ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1541 กระบวนท่าเดียวก็เพียงพอแล้ว
งานเลี้ยงของเจ้าสำนักวารีเมฆากำลังจะเริ่มขึ้น การจัดที่นั่งจัดเรียงตามระดับกองกำลังของแต่ละสำนัก
ตัวแทนของสำนักต่าง ๆ พากันมาแสดงความยินดีกับเจ้าสำนักวารีเมฆา รูปร่างหน้าตาของเจ้าสำนักวารีเมฆานั้นดูธรรมดาทั่วไป รอยยิ้มอันลำพองใจบนใบหน้าของเขาไม่อาจปกปิดได้มิดแต่อย่างใด
สำนักลั่วเยว่นั้นมาสายเล็กน้อย เมื่อศิษย์ที่ยืนต้อนรับอยู่เห็นกลุ่มคนของสำนักลั่วเยว่ปรากฏร่างในชุดสีม่วงขึ้น พวกเขาก็ตกตะลึงพรึงเพริดทันที “เป็นเจ้า!”
“นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้ามาเหยียบสำนักของพวกข้า”
ก่อนที่มู่เฉียนซีจะสังเกตเห็นว่าสองคนนี้เป็นใคร น้ำเสียงอันเย่อหยิ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน
“พวกขี้แพ้สองคนนี้ ยังกล้ามายืนตรงนี้ให้อับอายขายหน้าอีกเหรอ”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ฟกช้ำดำเขียวของพวกเขาแล้ว มู่เฉียนซีก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขาคือคนที่ท้าทายนางที่ตระกูลโม่ จนสุดท้ายก็กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเอง และหนีหัวซุกหัวซุนกลับมายังสำนักวารีเมฆาในท้ายที่สุด
“หั่วห้าวหยู่นี่เจ้าพูดอะไรของเจ้า?” พวกเขากล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
ในตอนนี้เอง น้ำเสียงอันเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“นี่คือการต้อนรับของสำนักวารีเมฆาอย่างนั้นเหรอ?”
พวกเขามองไปที่ชายชุดดำผู้นั้น ดูท่าทางแล้วอายุยังน้อยกว่าพวกเขามาก แต่กลับแผ่ซ่านกลิ่นอายอันตรายออกมาได้ถึงเพียงนี้
ผู้อาวุโสแห่งสำนักวารีเมฆาเดินมา “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
พวกเขาก้มหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่มีอะไรขอรับ!”
“สำนักลั่วเยว่ สำนักเพลิงเมฆา เชิญด้านใน เชิญด้านใน” ผู้อาวุโสท่านนี้ยิ้มต้อนรับพลางกล่าว
ผู้อาวุโสเจ็ดและผู้อาวุโสแห่งสำนักเพลิงเมฆาไปกล่าวแสดงความยินตามปกติ เจ้าสำนักวารีเมฆาแผ่ซ่านพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุดของตัวเองออกมา
แสดงพลังอำนาจ!
ผู้อาวุโสทั้งสองแสดงสีหน้าปกติ จากนั้นก็กลับไปนั่งที่นั่งของตัวเอง
หลังจากที่งานเลี้ยงได้เริ่มขึ้น สุราชั้นดีก็มิอาจขาดได้
ดนตรีบรรเลง บทเพลงขับขาน โฉมสะคราญร่ายรำ!
มู่เฉียนซีรับประทานอาหารด้วยท่าทางที่งดงาม นางรู้ว่าการแสดงสนุก ๆ ย่อมอยู่ในตอนท้ายของงานอย่างแน่นอน
ส่วนศิษย์พี่ของนาง มู่เฉียนซีเห็นว่าเขาไม่ได้ขยับมือรับประทานอาหารแต่อย่างใดเลย
รสชาติอาหารของสำนักวารีเมฆาไม่เลวเลย!
หลังจากการแสดงร่ายรำสิ้นสุดลง ทุกคนก็เริ่มกินอิ่มหนำสำราญกันอย่างเต็มที่แล้ว
เจ้าสำนักวารีเมฆาก็ลุกยืนขึ้นและแผ่ซ่านพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุดออกมา พลังอำนาจนั้นทำให้คนที่มีพลังความแข็งแกร่งต่ำรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
แววตาของฉู่หลีเคร่งขรึมลง ก่อนจะเหลือบไปมองมู่เฉียนซี
เมื่อเขาพบว่ามู่เฉียนซีไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด จึงไม่ได้ลงมือ
เจ้าสำนักวารีเมฆาไม่รู้เลยว่าการที่เขาอวดเบ่งพลังเช่นนี้ เกือบจะทำให้เขาสิ้นชีพแล้วเชียว
หลังจากที่กวาดสายตามองไปที่ทุกคนแล้ว ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากกล่าวขึ้น
“รอบ ๆ สำนักเรามีสำนักกองกำลังระดับสามมากมาย และกองกำลังดับสองก็มีไม่น้อยที่อยู่ในอาณาเขตหนานหลิง พลังความแข็งแกร่งเท่านี้ก็ไม่นับว่าแข็งแกร่งอะไรมากนัก ข้าคิดว่า เพื่อความก้าวหน้า พวกเรามาร่วมมือกันเถอะ”
“ร่วมมือกัน!? หรือว่าสำนักวารีเมฆาอยากจะยึดครองสำนักของพวกเราอย่างนั้นเหรอ” เจ้าสำนักของกองกำลังระดับสองสำนักหนึ่งกล่าวด้วยความกลัดกลุ้มใจ
“ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นหรอก! เบื้องหลังและกองกำลังของสำนักต่าง ๆ ข้าจะมีความสามารถยึดครองได้อย่างไรกันเล่า”
ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งสำนักลั่วเยว่กล่าวว่า “หากท่านไม่ได้หมายความเช่นนั้น แล้วท่านหมายความเช่นไร?”
“ข้าอยากให้พวกเราเป็นพันธมิตรกัน”
“ก็อย่างที่ทุกคนทราบ ซากปรักหักพังหนานหลิงกำลังจะเปิดขึ้นในไม่ช้า ศิษย์และอัจฉริยะของสำนักต่าง ๆ ในอาณาเขตหนานหลิงก็จะต้องไปที่นั่น เราต้องร่วมมือกัน หากเราไม่ร่วมมือกัน เมื่อถึงตอนนั้นศิษย์ของพวกเราอาจจะต้องตายอยู่ที่นั่นก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นก็เสียดายแย่”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวสำหรับผู้อาวุโสและผู้นำของสำนักต่าง ๆ ไม่น้อยเลย
พวกเขาตั้งความหวังไว้กับอัจฉริยะแห่งสำนักสูงมาก หากสูญเสียอัจฉริยะเหล่านี้ไป พวกเขาต้องเศร้าตรมและทุกข์ระทมใจมากเป็นแน่
“การร่วมมือกันที่ข้าหมายถึงนั้นไม่ได้ร่วมมือกันตลอดไป มันเป็นเพียงแค่ตอนแรก ๆ เท่านั้น วันนี้ที่ให้ทุกคนพาศิษย์ชั้นยอดของแต่ละสำนักมาก็เพื่อให้เหล่าอัจฉริยะได้ประลองฝีมือกันสักตั้ง และคนที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้เป็นผู้นำกลุ่ม”
“การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มในซากปรักหักพังหนานหลิงย่อมปลอดภัยกว่าตัวคนเดียวอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
เจ้าสำนักวารีเมฆากล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าคนของกองกำลังระดับสองย่อมดีใจอยู่แล้ว ส่วนกองกำลังระดับสามก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้น และกำลังครุ่นคิดชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่ซากปรักหักพังหนานหลิงเปิด กองกำลังของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บล้มตายไปอย่างน่าสังเวชเป็นจำนวนมาก ศิษย์ที่เอาชีวิตรอดกลับมาได้นั้นนับครั้งยิ่งลดน้อยลงทุกที ทว่า ของล้ำค่าในซากปรักหักพังหนานหลิงนั้นไม่มีผู้ใดที่จะยอมละทิ้งไปได้
เนื่องจากมีคนได้รับของล้ำค่าบางอย่างจากซากปรักหักพังหนานหลิงไป และได้เป็นถึงกองกำลังระดับสี่
กองกำลังระดับสามกำลังครุ่นคิดอยู่ ทว่า พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าสำนักที่อ่อนแอที่สุดอย่างสำนักลั่วเยว่จะตอบตกลงด้วยท่าทางที่สบายและผ่อนคลายเช่นนี้
“ตกลง! ไม่มีปัญหา”
สาวน้อยมู่เฉียนซีผู้นี้แข็งแกร่งมาก ต่อให้นางคว้าอันดับหนึ่งมาไม่ได้ แต่ก็ยังมีฉู่หลีอยู่อีกทั้งคน
ในเมื่อฉู่หลีตกลงที่จะมาแล้ว เขาก็คงอดที่จะลงมือไม่ได้แน่นอน
สำนักลั่วเยว่ตอบตกลงแล้ว สำนักอื่น ๆ จึงต่างพากันตอบตกลงด้วยเช่นกัน และเรื่องนี้ก็ถูกจัดให้ทำการประลองเช่นนี้แล้ว
ทางด้านของสำนักวารีเมฆา ศิษย์ผู้หนึ่งดึงแขนชายหนุ่มคนหนึ่งไว้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ต้องแก้แค้นให้ข้านะ”
“วางใจเถอะ! ก็แค่หญิงสาวคนเดียว เพียงแค่สามกระบวนท่าข้าก็เอาชนะนางได้แน่นอน”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่ของข้าเก่งกาจที่สุด”
กองกำลังระดับสองรู้ว่าพลังความแข็งแกร่งของพวกเขามีแค่นั้น ผู้ที่รู้ตัวเองดีจึงได้สละสิทธิ์ไป และเพียงรอชมการประลองนี้เท่านั้น
ผลที่ได้ เหลือเพียงแค่สำนักวารีเมฆา สำนักเพลิงเมฆา สำนักลั่วเยว่ สำนักชิงเฟิง และวังกุ้ยหยวน กองกำลังระดับสามทั้งห้ากองกำลังเท่านั้นที่จะประลองกันในครั้งนี้
เจ้าสำนักวารีเมฆากล่าวว่า “แต่ละสำนักมีโอกาสในการท้าประลองเพียงแค่เจ็ดครั้งเท่านั้น สำนักใดได้รับชัยชนะมากที่สุด สำนักนั้นก็จะคว้าอันดับหนึ่งในการประลองครั้งนี้ไป”
“กติกานี้ ทุกคนคิดเช่นไร?”
“ไม่มีปัญหา!”
หลังจากตั้งกฎกติกาเสร็จสิ้นแล้ว ชายหนุ่มสวมชุดเกราะผู้หนึ่งก็ย่างเท้าก้าวเดินออกมา “ท่านเจ้าสำนัก สนามแรกให้ข้าเป็นผู้ท้าประลองเอง”
คนผู้นี้ เห็นได้ชัดว่ามีการวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว
ท่านเจ้าสำนักวารีเมฆายิ้มพลางกล่าวว่า “ฮ่า ๆ ๆ ! เช่นนั้นก็เริ่มจากศิษย์สำนักข้าก่อนก็แล้วกัน!”
ชายหนุ่มเดินขึ้นไปบนลานประลอง เขาไม่ได้เลือกคู่ต่อสู้แต่อย่างใด แต่กลับชักกระบี่เล่มใหญ่ความยาวขนาดครึ่งร่างมนุษย์เล่มหนึ่งออกมา
เขายกกระบี่ขึ้นกวัดแกว่งตัดผ่านอากาศไปมา ก่อนจะชี้ปลายกระบี่ไปที่มู่เฉียนซีที่ยืนอยู่ในตำแหน่งสำนักลั่วเยว่
กลิ่นอายกระบี่เล่มนั้นพุ่งเป้าไปที่ศิษย์น้องของเขา ชั่วพริบตาเดียวฉู่หลีก็แทบอยากจะพรวดเข้าไปหักกระบี่เล่มนั้นทิ้งเสียจริง ๆ
คนผู้นั้นเอ่ยปากกล่าวว่า “ข้าหวังเจี้ยน ขอท้าประลองศิษย์สำนักลั่วเยว่ เจ้ากล้ารับคำท้าของข้าหรือไม่?”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ทำไมจะไม่กล้าล่ะ!”
ร่างในชุดม่วงเคลื่อนไหวพุ่งออกไปปรากฏตัวขึ้นบนลานประลองนั้นทันที
มู่เฉียนซีแนะนำตัวง่าย ๆ ว่า “ข้า มู่เฉียนซี เป็นศิษย์แห่งสำนักลั่วเยว่”
หวังเจี้ยนกล่าวด้วยความดุดันว่า “วันนี้ ข้าจะเอาชนะเจ้าภายในสามกระบวนท่า”
“เจ้าช่างไม่มีความมั่นใจเอาซะเลยนะ! ตั้งสามบวนบวนท่า” มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
นางมองหวังเจี้ยนด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม “สหาย เจ้าอย่าได้เสแสร้งไปหน่อยเลยนะ”
การดูถูกเหยียดหยามของอีกฝ่าย ทำให้สีหน้าของหวังเจี้ยนเผยความเกรี้ยวโกรธออกมาแล้ว
มู่เฉียนซีเหลือบมองเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “รับมือกับเจ้า ข้าใช้เพียงกระบวนท่าเดียวก็เพียงพอแล้ว!”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น สาวน้อยผู้นี้บ้าระห่ำยิ่งนัก
หวังเจี้ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “สามหาวเกินไปแล้ว หึ! ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจกับคำพูดนี้ของเจ้าเอง”
เจ้าสำนักวารีเมฆากล่าว “ในเมื่อพวกเจ้าพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มการประลองได้”
หวังเจี้ยนจับกระบี่ในมือแน่นและพุ่งโจมตีไปที่มู่เฉียนซีทันที
พลังกระบี่พุ่งตัดผ่านอากาศอย่างรุนแรงดุจดั่งคลื่นที่ซัดสาดเข้าฝั่งก็มิปาน
มู่เฉียนซีจ้องมองคู่ต่อสู้อย่างตั้งใจ การโจมตีของคู่ต่อสู้กำลังเข้ามาใกล้แล้ว แต่นางไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด
ศิษย์สำนักวารีเมฆาหัวเราะขึ้น “ฮ่า ๆ ๆ! หญิงสาวผู้นี้คงจะตกใจในพลังกระบี่ของศิษย์พี่หวังจนอึ้งไปแล้วเป็นแน่!”
“ศิษย์พี่หวังเก่งกาจยิ่งนัก! เพียงเวลาแค่ไม่นานพลังก็จะถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามแล้ว หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยสักนิด”