ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1531 ซีชอบใคร
ชายชราผู้หนึ่งกำลังขอร้องอ้อนวอนชายหนุ่มผู้หนึ่งให้รับเขาเป็นศิษย์ ภาพเช่นนี้ดู ๆ ไปแล้วช่างแปลกตายิ่งนัก
โม่ซวนมองมู่เฉียนซีด้วยความตื่นตะลึง นางทำได้จริง ๆ ด้วย
มู่เฉียนซีมองชายชราเหล่านี้ และกล่าวว่า “ข้าหลอมยาเสร็จแล้ว ทุกท่านแยกย้ายกลับกันได้แล้ว ข้าต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อน”
กล่าวจบ มู่เฉียนซีก็ไปทันที ส่วนคนกลุ่มนี้ทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของนางไปด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
จากไปง่าย ๆ เช่นนี้เลยอย่างนั้นเหรอ พวกเขาขอร้องอ้อนวอนขอเป็นศิษย์ด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เห็นหรืออย่างไร?
ทำเช่นนี้ช่างทำให้พวกเขารู้สึกเศร้าเสียใจยิ่งนัก!
อย่างไรเสียมู่เฉียนซีก็ไม่ได้สนใจพวกเขาแล้ว พวกเขายืนอยู่หน้าประตูหอหมอปีศาจมองดูด้วยความเศร้าใจ
จากนั้น พวกเขาก็พบว่าโม่ซวนเองก็ยืนตกใจอยู่ข้าง ๆ เช่นกัน พวกเขาจึงพุ่งเข้าไปห้อมล้อมโม่ซวนทันที
“เจ้าหนุ่มตระกูลโม่ ข้ารู้นะว่าเจ้ากับท่านหมอปีศาจสนิทสนมกัน”
“นี่ ๆ ๆ ท่านหมอปีศาจท่านนั้นเขา…”
“……”
โม่ซวนได้รับการปฏิบัติด้วยความสนิทสนมจากบรรดานักปรุงยาเหล่านี้ขึ้นทันใด ด้วยเหตุนี้เขาก็เริ่มใช้วิธีการล่อลวงพวกนักปรุงยาเหล่านี้ทันที
ช่วยไม่ได้ สูตรยามีมากมายนัก!
สุดท้ายกองกำลังของหอหมอปีศาจจึงเป็นที่โด่งดังเป็นอันดับหนึ่งในอาณาเขตหนานหลิง ต่อไปคงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแล้ว
หลังจากที่มอบหมายภาระหน้าที่เสร็จแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าต้องกลับสำนักแล้ว เจ้ากินยาตามเวลาด้วยล่ะ มีเรื่องอันใดก็ติดต่อข้าได้ตลอดเวลา ส่วนมากข้าก็จะอยู่ที่สำนักลั่วเยว่”
โม่ซวนกล่าว “เจ้าไว้ใจข้าถึงเพียงนี้เลยเหรอ!”
มู่เฉียนซีมองโม่ซวนและกล่าวว่า “โม่ซวน เจ้าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เจ้าคงจะรู้ดีว่าหอหมอปีศาจที่ไม่มีหมอปีศาจมันก็ไม่มีประโยชน์อันใด และจะอยู่ได้ไม่นาน”
โม่ซวนกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปจัดการเรื่องของเจ้าเถอะ!”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “โม่ซวน เจ้าก็เชื่อฟังเกินไปแล้วกระมัง!”
จากนั้นโม่ซวนก็ค่อนข้างยุ่ง เนื่องจากการขยายหอหมอปีศาจไปทั่วทั้งอาณาจักรหนานหลิงภายในช่วงเวลาอันสั้น
สถานที่แห่งนี้ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าดินแดนสี่ทิศเลย!
โม่ซวนกล่าว “เฉียนซี เพราะเจ้า ข้าถึงมีโอกาสรอดมาจากความตายนั้นได้ ข้าจะทุ่มเทและทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
“ข้าชอบที่เจ้ามีกำลังใจฉึกเหิมในการทำงาน เจ้าทำดีแล้ว ทำต่อไป” มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว
ทันทีที่ออกจากเมืองโม่ นางก็ถูกชายหนุ่มผู้หนึ่งขวางนางเอาไว้
จิ่วเยี่ยกระซิบข้างหูนางว่า “ซีบอกว่าซีชอบเขา!”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย “จิ่วเยี่ย นี่เจ้ากลายเป็นคนหูฝาดตั้งแต่เมื่อใดแล้ว เจ้าฟังไม่จบประโยคที่ข้าพูดหรือยังไง ข้าบอกว่าข้าชอบที่เขามีกำลังใจฮึกเหิมในการทำงาน เข้าใจหรือไม่?”
“หมายความว่าซีไม่ได้ชอบเขาใช่หรือไม่?”
“อืม!”
“เช่นนั้นแล้ว ซีชอบใครล่ะ?”
มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้น และเห็นดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกที่ลึกซึ้งคู่นั้น มุมปากของนางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ก็…คนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่อย่างไรเล่า”
จิ่วเยี่ยก้มลงจูบนาง
เขากอดจูบนางด้วยอารมณ์ชื่นมื่น แทบจะเอาของล้ำค่าทั้งหมดบนโลกใบนี้มอบไว้ให้ตรงหน้านาง
เพราะซีบอกว่าซีชอบเขา!
“อือ!”
ร่างในชุดดำเคลื่อนไหวไป แม้ว่าริมฝีปากของจิ่วเยี่ยจะยังไม่ออกห่างจากนาง แต่ทั้งสองก็เดินทางไปแล้ว
ใช้ความเร็วอย่างรวดเร็วที่สุดไปที่สำนักลั่วเยว่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้…
ถูกกลืนกินเสียแล้ว!
อารมณ์ที่แผดเผาอย่างเร่าร้อนนั้นทำให้มู่เฉียนซีแทบจะหายใจไม่ออก
มู่เฉียนซีซบอ้อมอกจิ่วเยี่ยด้วยร่างกายที่เมื่อยล้า “หวงจิ่วเยี่ย ข้าแค่เปิดทางให้เจ้าเล็กน้อยเจ้าก็ไม่รู้จักหักห้ามใจเลย เจ้ามันทำเกินไปจริง ๆ”
“ซีบอกว่าชอบข้า ในเมื่อชอบ ก็ควรจะชอบสิ่งนี้ของข้าด้วย เช่นนี้…” นิ้วมืออันเรียวยาวของจิ่วเยี่ยลูบไล้บนร่างของมู่เฉียนซี
“ชอบบ้าบออะไรของเจ้า! ใครบอกเจ้ากันเล่า” มู่เฉียนซีตะคอกข้างหูเขา
เนื่องจากองค์ชายจิ่วเยี่ยพัวพันนางไม่ยอมเลิกรา มู่เฉียนซีจึงไม่มีเวลาไปรายงานภารกิจ
ในที่สุดมู่เฉียนซีก็พักผ่อนเพียงพอแล้ว จากนั้นนางก็ไปรายงานภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
นางฝึกฝนทักษะโยวจั๋วได้ในระดับหนึ่งแล้ว ลำดับต่อไปก็ต้องเพิ่มพลังวิญญาณเพื่อเพิ่มกำลังในการสังหารให้แข็งแกร่งขึ้น
นางกำลังครุ่นคิดว่าต้องทำเช่นไรถึงจะได้เจอกับท่านเจ้าสำนัก
“ศิษย์น้องมู่ ในที่สุดก็กลับมาสักที” ฮวาเจี้ยนเดินย่างกรายมาตัวเบาราวกับผีเสื้อตัวหนึ่งก็มิปาน
ข้างกายเขามีคนชุดดำผู้หนึ่ง นั่นก็คือเฟิงซู่นั่นเอง
มู่เฉียนซีเห็นเขาและกล่าวว่า “เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าอยู่พอดี”
ความแข็งแกร่งของฮวาเจี้ยนอยู่ในระดับกลาง และในแง่ของการสอดรู้สอดเห็นนั้นทั่วทั้งสำนักลั่วเยว่คาดว่าคงไม่มีผู้ใดเทียบเขาได้แล้ว เขาเป็นคนที่รู้เรื่องราวไม่น้อยเลย
ฮวาเจี้ยนยิ้มพลางกล่าว “ศิษย์น้องมู่อยากรู้เรื่องอันใดเหรอ หากข้ารู้ข้าจะบอกอย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “จะทำเช่นไรให้ท่านหัวหน้าสำนักสนใจในตัวข้า จะทำเช่นไรให้ท่านเจ้าสำนักรับข้าเป็นศิษย์”
นางไม่อาจบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของนางออกมาได้
ฮวาเจี้ยนมองมู่เฉียนซีด้วยความประหลาดใจ “นึกไม่ถึงเลยว่าศิษย์น้องมู่จะอยากเป็นศิษย์ของท่านเจ้าสำนัก ท่านเจ้าสำนักเก็บตัวฝึกฝนมาโดยตลอด น้อยมากที่พวกเราจะได้เจอเขา”
ทันใดนั้นเฟิงซู่ก็กล่าวขึ้นว่า “อีกไม่นานการคัดเลือกจัดอันดับของสำนักในจะจัดขึ้น หากศิษย์น้องมู่คว้าอันดับหนึ่งมาได้ ต่อให้ท่านเจ้าสำนักจะไม่สนใจเจ้า แต่ผู้อาวุโสท่านอื่น ๆ ก็สนใจเจ้าอยู่ดี”
“ถูกต้อง!” ฮวาเจี้ยนกล่าวด้วยความตื่นเต้น
คนที่เพิ่งจะเข้าสำนักในมาได้ไม่นาน จะคว้าอันดับหนึ่งในการจัดอันดับของสำนักในได้อย่างไรกัน พวกเขายังคิดว่าเป็นเรื่องขำขันอยู่เลย
ทว่า ศิษย์น้องหญิงผู้นี้ไม่เหมือนคนอื่น นางเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งที่วิปริตมาก
มู่เฉียนซีกล่าว “ดูท่าแล้วก็คงต้องทำเช่นนั้น!”
ฮวาเจี้ยนยิ้มพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องมู่! กว่าจะถึงการจัดอันดับยังมีเวลาอีกช่วงหนึ่ง ศิษย์น้องมู่สนใจออกไปเดินเล่นข้างนอกหรือไม่”
“ข้าเพิ่งกลับมา ไม่อยากไปไหน!” มู่เฉียนซีตอบ
“เช่นนั้นก็น่าเสียดายแล้วล่ะ มีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งที่อยู่ห่างจากสำนักลั่วเยว่ของพวกเราไม่ไกลนัก ชื่อว่าเมืองเฟิงหุย ที่นั่นกำลังจะจัดการประมูล ได้ยินมาว่ามีของล้ำค่าไม่น้อยเลย ข้าคิดว่าศิษย์น้องมู่จะสนใจ และไปด้วยกันซะอีก”
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจเล็กน้อย “ประมูลเหรอ ไปก็ได้ แต่ข้าก็ไม่ได้มีเงินมากนักนะ”
โม่ซวนไม่รู้ว่านางที่มีพลังความแข็งแกร่งที่สามารถหลอมยาขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้จะเป็นคนที่ไม่มีเงินทอง ดังนั้นตอนที่นางกลับมาโม่ซวนจึงไม่ได้เตรียมหยกซวนให้นาง
สิ่งที่นางมีในตอนนี้ก็คือค่าตอบแทนที่ทำภารกิจสำเร็จน้อยนิดเท่านั้น นางค่อนข้างอันจนเล็กน้อย
แม้ว่าขีดจำกัดบัตรนั้นของจิ่วเยี่ยจะสูงอย่างน่าทึ่ง แต่นางก็อยากจะเก็บเงินของตัวเองเพื่อเอาไว้ใช้จ่าย
คนอื่นมีเงินเป็นของตัวเองและเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้ แต่ศิษย์น้องมู่กลับไม่มีเงิน
“เจ้าไม่มีเงินเหรอ?” ฮวาเจี้ยนและเฟิงซู่แสดงสีหน้าท่าทางไม่เชื่อออกมา
พวกเขายังไม่ลืมว่านางให้ยาลูกกลอนคนอื่นราวกับว่ายาลูกกลอนเป็นเพียงแค่ลูกกวาดเคลือบน้ำตาล นางจะไม่มีเงินได้อย่างไรกัน
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าไม่มีเงินจริง ๆ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่นะ แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่ล่ะ?”
“มะรืนนี้ออกเดินทาง!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ตกลง ก่อนเดินทางอย่าลืมเตือนข้าด้วยล่ะ”
ยาลูกกลอนส่วนใหญ่วางขายที่หอหมอปีศาจ มู่เฉียนซีวางแผนที่จะหลอมยาขึ้นมาใหม่
ไม่หลอมยาขั้นสวรรค์แล้ว หลอมยาขั้นศักดิ์สิทธิ์เลยก็แล้วกัน เนื่องจากเป็นยาลูกกลอนที่หาได้ยาก และสามารถทำเงินได้มาก
ฮวาเจี้ยนและเฟิงซู่ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าการที่ทั้งสองชวนมู่เฉียนซีไปเข้าร่วมการประมูลด้วยกันครั้งนี้ มู่เฉียนซีจะใช้เวลาเพียงแค่วันสองวันในการหลอมยาขั้นศักดิ์สิทธิ์ออกมาขาย
ฮวาเจี้ยนมาหามู่เฉียนซีตามนัด และเมื่อออกจากสำนักก็ได้พบกับหลิ่วซู่
หลิ่วซู่กล่าว “ศิษย์น้องมู่ก็ไปเข้าร่วมการประมูลในเมืองเฟิงหุยเหมือนกันเหรอ! เช่นนั้นเราร่วมทางกันไปเลยดีหรือไม่”
ฮวาเจี้ยนยิ้มพลางกล่าว “ช่างยากที่จะได้เห็นจริง ๆ คนเย่อหยิ่งเช่นเจ้าจะเชิญคนอื่นร่วมเดินทางไปด้วย”
หลิ่วซู่กล่าว “ข้าไม่ได้เชิญเจ้าสักหน่อย” แม้พวกเขาจะอยู่สำนักเดียวกัน แต่ก่อนหน้านี้ก็มีความขัดแย้งกันมาบ้าง
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเลยก็ได้!”
.