ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1556 กระดูกศักดิ์สิทธิ์
สุ่ยโหรวรู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่ง นังหญิงแก่นี่กล้าตบนางอย่างนั้นรึ!
จีซานเหนียงกล่าว “เป็นอย่างไร? เจ้าจะนำของล้ำค่ามาให้ข้าได้แล้วหรือยัง?”
“กว่าจะหาของล้ำค่าเหล่านี้ได้แต่ละชิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดข้าต้องยกให้พวกเจ้าด้วย เจ้าคิดว่าข้าโง่เง่าอย่างนั้นรึ!” มู่เฉียนซีกล่าว
จีซานเหนียงตกตะลึงไปเล็กน้อย “เจ้าอย่าได้คิดโกหกข้าเชียว”
“ข้าจะโกหกเจ้าไปใย? ศิษย์พี่เราไปกันเถอะ” มู่เฉียนซีจูงมือฉู่หลีแล้วเตรียมที่จะเดินจากไป
ฉู่หลีพยักหน้าแล้วกล่าว “ไป!” เขาไม่ได้สนใจผู้ใดอีก
จีซานเหนียงคาดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น นางยังไม่ทันจะตั้งสติได้ มู่เฉียนซีซึ่งเดิมทีกำลังจะเดินจากไป ก็กลับมาปรากฎตัวขึ้นยังเบื้องหลังของนางแทน
กระบี่สีแดงชาดซึ่งแฝงไปด้วยอันตราย บัดนี้ได้จ่อมายังลำคอระหงของจีซานเหนียงแล้ว “อย่าขยับ!”
จีซานเหนียงแทบไม่อยากจะเชื่อ เหตุใดมู่เฉียนซีถึงได้รวดเร็วปานนั้น
“เจ้า…เจ้ามันขี้โกง! ในร่างของเจ้ามีพลังวิญญาณมิตินับว่าเป็นอาวุธวิญญาณ…ไม่สิ มันคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์!”
ไม่ว่าจะฝึกฝนกระบวนท่ามากมายเช่นไร ก็ยากนักที่จะมีความเร็วเช่นนี้ได้ นอกเสียจากจะมีอาวุธวิญญาณมิติเท่านั้น
อาวุธวิญญาณประเภทนี้มีน้อยเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ส่วนผู้ที่มีพลังวิญญาณมิติ ก็ไม่ได้ปรากฎตัวมาเป็นหมื่นปีแล้ว และแน่นอนว่าจีซานเหนียงก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
“ปล่อยกลุ่มสหายของข้าซะ มิฉะนั้นเพียงข้ากระตุกข้อมือ คนที่โชคร้ายก็คือตัวเจ้าเอง” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“ศิษย์พี่จี!” เมื่อจีซานเหนียงต้องกลับกลายมาเป็นตัวประกันเสียเอง บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางต่างก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าจีซานเหนียงคิดว่าชีวิตของตนมีค่ามากกว่าผู้อื่นเป็นเท่าทวี นางกล่าว “จะให้ปล่อยคนของเจ้าไปก็ย่อมได้ เพียงแต่เจ้าก็จะต้องปล่อยข้าเช่นกัน มิฉะนั้นพวกข้าก็จะไม่ปล่อยคนของเจ้า”
มู่เฉียนซีกล่าว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”
จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้ปล่อยตัวประกันอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อจีซานเหนียงได้รับอิสรภาพกลับคืนมาแล้ว นางก็เริ่มโจมตีมู่เฉียนซีด้วยความดุเดือดในทันที
“ไปตายซะ!”
มู่เฉียนซีหลบหลีกการโจมตีอีกครา ความเร็วในการหลบหลีกนั้นรวดเร็วเสียยิ่งกว่าสายฟ้า
จีซานเหนียงจ้องเขม็งไปยังมู่เฉียนซีอย่างไม่ลดละ เจ้าเด็กวิปริตนี่มีของดีอยู่ในมือขนาดนั้น นางจะต้องชิงมาครอบครองเองให้จงได้
“จะยืนบื้อกันอยู่ทำไม? รีบไปจับนางเสียสิ”
เสียงของการเข้าห้ำหั่นของทั้งสองฝ่ายดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
มู่เฉียนซีตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู หั่วห้าวหยู่คิดอยากเข้าไปช่วยเป็นอย่างยิ่ง ทว่าพวกเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บกันไปไม่น้อย
ฉู่หลีกล่าว “ศิษย์น้องสามารถรับมือได้!”
“ทักษะโยวจั๋ว!”
“เพลิงสังหารซิวหลัว!”
ยากนักที่จะมีผู้ต้านทานพลังขั้นมหาจักพรรดิได้ ถึงแม้จะมีกำลังคนมากมายเท่าใดก็ไร้ประโยชน์
หั่วห้าวหยู่รู้สึกตกตะลึงอยู่ไม่คลาย นับวันพลังของมู่เฉียนซีก็ยิ่งน่าตกใจขึ้นเรื่อย ๆ
ใบหน้าของสุ่ยโหรวในตอนนี้มีเพียงความอิจฉาริษยาและโหดเหี้ยมเท่านั้น เหตุใดมู่เฉียนซีจึงได้แกร่งกล้าถึงเพียงนี้?
ในห้วงเวลาที่ไม่มีผู้ใดทันสังเกต สุ่ยโหรวก็รีบพุ่งตัวออกไป แล้วลอบโจมตีมู่เฉียนซีที่กำลังประจันหน้าเข้าหาศัตรูในทันที!
“สุ่ยโหรว จะ…เจ้าคิดจะทำอะไรของเจ้า?” ทุก ๆ คนต่างก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
การลอบโจมตีของสุ่ยโหรวที่ต่างระดับเช่นนี้ ไม่อาจระคายผิวมู่เฉียนซีได้แม้แต่น้อย
“โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
เกราะน้ำแข็งสามารถต้านทานการโจมตีของสุ่ยโหรวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังโจมตีกลับด้วยพลังวิญญาณธาตุวารีที่รุนแรงเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย
สุ่ยโหรวสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกของธาตุวารีที่กำลังจู่โจมเข้ามา
“มังกรน้ำแข็งท้าสวรรค์!”
“ปัง!” ร่างของสุ่ยโหรวลอยคว้างออกไปไกล
“สมควรตาย! พวกเราไปหาศิษย์พี่กัน!” จีซานเหนียงทราบดีว่าตนเองไม่อาจรับมือกับสตรีวิปริตผู้นี้ได้ และหากคิดหนีก็คงหนีไม่ได้เช่นกัน
ครานี้นางคงทำได้เพียงยอมสละม้วนหนังสือมิติหนึ่งแผ่น เพื่อให้มีทางหนีทีไล่ได้บ้าง!
แครก!
ขณะที่จีซางเหนียงกำลังฉีกม้วนหนังสือมิติอยู่นั้น สุ่ยโหรวก็ได้พุ่งปรี่เข้ามาแล้วกล่าว “พาข้าไปด้วยเถอะนะ! มู่เฉียนซีจะต้องฆ่าข้าแน่ ๆ ข้าไม่ใช่คนของกองกำลังระดับสาม ข้าคือคนของสำนักหลินเยว่ กองกำลังระดับสี่ หากเจ้าช่วยข้ามันจะต้องเป็นผลดีต่อตัวเจ้าอย่างแน่นอน”
จีซานเหนียงหัวเราะเยาะแล้วกล่าว “สำนักหลินเยว่กองกำลังระดับสี่มีคนไร้ประโยชน์อย่างเจ้าอยู่ด้วยหรือนี่ เจ้าคงเป็นเพียงผู้ดูแลเรื่องทั่วไปเท่านั้นสินะ!”
สุ่ยโหรวโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ ทว่าสิ่งที่จีซานเหนียงกล่าวมานั้นก็เป็นเรื่องจริง
คนธรรมดาทั่วไปมักจะไม่นำเรื่องเหล่านี้มาล้อเล่นกัน จีซานเหนียงกล่าว “ถือว่าข้าให้เกียรติสำนักหลินเยว่ก็แล้วกัน ไป!”
คนของจีซานเหนียงก็ได้พาสุ่ยโหรวหลบหนีไปด้วยกัน หั่วห้าวหยู่กล่าวด้วยความโกรธแค้นเต็มประดา “ผู้หญิงคนนั้นพิลึกจริงเชียว? ลอบโจมตีมู่เฉียนซียังไม่พอ ยังหนีไปกับศัตรูอีก”
มู่เฉียนซีกล่าว “จะหนีก็หนีไป! ผู้หญิงที่พาสุ่ยโหรวหลบหนีไปก็คงไม่ได้มีจุดจบที่ดีกว่าสักเท่าไหร่หรอก”
เมื่อศึกในครั้งนี้สิ้นสุดลง ผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบข้างต่างก็ประจักษ์ในพลังของมู่เฉียนซีกันถ้วนหน้า ครานี้ผู้ใดเลยจะกล้ารีดไถมู่เฉียนซีอีก
พวกเขาเหล่านั้นจึงอาศัยช่วงเวลาที่มู่เฉียนซียังไม่จัดการพวกตน รีบหนีออกไปด้วยความรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ค่อยกลับมาคิดอีกครา
เมื่อไม่มีผู้ใดสร้างความวุ่นวายหรืออุปสรรคอีก มู่เฉียนซีจึงกล่าว “พวกเราก็ไปกันเถอะ! ซากปรักหักพังหนานหลิงกว้างใหญ่มาก พวกเราจะมามัวเสียเวลากับสถานที่เล็ก ๆ แห่งนี่ไม่ได้”
ตลอดการเดินทาง ผู้คนของสำนักต่าง ๆ ก็อดรู้สึกทอดถอนใจเสียมิได้ คำแนะนำในการจัดตั้งกลุ่มของเจ้าสำนักวารีเมฆานั้นถูกต้องเป็นที่สุด การที่ให้มู่เฉียนซีเป็นผู้นำกลุ่ม ไม่เพียงแต่จะได้รับของล้ำค่ามามากมาย ทว่ายังไม่ได้รับอันตรายใด ๆ อีกด้วย
ทว่าบัดนี้คนของสำนักวารีเมฆา ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในกลุ่มเลยสักคน
เมื่อได้รับของล้ำค่ามามากมาย ในที่สุดกลุ่มของมู่เฉียนซีก็หาพระราชวังหลังใหญ่โตมโหฬารเจอ
เบื้องหน้าพระราชวังมีแผ่นศิลาอยู่หนึ่งแผ่น บนแผ่นศิลาสลักไว้ว่า “พระราชวังหนานหลิง!”
หั่วห้าวหยู่กล่าว “พระราชวังหนานหลิง ในที่สุดก็หาพระราชวังหนานหลิงเจอเสียที! สวรรค์! ครั้งนี้พวกเราโชคดีมากจริง ๆ”
คนผู้นี้รอบรู้ข่าวสารยิ่งนัก ไม่ว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างไรก็รอบรู้ไปเสียหมด
มู่เฉียนซีเอ่ยถาม “พระราชวังหนานหลิงมีของล้ำค่าอะไรหรือไม่?”
หั่วห้าวหยู่กล่าว “กาลก่อนพระราชวังหนานหลิงถูกสร้างขึ้นโดยผู้แข็งแกร่งระดับภูตศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้มีกระดูกศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเก็บรักษาไว้อยู่! หากได้ครอบครองกระดูกศักดิ์สิทธิ์แล้วก็จะสามารถบรรลุถึงขั้นภูติศักดิ์สิทธิ์ได้ราบรื่นไร้อุปสรรคอย่างแน่นอน ของแบบนี้บรรดาปราชญ์แห่งภูตระดับเก้ามือฉมังก็ล้วนแย่งชิงเพื่อที่จะครอบครองมันกันทั้งนั้น”
“หากไม่มีของสิ่งนี้แล้ว ถึงแม้พวกเขาจะมีพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าแล้ว ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าใดจึงจะสามารถบรรลุขั้นภูติศักดิ์สิทธิ์ได้!”
มู่เฉียนซีทอดมองไปยังฉู่หลี ขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้านับว่าห่างไกลจากตัวนางเป็นอย่างยิ่ง ทว่ากับศิษย์พี่แล้วมันก็แตกต่างกันออกไป
ฉู่หลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ศิษย์น้อง ข้าไม่ต้องการของแบบนั้นหรอก”
เขามีความเชื่อมั่นว่าเขาสามารถบรรลุระดับภูติศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยตัวเอง และไม่ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งของเหล่านั้นแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีกล่าว “แต่ถ้าหากได้ครอบครอง มันก็ช่วยให้ศิษย์พี่เข้าใกล้ไปอีกก้าวหนึ่งนะ”
ปัง ปัง ปัง!
ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไป อยู่ ๆ ก็มีคนจำนวนหนึ่งถูกโยนออกมา แล้วล้มกระแทกพื้นด้วยท่าทางน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
“เวรเอ้ย! ชักจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว! คนเหล่านั้นมีสิทธิ์อันใดกัน!”
“กว่าพวกเราจะหาพระราชวังหนานหลิงเจอ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ แต่เจ้าพวกสวะนั่นกลับไล่เราออกมา”
“……”
กลุ่มคนที่ถูกโยนออกมาก็พากันก่นด่าสาปแช่งกันยกใหญ่ จากนั้นพวกเขาจึงจะพบว่าภายนอกยังมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล
พวกเขากล่าวด้วยท่าทางหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง “มองอะไรของพวกเจ้า? อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะถูกโยนออกมาเหมือนกันนั่นแหละ”
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดยึดครองอยู่ภายใน? พวกเขาคือสำนักกงสิง กองกำลังระดับสี่หนึ่งเดียวในอาณาเขตหนานหลิง ยังมีศิษย์ของกองกำลังระดับสาม ขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าอีกหลายคนด้วย พวกเขาไม่ยอมแบ่งให้ผู้ใดแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะบุกเข้าไปเท่าไร พวกเขาก็โยนออกมาเท่านั้น”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกเราเข้าไปข้างในดีกว่า!”
“ข้าเตือนพวกเจ้าถึงเพียงนี้แล้ว พวกเจ้ายังคิดจะเข้าไปหาเรื่องเจ็บตัวอีกรึ!” พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อ
มู่เฉียนซีทอดมองไปยังคนเหล่านั้นแล้วกล่าว “ขอบใจในคำกล่าวเตือนของพวกเจ้า เพียงแต่พวกเราจะไม่ถูกโยนกลับออกมาอย่างแน่นอน”
“พวกเจ้าเป็นคนของสำนักใดกันแน่ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด รอขายขี้หน้าเลยก็แล้วกัน!พวกข้าจะรอชมงิ้วของพวกเจ้าอยู่ตรงนี้”
มู่เฉียนซีไม่คิดสนใจคนเหล่านั้นแต่อย่างใด นางได้พาพรรคพวกของตนเข้าไปข้างในทันที “ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ ก็เท่ากับเป็นการกระโจนเข้ากองไฟด้วยตัวเอง ครานี้ข้าจะไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้าเป็นแน่”
ทันทีที่ก้าวข้ามประตูพระราชวังเข้าไปภายใน สุ้มเสียงอันเปี่ยมล้นไปด้วยความดุดันและโหดร้ายก็แว่วดังออกมาในทันที
.
.