล่านี้ของพวกเขาแล้ว มุมปากของนางก็กระตุกอย่างบ้าคลั่งทันที
สหายโง่เขลา! พวกเจ้าไม่รู้อะไรซะแล้ว ว่าอาหารอันโอชะที่พวกเจ้าคิดว่าอร่อย ความจริงแล้วมันน่ากลัวเพียงใด!
นี่มันที่สุดแล้วจริง ๆ!
ท่านปู่เดินมารับมู่เฉียนซีด้วยท่าทางกระตือรือร้น เขากล่าว “ซีเอ๋อร์มาแล้ว มา ๆ รีบนั่งลงเร็วเข้า มาชิมดูสิว่าฝีมือปู่ของเจ้าก้าวหน้าขึ้นบ้างหรือไม่”
มู่เฉียนซีนั่งลง และทุกคนก็นั่งลงตาม ๆ กัน จากนั้นก็เริ่มกินได้!
และคนที่กินเป็นคนแรก แน่นอนว่าเป็นจวินโม่ซี ก็ใครใช้ให้เจ้าหมอนี่ตะกละกันล่ะ!
หลังจากที่จวินโม่ซีกินเข้าไป เขาก็แน่นิ่งตัวแข็งทื่อดุจดั่งก้อนหินทันที
ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าท่าทางเช่นนี้หมายความเช่นไรกัน?
หรือว่ามันอร่อยเกินไป เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นท่านนักปรุงยาจวินทำท่าทางเช่นนี้ออกมาเลย
เชียนอ้าวเซี่ยยกตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารกิน ผลลัพธ์ที่ได้…
ใบหน้าที่ขาวราวหิมะนั้นพลันดำคล้ำขึ้น!
พระเจ้าช่วย! เกิดมาชาตินี้ ชาติที่แล้ว ชาติของชาติที่แล้วเขาก็ยังไม่เคยกินอาหารที่รสชาติน่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลย
เขาเก็บอาการเอาไว้ และคีบอาหารให้น่าหลานอวี้ด้วยความกระตือรือร้น
“อวี้! เจ้าลองชิมดูสิ ข้าคีบให้!”
“ให้เจ้าด้วย!”
“…”
ภายในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เชียนอ้าวเซี่ยก็คีบอาหารให้น่าหลานอวี้เต็มถ้วยแล้ว
น่าหลานอวี้เองรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง คีบอาหาร เซี่ยก็ต้องคีบให้ซีเอ๋อร์สิถึงจะถูก!
เหตุใดถึงได้บริการเขาดีเช่นนี้ กินยาผิดขวดไปแล้วกระมัง!
และเมื่อน่าหลานอวี้กินเข้าไปคำหนึ่ง มองดูอาหารเต็มถ้วยตรงหน้าก็รู้ทันทีว่าตนเองถูกสหายหลอกเข้าแล้ว!
เยวี่ยเจ๋อและคนอื่น ๆ ต่างก็เริ่มยกตะเกียบคีบอาหารเข้าปากแล้วเช่นกัน แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วก็ตัวสั่นขึ้นทันที
ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ทุกคนล้วนแต่เผยสีหน้าท่าทางตกอกตกใจออกมา ท่านปู่จึงกล่าวว่า “กินต่อสิ! ต้องกินให้หมดนะ อย่าได้กินทิ้งกินขว้างให้สิ้นเปลืองเชียวล่ะ!”
ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่อยากเลือกความตายเสียดีกว่า จวินโม่ซีแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว ในฐานะที่ตนเองเป็นนักชิม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบเจอกับอาหารที่อันตรายถึงแก่ความตายเช่นนี้
และแน่นอนว่ามู่เฉียนซีนั้นไม่กล้ากิน ดังนั้นนางจึงคีบอาหารให้จิ่วเยี่ย
“จิ่วเยี่ย นี่คือน้ำใจของท่านปู่ เจ้าช่วยข้ากินหน่อยนะ รบกวนเจ้าแล้ว!”
องค์ชายจิ่วเยี่ยกินด้วยท่าทางนิ่งสงบ อีกทั้งยังชอบให้มู่เฉียนซีคีบอาหารให้อีกด้วย สิ่งนี้ทำให้คนอื่นขุ่นเคืองยิ่งนัก
เจ้าหมอนี่กินลง เสแสร้งต่อหน้าท่านปู่ได้ พวกเขาก็ทำได้!
เชียนอ้าวเซี่ยจึงเปิดศึกชิงกินอาหารของท่านปู่กับจิ่วเยี่ยขึ้น กินก็กิน ใครจะกลัวกันล่ะ!
พลังความแข็งแกร่งมิอาจสู้หวงจิ่วเยี่ยได้ แต่น่าหลานอวี้ไม่เชื่อว่าเขาจะเอาใจท่านปู่สู้กับจิ่วเยี่ยไม่ได้ เขาคีบอาหารขึ้นมากินพลางยิ้มไป และกล่าวกับท่านปู่ว่า “ฝีมือการทำอาหารของท่านปู่เป็นเลิศจริง ๆ ลำบากท่านปู่แล้ว!”
.
.