ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1555 คืนให้นางทั้งหมด
พลังวิญญาณมิติเป็นการใช้พลังวิญญาณที่สิ้นเปลืองเสียยิ่งกว่าพลังวิญญาณธาตุอื่น ๆ ถึงแม้จะมียาลูกกลอนชั้นดีคอยเสริมอยู่ไม่น้อย ทว่าพลังวิญญาณของมู่เฉียนซีก็ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่ก่อนพลังวิญญาณจะถูกใช้ไป ยาถอนพิษก็ได้ถูกกลั่นออกมาเรียบร้อยแล้ว
ซึบ!
มู่เฉียนซีได้ปาเข็มยาเล่มหนึ่งออกไป นางไม่มีเวลาให้กลั่นยาน้ำขวดที่สองแล้ว ดังนั้นการปรุงยาน้ำออกมาในครั้งนี้ จะต้องถอนพิษของซากศพปีศาจให้ได้
ฟึ่บ! เข็มยาไม่อาจทิ่มลงลำคอของฉู่หลีได้
มู่เฉียนซีใช้พลังวิญญาณที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดในการหลบหลีกกรงเล็บของซากศพปีศาจ
ซากศพปีศาจยังคงไล่สังหารมู่เฉียนซีอย่างไม่หยุดหย่อน ในขณะนั้นเองก็มีพลังโจมตีอันแข็งแกร่งจู่โจมเข้ามา พลังนั้นบั่นศีรษะของซากศพปีศาจจนขาดสะบั้น
ปัง! ร่างของซากศพปีศาจล้มลงกระแทกพื้น มู่เฉียนซีพบว่าสีหน้าของฉู่หลีดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทีละน้อย
ยาน้ำของนางได้ผล
ฉู่หลีเหาะเหินมาอยู่เบื้องหน้ามู่เฉียนซี เขากล่าว “ศิษย์น้องหญิงไปพักฟื้นฟูพลังก่อน! เดี๋ยวข้าจะจัดการสิ่งเหล่านี้เอง”
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นศิษย์พี่ก็ระวังตัวด้วย”
เมื่อได้ใช้พลังวิญญาณไปจนหมด ก็ไม่ควรที่จะดื้อดึงฝืนตัวเองต่อไป มู่เฉียนซีถอยหลบมาฟื้นฟูพลังวิญญาณอยู่ในมุมเล็ก ๆ
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “นี่เป็นครั้งแรกที่ซีเอ๋อร์ปลุกพลังวิญญาณมิติในตัวขึ้นมา แต่ก็นำออกมาใช้เป็นจำนวนมากภายในครั้งเดียว ซีเอ๋อร์ควรที่จะพักผ่อนให้มาก ๆ”
ในฐานะที่มีพลังวิเศษอย่างพลังวิญญาณมิติ สุ่ยจิงอิ๋งจึงเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า พลังมิติและพลังเวลาเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุด
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าจะฟื้นฟูพลังให้ดี!”
เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นเป็นระยะ ๆ กระบวนท่าสังหารแต่ละกระบวนท่าของฉู่หลีรวดเร็วและดุดันมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยพลังสังหารนี้ ทำให้ซากศพปีศาจลอยกระเด็นออกไปตัวแล้วตัวเล่า
เมื่อมู่เฉียนซีได้ฟื้นฟูพลังวิญญาณแล้ว เขาก็ได้จัดการซากศพปีศาจไปเป็นที่เรียบร้อย สถานที่โดยรอบก็เริ่มพลังทลายลงมา
ฉู่หลีกล่าว “ศิษย์น้องหญิง! รีบออกไปกันเถอะ!”
ห้องทั้งห้องก็พลังทลายลงมา ในขณะเดียวกันมันก็เผยให้เห็นทางออกทางออกหนึ่ง มู่เฉียนซีและฉู่หลีรีบพุ่งตัวออกไปในทันที
เมื่อบุกทะลวงออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว เบื้องหน้าก็มีทางให้ไปเพียงทางเดียวเท่านั้น
มู่เฉียนซีกล่าว “ศิษย์พี่ พวกเราไปต่อกันเถอะ!”
สุดปลายทางของเส้นทางนี้คือประตูบานใหญ่บานหนึ่ง!
ยามผลักบานประตูออกแล้ว ก็มีประกายกระบี่วาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว คมกระบี่ได้มุ่งมายังหลังมือของมู่เฉียนซี
หากไม่ใช่เพราะมู่เฉียนซีสามารถหลบหลีกได้รวดเร็วพอละก็ กระบี่เล่มนั้นคงจะฟันมือของมู่เฉียนซีจนขาดเป็นสองท่อนไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อมู่เฉียนซีเหลียวหลังกลับไปมอง นางก็พบว่ามีกลุ่มคนท่าทางน่าเกรงขามกำลังเดินเข้ามา
“ปฏิกิริยาของเจ้าไม่เลวเลย เพียงแต่เมื่อพวกเราได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้แล้ว พวกเราก็ไม่อยากให้ผู้ใดมายึดครองที่นี่ หากพวกเจ้าสามารถตั้งรับการโจมตีของข้าได้ เช่นนั้นข้าก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้าสักคราเป็นเช่นไร?”
ราวกับการที่ไว้ชีวิตพวกเขาจะเป็นความเมตตากรุณาอันใหญ่หลวงก็มิปาน!
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ามาถึงที่นี่ก่อนพวกเจ้า พวกเจ้าไม่เข้าใจเรื่องมาก่อนมาทีหลังหรืออย่างไร?”
“แน่นอนว่าข้าเข้าใจเรื่องมาก่อนมาหลังอยู่แล้ว เพียงแต่ผู้ใดแข็งแกร่ง ของล้ำค่าก็ควรตกเป็นของคนผู้นั้นไม่ใช่หรือ?”
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง! ผู้ใดแข็งแกร่ง ของล้ำค่าก็ควรตกเป็นของคนผู้นั้น! หากพวกเจ้าสามารถตั้งรับการโจมตีของข้าได้ การที่ข้าจะหลีกทางให้พวกเจ้าได้ครอบครองสิ่งของที่อยู่ข้างในทั้งหมด ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”
ราวกับพวกเขาได้ฟังมุขตลกที่น่าขันที่สุดในใต้หล้าก็มิปาน
“ผู้หญิงคนนี้ ชักจะอวดดีมากเกินไปแล้ว!”
“ได้! หากข้าสามารถตั้งรับการโจมตีของเจ้าได้ และถ้าหากข้าเอาชนะเจ้าได้ เช่นนั้นไม่เพียงแต่ของล้ำค่าที่อยู่ข้างในจะตกป็นของข้าเท่านั้น แต่ตัวเจ้าก็จะตกเป็นของข้าด้วย เจ้าว่าอย่างไร?”
เขาได้หันใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียบเทียมไปมองมู่เฉียนซีเล็กน้อย ทว่ามู่เฉียนซีก็ไม่ได้ให้คำตอบเขาแต่อย่างใด นางกลับเริ่มโจมตีเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงแทน
“ทักษะโยวจั๋ว!”
ครั้นแล้วมู่เฉียนซีเพิ่งจะปล่อยทักษะโยวจั๋วออกไป ก็ดูเหมือนว่าพวกเขายังไม่อาจสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของทักษะโยวจั๋วนี้
เขาหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! พลังกระจอกถึงเพียงนี้เชียวรึ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย?”
ทว่าอยู่ ๆ พวกเขาก็หยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน
ปัง!
เมื่อทักษะโยวจั๋วตกกระทบลงบนร่างของเขา ร่างของเขาก็ลอยคว้างออกไปแล้วอัดเข้ากับกำแพงในทันที
พรวด!
โลหิตสีแดงสดพุ่งออกจากปากของคนผู้นั้นทันที ทุก ๆ คนที่ได้เห็นเหตุการณ์ต่างก็มีสีหน้าที่ดูตกใจกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็ตั้งรับไม่ไหวแล้ว พวกเจ้ารีบไสหัวไปซะ!”
เห็นชัดว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่จะเชื่อฟังและทำตามแต่โดยดี
“ข้าไม่เชื่อว่าหากพวกเราร่วมมือกันจัดการพวกมันสองคนแล้วจะจัดการไม่ได้ ”
พวกเขาตัดสินใจเลือกวิธีหมาหมู่ ช่างเป็นอะไรที่โง่งมเสียจริง!
ฉู่หลีได้ลงมือจัดการอีกฝ่ายก่อนมู่เฉียนซีไปเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น ฝ่ายตรงข้ามกล่าวออกมาด้วยความตกตะลึง “สวรรค์!มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุด!”
“พลังของเขาแกร่งกล้าเกินไป! ถึงแม้พวกเราจะร่วมกันต่อสู้ ก็ไม่อาจต้านทานเขาได้ รีบไปกันเถอะ!”
ทว่ามู่เฉียนซีจะยอมให้หนีไปง่าย ๆ ได้อย่างไร นางเข้าไปขวางทางหนีทีไล่ของพวกเขาไว้ทั้งหมดแล้ว “พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะหนีรอดไปได้อย่างนั้นรึ?”
“บัวแดงพิฆาต!”
ปัง ปัง!
โครม!
ภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา แต่ละคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตาย นี่มันสัตว์ประหลาดของสำนักใดกันแน่?
กองกำลังระดับสามของอาณาเขตหนานหลิง มีคนวิปริตเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดพวกเขาจึงไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนเลย
ปัง ปัง ปัง!
เมื่อมู่เฉียนซีและฉู่หลีจัดการพวกเขาเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองก็ได้ผลักบานประตูบานนั้นแล้วเดินเข้าไปข้างใน
สถานที่แห่งนี้คือสุสานโบราณ สมบัติล้ำค่าที่แท้จริงก็ล้วนอยู่ข้างในสุสานแห่งนี้ทั้งสิ้น
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ ยาลูกกลอนวิเศษ กระบวนท่าจู่โจมต่าง ๆ มากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นดวงตาลุกวาวไปตาม ๆ กัน
ฉู่หลีกล่าว “ศิษย์น้อง สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อันใดกับข้า เจ้าเก็บไว้เองเถอะ”
มู่เฉียนซีกล่าว “ศิษย์พี่ ท่านจะใจกว้างเกินไปแล้ว! ถึงแม้ท่านจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อันใดจากของสิ่งนี้ แต่ท่านก็นำไปมอบให้ทางสำนักได้! ท่านเป็นศิษย์เอกของสำนักนะ!”
ฉู่หลีกล่าว “มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย! เรื่องสิ่งของของสำนักล้วนมีคนจัดการอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลใจไปหรอก”
หากท่านผู้อาวุโสและเจ้าสำนักมาได้ยินเข้า ก็คงจะกระอักเลือดออกมาเป็นแน่ ฉู่หลีท่าทางของเจ้าเช่นนี้ช่างดูไม่ได้เอาเสียเลย!
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นข้าขอไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
ครั้นมาถึงแดนซวนเทียนในคราแรก นางก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่แห่งนี้เลย มีสถานที่มากมายที่ต้องใช้เงิน ดังนั้นนางจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งหากจะได้รับของล้ำค่า
เมื่อพวกเขากลับออกไปนั้น พวกเขาก็พบว่าสุสานแห่งนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คน
หากไม่ย่ำเข้าประตูผีไปแล้ว ก็คงจะหนีออกไปกันหมดแล้วเป็นแน่
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวแว่วดังมาจากสุสานโบราณ มู่เฉียนซีกล่าว “ศิษย์พี่ สุสานโบราณแห่งนี้ใกล้จะพังลงแล้ว พวกเราต้องรีบออกจากที่นี่แล้ว”
ฉู่หลีพยักหน้าแล้วกล่าว “อื้ม!”
พวกเขาออกจากสุสานโบราณด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง และสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยในที่สุด
บริเวณหน้าผาสูงชันมีผู้คนรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย
สุ้มเสียงขรึมของใครบางคนแว่วดังมา “คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าพวกเจ้าจะยังมีชีวิตรอดออกมาได้ คงจะนำเอาของล้ำค่าออกมาได้ไม่น้อยเลยสินะ?”
คนที่ในมือยังคงว่างเปล่า ครั้นได้ยินว่าของล้ำค่า แต่ละคนก็พากันจับจ้องไปยังพวกเขาด้วยสายตาดุดันราวกับพยัคฆ์ก็มิปาน
มู่เฉียนซีทอดมองไปยังหญิงสาวที่กล่าวขึ้นเมื่อครู่ แล้วกล่าว “เจ้าก่อปัญหาให้พวกข้า แต่กลับวิ่งหนีออกมาเร็วเสียยิ่งกว่าสายฟ้า พวกข้าไม่มีโอกาสจับตัวเจ้าได้ทัน แต่เจ้ากลับปรากฏตัวออกมาเช่นนี้ นี่เรียกว่ารนหาที่ตายใช่หรือไม่?”
จีซานเหนียงกล่าว “ข้ายอมรับว่าพลังของพวกเจ้า ที่ทำให้พวกเจ้าสามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือของเจ้าตัวประหลาดเหล่านั้นมาได้นับว่าไม่เลว แต่…”
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าเจ้าจะไม่สนใจคนของเจ้า?”
ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ! ศิษย์จากสำนักทั้งห้า ถูกโยนออกมาข้างหน้า
พวกเขาสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว ทว่าก็ถูกพรรคพวกของจีซานเหนียงจับตาไว้อยู่ตลอด
คนของสำนักอื่น ๆ ล้วนไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ทว่าคนของสำนักวารีเมฆานั้นกลับหลงเหลือเพียงสุ่ยโหรวคนเดียวเท่านั้น
หั่วห้าวหยู่กล่าว “เฉียนซี ไม่ต้องสนใจพวกเราหรอก!”
สุ่ยโหรวกล่าวด้วยท่าทางน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง “แม่นางมู่ เจ้าเป็นคนที่สำนักทั้งห้าคัดเลือกมาให้เป็นผู้นำกลุ่ม เจ้าจะไม่สนใจใยดีพวกเราไม่ได้นะ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “สำนักวารีเมฆาถูกถอดออกจากรายชื่อแล้ว นี่เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร?”
“แต่ว่า…แต่ว่า…”
“เพียะ!” ฝ่ามือเรียวฟาดลงไปยังใบหน้าของสุ่ยโหรวอย่างรุนแรง สุ่ยโหรวที่ถูกตบก็มึนงงไปชั่วขณะ ใบหน้าขาวนวลเกลี้ยงเกลา บัดนี้ปูดบวมราวกับซาลาเปา
ผู้ที่ฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้าสุ่ยโหรวก็คือจีซานเหนียง
จีซานเหนียงกล่าวด้วยท่าทีรังเกียจเต็มประดา “ท่าทางเสแสร้งของเจ้ามันน่าขยะแขยงเกินไปแล้ว หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้! อย่ามาเพิ่มปัญหาให้วุ่นวายไปกว่าเดิม!”
.
.