ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1538 เป็นศิษย์พี่เจ้า
หลังจากกระบวนท่าแรกผ่านไป กระบวนท่าต่อไปก็ตามมา
“ไม้พลิกสวรรค์!”
“มังกรวารีพิฆาต!”
ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทำให้เซียวเชวี่ยถลึงตากว้างด้วยความตกใจ
ผู้อาวุโสทุกท่านต่างพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ศิษย์สองคนนี้ฝีมือไม่เลวเลย
“พลังไม้สังหาร!” เซียวซวงรวบรวมพลังวิญญาณทั้งหมดและโจมตีด้วยกระบวนท่าไม้ตายสุดท้ายออกมา
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเย็นชาว่า “มังกรน้ำแข็งท้าสวรรค์”
มังกรน้ำแข็งอันแข็งแกร่งพุ่งทะลวงเกราะป้องกันของเกราะไม้เข้าไป ไม่นานนักเซียวซวงก็รับมือไม่ไหวแล้ว
ปัง!
ก้อนน้ำแข็งร่วงหล่นลงมาสู่พื้นดิน เซียวซวงเหยียบเข้ากับก้อนน้ำแข็งเหล่านั้นและลื่นไถลออกไป
“มู่เฉียนซีชนะ!”
การประลองสนามนี้จบลงแล้ว การประลองต่อมาอีกหลาย ๆ สนามก็ไม่ได้ยากอะไรนักสำหรับมู่เฉียนซี
และในขณะที่มู่เฉียนซีเอาชนะได้ต่อเนื่องอย่างโอ่อ่า ร่างในชุดดำร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านบนที่นั่งชมการประลองตำแหน่งเหนือกว่าผู้อาวุโสทั้งหลาย
เขามีใบหน้าสมบูรณ์แบบอย่างลึกล้ำ หล่อเหลา มีเสน่ห์และเย็นชามาก
ผู้อาวุโสสูงสุดตกใจนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ฉู่หลี นี่เจ้าออกจากการบำเพ็ญแล้วเหรอ!”
ฉู่หลีพยักหน้าเบา ๆ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างชุดม่วงร่างนั้น
เพียงแค่การเคลื่อนไหวเดียวเท่านั้น กลับทำให้รูม่านตาของเขาขยายใหญ่ขึ้นได้ด้วยความตกใจ
หญิงสาวผู้นั้นคือผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง
ปัง! เขาเพิ่งจะผุดความคิด คู่ต่อสู้ของมู่เฉียนซีก็ถูกโจมตีจนร่างกระเด็นลอยออกไปจากลานประลองแล้ว
ผู้อาวุโสสูงสุดพบว่าฉู่หลีกำลังชมการประลอง เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จึงกล่าวถามว่า “นี่เจ้าสนใจชมการประลองจัดอันดับของศิษย์สำนักในด้วยอย่างนั้นเหรอ”
“อืม!”
ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะคุ้นชินกับสีหน้าท่าทางที่ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกเช่นนี้แล้ว เขาจึงหันไปชมการประลองต่อ
มู่เฉียนซีฝ่าฟันมาถึงสนามสุดท้าย การประลองเพื่อคว้าอันดับหนึ่ง
อันดับหนึ่งก็คือม้ามืดของสำนักในในวันนี้ ตัวเขาเองไม่ใช่หนึ่งร้อยอันดับแรก แต่กลับเอาชนะมาได้จนถึงตอนนี้
ทุกคนสูดลมหายใจลึกเข้าปอดทันที “หวังเหล่ยกับมู่เฉียนซีเป็นคนโหดร้ายที่เพิ่งจะโผล่ออกมา นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าการประลองจัดอันดับของสำนักในในครั้งนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น”
“มันก็ไม่เสมอไป”
หวังเหล่ยผู้นี้เข้ามาในสำนักในเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว เขาไม่เคยแสดงตัวเลย วันนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
เขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าศิษย์น้องที่เพิ่งจะเข้าสำนักในได้เพียงแค่หนึ่งเดือนผู้นี้จะวิปริตมากกว่าเขา
การประลองคว้าอันดับหนึ่งนั้นดึงดูดสายตาผู้คนเป็นอย่างยิ่ง และตอนนี้มู่เฉียนและหวังเหล่ยก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนลานประลองแล้ว
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวว่า “เริ่มการประลองได้!”
ลำแสงมีดปรากฏขึ้นจากกลางอากาศ แต่มู่เฉียนซีก็สามารถหลบหลีกไปได้
พรสวรรค์ของคู่ต่อสู้และความมุมานะนั้นไม่เลวเลย ครั้งนี้มู่เฉียนซีตั้งใจต่อสู้แล้ว
ปัง ปัง ปัง!
ภายในชั่วพริบตาเดียว พวกเขาก็ได้ต่อสู้กันไปมาหลายต่อหลายกระบวนท่าแล้ว
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวถามว่า “ฉู่หลี เจ้าคิดว่าสองคนนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ”
ฉู่หลีชี้ไปที่มู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “นาง!”
“สาวน้อยมู่เฉียนซีผู้นี้สามารถเอาชนะได้จริง ๆ”
ฉู่หลีกล่าวเสียงต่ำว่า “นางชื่อมู่เฉียนซี”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“เปล่า!” ฉู่หลีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
พวกเขาต่อสู้กันมาหลายสิบกระบวนท่าแล้ว แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงมีกำลังเหลือเฟือ
“สู้ต่อไป!”
การทดสอบความอดทนได้เริ่มขึ้นแล้ว หวังเหล่ยเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าความอดทนของหญิงสาวผู้นี้จะมีมากกว่าเขา
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เขาจึงตัดสินใจทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีเข้าต่อสู้
“พลังคมมีดทำลาย!”
“ทักษะโยวจั๋ว!”
ลำแสงมีดของหวังเหล่ยถูกทักษะโยวจั๋วทำลายอย่างไร้ความปรานี
พรวด! หวังเหล่ยกระอักเลือดคำโตออกมา ก่อนที่เขาจะทรงตัวไม่อยู่และล้มลงไป
เขาเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉียนซี พลางกล่าวว่า “ข้าพ่ายแพ้แล้ว แต่การประลองครั้งนี้นับว่าเป็นการประลองที่ข้าพอใจมาก”
“มู่เฉียนซีชนะ!”
มู่เฉียนซีเดินเข้ารอบสุดท้ายอย่างแข็งแกร่ง และคว้าอันดับหนึ่งไปได้!
เฟิงซู่และพวกทั้งสามจะได้หยกซวนมามากมายก่ายกอง!
ผู้เปิดเดิมพันในครั้งนี้ก็น้ำตานองหน้าแล้ว แพ้ไปแล้วไม่ว่า แต่กลับต้องพ่ายแพ้อย่างล้มละลายไปเลยเช่นนี้อีก
เซียวเชวี่ยโกรธแค้นมู่เฉียนซีเป็นอย่างมาก เขาจ้องมองไปที่นางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ และเขาก็พบความผิดปกติบางอย่าง
“ดูเหมือนว่าการประลองหลายสนามที่ผ่านมา นางแทบจะไม่ได้ใช้อาวุธวิญญาณเลย! แม้จะต้องต่อสู้กับอันดับหนึ่ง นางก็ไม่ได้ใช้ หรือว่านางจะไม่เชี่ยวชาญในการใช้อาวุธ ฮ่า ๆ ๆ!”
ดูเหมือนเขาจะค้นพบโลกกว้างอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
ฮวาเจี้ยนได้ยินเช่นนี้ก็อดที่จะกรอกตามองบนไม่ได้ ใช้อาวุธวิญญาณเหรอ?!
หากมู่เฉียนซีชักกระบี่ออกมาแล้วละก็ เจ้าต้องซวยเป็นแน่!
เพื่อเห็นแก่ทุกคน มู่เฉียนซีจึงต่อสู้ด้วยมือเปล่า
ฉู่หลีเองก็ถามคำถามเดียวกัน “นางไม่ได้ใช้อาวุธวิญญาณเหรอ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “สาวน้อยผู้นั้นเพิ่งจะเข้าสำนักมาได้ไม่นาน ข้าเองก็ไม่รู้ว่านางเชี่ยวชาญการใช้อาวุธวิญญาณชนิดใด”
สายตาของฉู่หลีจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีอย่างไม่ลดละ
จากนั้นก็เป็นการมอบรางวัล และรายชื่อการจัดอันดับใหม่ก็ได้ประกาศออกมาแล้ว ชื่อของมู่เฉียนซีอยู่อันดับหนึ่ง
เป็นคนแรกของสำนักในแห่งสำนักลั่วเยว่!
และเมื่อฉู่หลีบอกว่าจะเป็นคนมอบรางวัลให้ด้วยตัวเอง สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดตกใจเล็กน้อย จนคิดว่าเขากินยาผิดไปแล้วเป็นแน่
เมื่อถึงขั้นตอนการมอบรางวัล บุรุษรูปงามอย่างไร้ที่เปรียบผู้หนึ่งก็เดินออกมา ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างมาก
“เขาเป็นใครกัน?”
“พระเจ้า! นึกไม่ถึงเลยว่าสำนักในของพวกเราจะมีบุคคลเช่นนี้อยู่ด้วย”
“หรือว่าเขาจะเป็นศิษย์สายตรง?”
มู่เฉียนซีก็มองไปที่ศิษย์พี่ที่เดินมาหานางอย่างเย็นชาราวกับตู้เย็นเคลื่อนที่ผู้นี้ รางวัลของสำนักลั่วเยว่ก็คือยาลูกกลอน
ฉู่หลีเอากล่องใบหนึ่งออกมาและมองไปที่มู่เฉียนซี ก่อนจะกล่าวว่า “ศิษย์น้อง นี่คือรางวัลของเจ้า”
ผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กล่องใบนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่กล่องที่เขาได้เตรียมเอาไว้ให้
มู่เฉียนซีกล่าว “ผู้อาวุโสสูงสุด ข้าสามารถแลกของรางวัลเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่”
ยาลูกกลอนนางหลอมเองได้!
โอกาสดีเช่นนี้นางไม่พลาดแน่นอน
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็นิ่งอึ้งตกตะลึงกันเป็นแถบ ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นศิษย์ขอเปลี่ยนรางวัล
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวถามว่า “เจ้าต้องการเปลี่ยนเป็นสิ่งใดรึ อาวุธวิญญาณหรือทักษะวิญญาณ?”
มู่เฉียนซีส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่ใช่ทั้งสองเจ้าค่ะ ข้าต้องการคารวะท่านเจ้าสำนักเป็นท่านอาจารย์ของข้าเจ้าค่ะ”
ทุกคนตกใจยิ่งกว่าเก่าและความโกลาหลก็บังเกิดขึ้นแล้ว “เป็นศิษย์ท่านเจ้าสำนัก? ท่านเจ้าสำนักไม่ได้รับศิษย์มานานมากแล้ว”
“ได้ยินมาว่าศิษย์น้องมู่เพิ่งจะอายุสิบเจ็ดปี พรสวรรค์เช่นนี้ อยากเป็นศิษย์ท่านเจ้าสำนักก็มีโอกาสเป็นไปได้”
“……”
เหล่าบรรดาผู้อาวุโสทุกคนเมื่อได้ยินก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง หากท่านเจ้าสำนักไม่ได้เก็บตัวฝึกบำเพ็ญแล้วละก็ ต้องสนใจเมล็ดพันธุ์ที่ดีเช่นนี้แน่นอน
แต่ก็จนปัญญา…
ผู้อาวุโสสูงสุดกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ ให้มู่เฉียนซีรอท่านเจ้าสำนักออกจากการเก็บตัวฝึกบำเพ็ญก่อน ถึงจะให้คำตอบได้
ทว่า ฉู่หลีกลับกล่าวว่า “อืม! ตกลง”
ทุกคนเบิกตากว้างจ้องมองไปที่ฉู่หลีและกล่าวว่า “นี่ข้าได้ยินอะไรผิดไปหรือไม่!”
“ชายรูปงามผู้นี้คือท่านเจ้าสำนักอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่สิ! ข้าเข้ามาอยู่ในสำนักนี้นานมากแล้ว ตอนนั้นยากมากที่จะได้เจอกับท่านเจ้าสำนัก ท่านเจ้าสำนักอายุวัยก็เทียบเท่าท่านลุงผู้หนึ่งแล้ว”
ไม่เพียงแต่คนอื่นเท่านั้นที่ตกใจ มู่เฉียนีซีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน
นางรู้ว่าในวันนี้หากท่านเจ้าสำนักไม่อยู่ก็ไม่มีทางสำเร็จเป็นแน่ ขอเพียงแค่ทำให้คนอื่นทึ่งในตัวนาง ให้เหล่าผู้อาวุโสรู้ว่านี่คือความจริง เพื่อที่เมื่อท่านเจ้าสำนักออกจากการฝึกบำเพ็ญเมื่อไหร่ ท่านเจ้าสำนักก็จะสนใจนาง!
แต่นึกไม่ถึงว่าจะตอบตกลงเช่นนี้แล้ว
ผู้อาวุโสสูงสุดก็ตกตะลึงพรึงเพริดไปเช่นกัน “ฉู่หลี เจ้า…เจ้าแน่ใจนะ?”
ฉู่หลีมองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าหัวหน้าศิษย์ของท่านเจ้าสำนัก นามว่าฉู่หลี พรสวรรค์ของศิษย์น้องเพียงพอที่จะได้เป็นศิษย์องท่านเจ้าสำนักแล้ว ข้ารับเจ้าแทนเขาไปก่อน เขาไม่กล้าออกความเห็นแน่”
มุมปากของเหล่าผู้อาวุโสทุกคนต่างก็กระตุกขึ้น เจ้ากำลังไร้มารยาทกับท่านเจ้าสำนัก รู้ตัวหรือไม่?
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกแปลกใจมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่หลีพูดมากเช่นนี้
“พระเจ้าช่วย! หัวหน้าศิษย์ของท่านเจ้าสำนัก ศิษย์พี่ใหญ่”
“ศิษย์พี่ใหญ่ผู้ลึกลับในตำนานผู้นั้น”
“พระเจ้าช่วย! ในที่สุดพวกเราก็ได้เห็นศิษย์พี่ใหญ่ตัวเป็น ๆ แล้ว”
การฝากตัวเป็นศิษย์เป็นไปอย่างราบรื่นเสียจนทำให้มู่เฉียนซียังคงสับสนงุนงงอยู่
ฉู่หลีจึงกล่าวขึ้นว่า “ศิษย์น้อง ต่อไปข้าก็จะเป็นศิษย์พี่ของเจ้าแล้ว”
.
.