ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1543 ถูกฉีกหน้าไม่เหลือชิ้นดี
เจ้าสำนักวารีเมฆาเอ่ยถาม “สิ่งที่เจ้ากล่าวมาเป็นความจริงอย่างนั้นรึ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “แน่นอน เจ้าสำนักวารีเมฆา ท่านไม่รู้สึกบ้างหรือว่าแต่ละอย่างมันดูยุ่งยากและวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง?”
“เหลวไหล!”
“รนหาที่ตาย!”
“เจ้ามันทำตัวราวกับลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือ!”
ท่าทางหยิ่งผยองของมู่เฉียนซี ทำให้บรรดาลูกศิษย์ของสำนักวารีเมฆาต่างรู้สึกไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
“อาจารย์ ให้พวกเราจัดการเถิด! ให้พวกเราได้สั่งสอนหญิงอวดดี ผู้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนี่เอง”
“ได้ พวกเจ้าจงสั่งสอนนางเสีย”
ลูกศิษย์ทั้งเจ็ดคนของเจ้าสำนักวารีเมฆาต่างพากันเดินเรียงแถวขึ้นมาประจันหน้ากับมู่เฉียนซีด้วยท่าทางน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าของมู่เฉียนซียังคงเรียบเฉยดังเดิม นางกล่าว “เริ่มได้เลยใช่หรือไม่?”
เจ้าสำนักวารีเมฆากล่าว “เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะไม่เสียใจภายหลัง? หากเจ้าพ่ายแพ้ เช่นนั้นสำนักลั่วเยว่ก็นับว่าพ่ายแพ้เจ็ดครั้งติดต่อกัน”
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่นอน”
“ทางสำนักลั่วเยว่มั่นใจแล้วหรือ? เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ หาใช่เรื่องเล็ก ๆ ไม่” เจ้าสำนักวารีเมฆากวาดสายตามองไปยังคนของสำนักลั่วเยว่ที่ยืนเรียงรายกันอยู่ไม่ไกล
ปรากฏว่าผู้ที่กล่าวตอบไม่ใช่ผู้อาวุโสเจ็ด แต่กลับเป็นฉู่หลีที่กล่าวตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เพียงเอ่ยปากออกไป วาจาของฉู่หลีก็ทำให้บรรดาศิษย์ของสำนักวารีเมฆาพากันเดือดดาลมากขึ้นเป็นเท่าทวี
ฉู่หลีกล่าวว่า “ข้ามั่นใจว่าศิษย์น้องหญิงจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน”
ทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างมองไปที่บุรุษรูปงามผู้นี้ด้วยความตกตะลึง เจ้าจะมั่นใจในตัวศิษย์น้องหญิงของเจ้ามากเกินไปหรือไม่?
เจ้าสำนักวารีเมฆาเอ่ยถาม “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะสามารถเป็นตัวแทนของคนทั้งสำนักวารีเมฆาได้?”
ผู้อาวุโสเจ็ดหัวเราะด้วยความกระหยิ่มใจ เขากล่าว “หากเจ้านี่ไม่อาจเป็นปากเป็นเสียงให้กับสำนักวารีเมฆาได้ เช่นนั้นก็เกรงว่า ณ ที่แห่งนี้คงไม่มีผู้ใดเหมาะสมอีกแล้ว”
เขาเป็นใครกัน?
เมื่อทุกคนดึงสติกลับมาได้แล้ว พวกเขาก็พอจะเริ่มคาดเดาถึงสถานะของฉู่หลีได้บ้างแล้ว เขาคงจะเป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนักลั่วเยว่ที่ผู้คนต่างพากันร่ำลือกระมัง!
เจ้าสำนักวารีเมฆากล่าว “เช่นนั้นก็ดี การประลองเริ่มขึ้นได้”
สิ้นเสียง ศิษย์ทั้งเจ็ดของสำนักวารีเมฆาก็เป็นฝ่ายลงมือก่อน ผู้ใดลงมือก่อนผู้นั้นย่อมได้เปรียบ พวกเขาทั้งเจ็ดล้วนเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวารี และล้วนใช้ทักษะวิญญาณขั้นสูงของสำนักวารีเมฆาในการโจมตีทั้งสิ้น
ซู่ ซู่! เพียงชั่วพริบตาทักษะวิญญาณธาตุวารีก็ได้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว ประกายแสงที่สว่างวาบอยู่เบื้องหน้าทำให้ผู้ที่ได้เห็นรู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก
ศิษย์เหล่านี้ล้วนมีความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสาม หากเทียบกับมู่เฉียนซีแล้วก็มีพลังสูงกว่าถึงสองระดับ
เมื่อผู้บำเพ็ญภูตทั้งเจ็ดได้ประสานกำลังการโจมตีเข้าด้วยกัน มู่เฉียนซีก็ไม่คิดที่จะหลบหลีกแต่อย่างใด พวกเขารู้สึกว่าสตรีผู้นั้นช่างไม่รู้จักกลัวตายเอาเสียเลย
สุ้มเสียงอันสุดแสนจะเย็นชาดังขึ้น “โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
เกราะน้ำแข็งหนาต้านทานการโจมตีที่ปะทะเข้ามาเป็นระลอก ๆ จากนั้นร่างของมู่เฉียนซีก็หายวับไปราวกับอากาศธาตุ
ไม่นานนักน้ำเสียงเย็นชาของนางก็แว่วดังมาตามสายลม และกลางอากาศ พลังธาตุวารีก็ได้แผ่ซ่านไปทั่วทุกสารทิศ
ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุ ทว่าก็สามารถสัมผัสได้ว่าพลังธาตุวารีของทั้งสองฝ่ายนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อพลังธาตุวารีอันบริสุทธิ์และทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมา บรรดาศิษย์อาจารย์ของสำนักวารีเมฆาที่ได้ประจักษ์แก่ตาก็พากันตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
พรสวรรค์ของสตรีผู้นี้ไม่ได้เป็นของสำนักวารีเมฆาของพวกเขา ทว่ากลับเป็นของสำนักลั่วเยว่ มันช่างน่าเจ็บแค้นใจยิ่งนัก
“ผนึกมังกรวารี!”
“วารีสะท้านสวรรค์!”
“บุปผาหลั่งสายฝน!”
“มังกรวารีสังหาร!”
“มังกรน้ำแข็งท้าสวรรค์!”
มู่เฉียนซีไม่รั้งรอให้พวกเขาตั้งสติได้ นางก็ใช้ทักษะวิญญาณไปแล้วถึงห้าทักษะภายในคราเดียว!
นี่มันความเร็วแบบใดกัน?
ทุกคนต่างก็ตาพร่าไปตาม ๆ กัน จากนั้นเสียง ตูม! ก็ดังขึ้น จู่ ๆ พวกเขาก็ตะลึงงันเหมือนตื่นจากฝัน ดูเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าจะเป็นความจริง
“อ้า!” เสียงร้องครวญครางดังระงมไปทั่ว ศิษย์สำนักวารีเมฆาจำนวนหนึ่งลอยกระเด็นออกไปไกลอย่างน่าเวทนาไร้ผู้ใดเทียบ
บนสนามประลองหลงเหลือศิษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ทว่าสายตาที่พวกเขาจ้องมองไปยังมู่เฉียนซีกลับส่องประกายของความหวาดกลัวออกมา
นี่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดอยู่หรืออย่างไร!
ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ
ครั้นแล้วมู่เฉียนซีกวาดสายตามองกลับไป พวกเขาจึงกล่าวด้วยความอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่งว่า “พอได้แล้ว พวกเรา…พวกเรายอม…”
พวกเขายังไม่ทันจะได้เอื้อนเอ่ยวาจาออกไป ก็ถูกเจ้าสำนักวารีเมฆาตำหนิด้วยเสียงกร้าว “ศิษย์ของสำนักวารีเมฆาไม่มีทางยอมแพ้อย่างเด็ดขาด! ยังไม่รีบสู้ต่ออีก”
ก่อนหน้านี้ได้พ่ายแพ้ผู้อื่นไปก็ยังพอเข้าใจกันได้ ทว่าตอนนี้เจ็ดคนถูกคนผู้เดียวสยบจนราบคาบอย่างน่าอนาถเช่นนี้ นี่มันแทบจะเป็นการหักหน้ากันอย่างไม่เหลือเยื่อใยชัด ๆ
หากยอมแพ้ในการประลองครั้งนี้อีก สำนักวารีเมฆาของพวกเขาคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
คำตำหนิของเจ้าสำนักทำให้พวกเขาจำต้องต่อสู้ต่อไปอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าพวกเขาไร้ซึ่งกำลังใด ๆ จะรับมืออีกฝ่าย ทว่าก็ยังต้องฝืนทนรับมือต่อไปเช่นนี้ ทำให้พวกเขาจนปัญญาจริง ๆ
“วารีทลายพันชั้น!”
พวกเขายังคงออกอาวุธอย่างไม่หยุดหย่อน
“โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
โล่วิญญาณน้ำแข็งสามารถป้องกันการโจมตีของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ต่อไปก็ได้เวลาโต้กลับแล้ว เห็นได้ชัดว่าจุดจบของพวกเขาใกล้มาถึงในอีกไม่ช้า
“มังกรน้ำแข็งท้าสวรรค์!!”
ปัง ปัง ปัง!
บนสนามประลองไม่หลงเหลือผู้ใดแม้แต่คนเดียว
สตรีหนึ่งคนสามารถสยบบุรุษเจ็ดคนได้อย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังใช้ธาตุวารี ซึ่งเป็นอาวุธที่สำนักวารีเมฆาภาคภูมิใจที่สุดมาใช้ในการโจมตีทั้งสิ้นอีกด้วย
เดิมทีเจ้าสำนักวารีเมฆาก็หยิ่งทะนงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทว่าครานี้เขากลับถูกหักหน้าเสียจนไม่มีชิ้นดี
บัดนี้สีหน้าของเจ้าสำนักวารีเมฆาดำคล้ำราวกับก้นหม้อก็มิปาน เขาจ้องเขม็งไปยังผู้ตัดสิน ทำเอาผู้ตัดสินเองก็ไม่กล้าประกาศชัยชนะของมู่เฉียนซีไปด้วย
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าสำนักวารีเมฆา จะส่งศิษย์คนใดมาประลองอีกก็ตามสบาย เชิญทุกคนขึ้นมาประลองกันได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
ประลองติดต่อกันหลายยก อีกทั้งยังใช้ทักษะวิญญาณออกไปมากมายภายในชั่วพริบตา ทว่าดูจากท่าทางของนางแล้ว นางก็ไม่ได้ดูเหนื่อยล้าแต่อย่างใด อีกทั้งยังอยากประลองต่ออีกด้วย นี่มันต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่!
ผู้ใดที่เข้าไปประลองกับผู้วิปริตผู้นี้ ก็นับว่าเป็นการหาเหาใส่หัวโดยแท้
หั่วห้าวหยู่จากสำนักเพลิงเมฆาก้าวออกมาเบื้องหน้า แล้วกล่าวว่า “ข้าขอท้าประลองกับเจ้า! ข้าอยากจะเห็นว่าศิษย์พี่ของเฉียนซีจะมีกำลังและความสามารถมากเพียงใดกัน?”
ว่ากันว่าอยากรู้อยากเห็นนั้นสามารถฆ่าแมวได้ และหั่วห้าวหยู่ก็คงจะกลายเป็นแมวที่น่าสังเวชที่สุดตัวหนึ่งอย่างแน่นอน
แท้จริงแล้วทุกคนก็ล้วนแต่อยากรู้อยากเห็นถึงพละกำลังความแข็งแกร่งของศิษย์เอกของเจ้าสำนักลั่วเยว่กันทั้งนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงพากันตั้งใจดูอย่างใจจดใจจ่อ
ศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักลั่วเยว่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่อาจจะออกมาทำการประลองได้ จึงเหลือเพียงมู่เฉียนซีและฉู่หลีเท่านั้น
ความน่าเกรงขามของมู่เฉียนซีทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วโทสะนาง สุดท้ายจึงเหลือเพียงฉู่หลีเพียงผู้เดียว
มู่เฉียนซีกล่าว “หากศิษย์พี่ไม่ต้องการขึ้นไปประลอง เดี๋ยวข้าจะไปเอง”
การท้าประลองไม่ได้เป็นการบังคับอีกฝ่าย ผู้ถูกท้าประลองสามารถปฏิเสธได้ตามต้องการ
ฉู่หลีกล่าว “ศิษย์น้องคงจะเหนื่อยแล้ว เดี๋ยวข้าจะขึ้นไปประลองเอง”
สุดท้ายแล้วฉู่หลีก็กระโดดขึ้นสนามประลองไปด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่พูดไม่จา
“การประลองเริ่มขึ้นได้” ผู้ตัดสินกล่าว
ปัง!
ยังไม่ทันจะได้ตั้งสติ หั่วห้าวหยู่ก็ได้กระเด็นลอยออกไปจากลานประลองแล้ว
ความเร็วของอีกฝ่ายนั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งผู้ที่ถูกโจมตีเองก็ยังไม่ทราบเลยว่าตนเองพ่ายแพ้ได้อย่างไร
ผู้ที่เข้ามามุงดูการประลองก็ยังไม่ทันจะดึงสติกลับมาได้ ฉู่หลีก็กลับมานั่งลงข้างกายมู่เฉียนซีเสียแล้ว
“อ้า!” หั่วห้าวหยู่ล้มกลิ้งไปกับพื้น พลางส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดออกมา
สำนักลั่วเยว่สามารถคว้าชัยชนะได้อีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้ครานี้ฉู่หลีจะเคลื่อนไหวแล้ว ทว่าพวกเขาก็ยังมองไม่ออกถึงพละกำลังความแข็งแกร่งที่แท้จริงของศิษย์เอกสำนักลั่วเยว่ผู้นี้อยู่ดี
ทว่า พวกเขารู้ว่าศิษย์เอกผู้นี้ของสำนักลั่วเยว่นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์ของสำนักอื่น ๆ จึงอยากจะประลองดูบ้าง หากไม่ทำให้กระจ่าง พวกเขาก็ไม่ยอมตัดใจ!
ปรากฏว่าในขณะที่พวกเขากำลังจะท้าประลองกับฉู่หลีนั้น มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นมาว่า “ครานี้ให้ข้าจัดการเถอะ!”
พวกเขาเหล่านั้นตกใจจนรีบถอยหลังกรูดไปในทันที และไม่กล้าท้าประลองกับสำนักลั่วเยว่อีก
ในขณะที่การประลองกำลังดำเนินต่อไป ก็มีบุรุษผู้หนึ่งที่ทั่วทั้งตัวได้แผ่ซ่านความน่าเกรงขามและความดุดันออกมา เขาได้เข้ามายืนข้างกายเจ้าสำนักวารีเมฆา แล้วกล่าว “ท่านเจ้าสำนัก ข้ามาแล้ว”
เขาได้เข้ามาปิดผนึกความล้มเหลวของสำนักวารีเมฆา อย่างไรเสียสำนักวารีเมฆาก็ยังมีสิทธิ์ในการท้าประลองอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้ใช้
เจ้าสำนักวารีเมฆาได้กล่าวบางสิ่งบางอย่างกับเขา หลังจากนั้นก็ได้ท้าประลองกับสำนักเลื่องชื่อไปมากมาย
เมื่อจำนวนการท้าประลองหลงเหลือเพียงหนึ่งสิทธิ์ เขาก็ได้ทอดมองไปยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “ข้าขอท้าประลองกับเจ้า ขึ้นมาเผชิญหน้ากันบนลานประลองเถอะ!”
เมื่อได้เห็นคนผู้นี้แล้ว คิ้วกระบี่ของฉู่หลีก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
การฝึกยุทธ์ของคนผู้นี้มีปัญหา อีกทั้งยังเป็นคนประเภทที่โหดเหี้ยมอำมหิตและกระหายเลือดอีกด้วย
ชายผู้นี้รับมือยาก ฉู่หลีจึงกล่าวขึ้นว่า “ศิษย์น้อง ข้าจะจัดการกับเขาเอง!”
.
.