ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1560 สุนัขรับใช้หลินหลาง
เมื่อมู่เฉียนซีระเบิดพลังทั้งหมดออกมา บุรุษอาภรณ์สีฉูดฉาดก็เผยสีหน้าที่ดูตื่นตกใจออกมาในทันที “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
เปลวเพลิงของกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณได้กลืนกินร่างของเขาไปไม่เหลือแม้แต่เงา สุดท้ายแล้วแม้กระทั่งจะร้องขอความเมตตาก็ไม่มีโอกาส
มู่เฉียนซีจัดการคนผู้นั้นได้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง บุรุษอีกคนยังไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่า สหายของเขาได้ถูกเปลวเพลิงของมู่เฉียนซีแผดเผาจนดับสูญไปแล้ว
บุรุษผู้นี้ทอดมองไปยังฉู่หลีด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเต็มประดาแล้วกล่าว “ดี! ดีมาก! นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบีบบังคับข้าจนมาอยู่ในจุด ๆ นี้ ช่างดีเสียจริง”
เขาระเบิดพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับสามออกมา!
พลังนี้นับว่าเพียงพอแล้วที่จะสยบพลังขั้นจักพรรดิใด ๆ และจะต้องได้รับชัยชนะมาแน่นอน
ฉู่หลีขมวดคิ้วเล็กน้อย มู่เฉียนซีได้นำข่าวคราวที่นางเพิ่งได้รับมาเมื่อครู่บอกกล่าวกับเขาไป
“ศิษย์พี่ ที่นี่ไม่จำเป็นต้องควบคุมระดับขั้น ท่านสามารถสังหารเจ้านั่นได้เลย จะปล่อยให้มันกำเริบเสิบสานต่อไปอยู่ใย”
“ศิษย์น้อง?” บุรุษผู้นั้นเพิ่งตระหนักได้ว่าศิษย์น้องของตนถูกสังหารไปแล้ว
“จะ…เจ้าหญิงชั่ว เจ้าใช้เล่ห์กลใดสังหารศิษย์น้องของข้า?”
“ยังต้องใช้เล่ห์กลด้วยรึ? เขาอ่อนแอจะตายไป!” มู่เฉียนซีกล่าว
“อ่อนแอรึ พวกเจ้าเป็นเพียงคนของกองกำลังระดับสามตัวเล็ก ๆ ไร้ค่าไร้ประโยชน์ กลับกล้ามาว่าคนของกองกำลังระดับสี่อย่าง…”
เขายังเอื้อนเอ่ยไม่ทันจบ ก็พลันสัมผัสได้ถึงพลังปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุดที่กำลังจู่โจมเข้ามา เขารีบถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว พลางจ้องมองไปยังบุรุษผู้น่าเกรงขามที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหวาดกลัว
“ปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุด จะเป็นไปได้อย่างไร? เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่?”
อายุก็น้อยกว่าเขา แต่กลับมีพลังมหาศาลจนเกินกว่าจะเชื่อถือได้ ช่างเป็นอะไรที่ยากจะเชื่อได้จริง ๆ
เพียงแค่ฉู่หลีกระดิกมือเพียงนิดเดียว ความแตกต่างของพลังก็สามารถจัดการบุรุษผู้นี้ได้อย่างง่ายดาย
ปัง! สองเข่าทรุดลงกับพื้นไปในทันที
“จะ…เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้ ข้าเป็นคนของสำนักหลางซิงนะ”
“พวกคนบ้านนอกคอกนาอย่างพวกเจ้า คงไม่รู้ถึงการมีตัวตนของสำนักหลางซิงสินะ”
มู่เฉียนซีหัวเราะเยาะ พลางกล่าว “พวกข้าไม่รู้ ไม่ทราบว่าเจ้าจะช่วยไขความกระจ่างให้แก่พวกข้าได้หรือไม่?”
เพื่อรักษาชีวิตของตนไว้ แน่นอนว่าเขาจะต้องหยิบเอาท่าไม้ตายออกมาใช้
“สำนักหลางซิงของพวกข้าถูกก่อตั้งขึ้นโดยองค์หญิงหลินหลาง ท่านผู้อาวุโสของสำนักเราเป็นคนสนิทขององค์หญิงหลินหลาง! ถึงแม้พวกเจ้าจะไม่รู้จักสำนักหลางซิงของพวกเรา แต่พวกเจ้าก็จะต้องรู้จักองค์หญิงหลินหลางอย่างแน่นอน?”
“องค์หญิงหลินหลางเป็นสตรีที่รูปโฉมงามสะคราญที่สุดในแดนซวนเทียน เป็นบุคคลที่มีความสามารถและพรสวรรค์มากที่สุดของแดนซวนเทียน เป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ตงหวงกองกำลังระดับห้า เป็น…”
หากจะให้กล่าวถึงคุณงามความดีขององค์หญิงหลินหลางแห่งสำนักหลางซิงของพวกเขาละก็ เกรงว่าให้พวกเขาสาธยายหนึ่งวันหนึ่งคืนก็คงไม่หมด
ฉู่หลีไม่นึกสนใจเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย เขากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง “ข้าไม่รู้จักองค์หญิงหลินหลางอะไรนั่นหรอก”
เขาจ้องมองฉู่หลีราวกับจ้องมองสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็มิปาน “เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่! แม้กระทั่งองค์หญิงหลินหลางเจ้าก็ยังไม่รู้จัก ที่สุดแล้วเจ้าเป็นตัวประหลาดตัวใดมาเกิดในท้องมนุษย์กันแน่!”
มู่เฉียนซีไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป นางกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เหตุใดทุก ๆ คนจะต้องรู้จักมู่หลินหลางด้วย ใบหน้าของมู่หลินหลางใหญ่หรืออย่างไร? คนสนิทอะไรกัน ข้าว่าเป็นฝูงสุนัขรับใช้เสียมากกว่า!”
“หากข้าเดาไม่ผิดละก็ สำนักหลินเยว่ก็คงจะเป็นเช่นนั้นเช่นกัน! สำนักหลินเยว่ สำนักหลางซิง สร้างสำนักกองกำลังระดับสี่ขยะขึ้นมาสองสำนัก ช่างน่าเบื่อเสียจริง”
เขากล่าวด้วยความโกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง “ระวังวาจาของเจ้าด้วย!”
ฉู่หลีกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง “คนที่ควรระวังวาจาคือเจ้าต่างหาก”
มู่เฉียนซีเอ่ยถาม “พวกเจ้าคงไม่ได้วิ่งแจ้นมาถึงที่นี่เองหรอกกระมัง! มู่หลินหลางคงสั่งให้พวกเจ้ามาหาสิ่งของบางอย่างสินะ? มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อย่างนั้นรึ?”
“เจ้า…”
เขาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนองค์หญิงหลินหลาง เทพธิดาในดวงใจเขาเป็นอย่างยิ่ง ผลปรากฏว่ากระบี่ส่องประกายเจิดจ้าได้มาจ่ออยู่ที่ลำคอของเขาแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามู่หลินหลางมีความสามารถในการล้างสมองที่ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง แต่อีกเดี๋ยวเจ้าก็ต้องย่ำเข้าประตูผีไปแล้ว ข้าว่าเจ้าไม่ต้องไปสนเรื่องอื่น ๆ แล้วจะดีกว่า?”
“สารภาพมาเสียดี ๆ นางส่งพวกเจ้ามาด้วยเหตุอันใด?”
“ข้าไม่บอก!” เขากล่าวออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“ไม่บอกรึ!” ประกายความเดือดดาลวาบผ่านแววตาลึกล้ำของฉู่หลีไปอย่างรวดเร็ว ทว่าความเร็วของมู่เฉียนซีนั้นล้ำหน้ากว่าเขาเป็นเท่าทวี
ฟึ่บ! เข็มยาแหลมคมเล่มหนึ่งพุ่งเข้าปักที่ลำคอของบุรุษผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
“ถึงไม่พูดเจ้าก็ต้องพูด!”
เมื่อต้องทุกข์ทรมานด้วยพิษร้ายที่แทรกซึมไปทั่วร่างกายราวกับตายทั้งเป็น เขาก็รีบสารภาพออกมาจนหมดสิ้น
จุดประสงค์ที่มู่หลินหลางส่งคนเหล่านี้มาก็เพราะต้องการกระดูกศักดิ์สิทธิ์!
เนื่องจากบัดนี้การฝึกตนของนางยังคงติดค้างอยู่ที่ปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุด นางต้องการเลื่อนขั้นเป็นภูตศักดิ์สิทธิ์
มู่เฉียนซีทอดมองไปยังฉู่หลีแล้วกล่าว “ศิษย์พี่ ข้าคิดว่าศิษย์พี่มีพลังแกร่งกล้ามาก มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ของราชวงศ์ตงหวงพวกเขาต่างก็ยกให้กับมู่หลินหลา แต่นางก็ยังมีพลังเพียงขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้า ซึ่งศิษย์พี่ก็ได้ล่วงเลยขั้นนั้นมาแล้ว”
“ถุย ถุย ถุย! องค์หญิงหลินหลางต่างหากจึงจะเป็นผู้มากความสามารถที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าผู้ใดก็เทียบเทียมไม่ได้ ปีนี้องค์หญิงเพิ่งจะอายุยี่สิบปีเท่านั้น บุรุษผู้นี้สามารถเทียบได้หรือ?”
ฉึก! กระบี่แหลมคมแทงทะลุอกของเขาไปอย่างรวดเร็ว
“พูดมากไปก็ตายเร็ว สิ่งที่ควรพูด เจ้าก็ได้พูดออกมาหมดแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็รีบลงนรกไปเสีย!”
เมื่อเก็บกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณแล้ว มู่เฉียนซีก็หันไปมองฉู่หลี พลางกล่าว “ศิษย์พี่ พวกเราไปกันเถอะ! เราจะปล่อยให้มู่หลินหลางได้กระดูกศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ได้”
“อีกอย่างหากคนของสำนักหลินเยว่และสำนักหลางซิงเล่นไม่ซื่อกับพวกเรา ก็สังหารคนเหล่านั้นได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
มู่เฉียนซีไม่คิดปิดบังไอสังหารที่แผ่ซ่านอยู่รอบตัวแม้แต่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่หลีได้เห็นนางระเบิดไอสังหารออกมาเช่นนี้ เขาเอ่ยถาม “ศิษย์น้องหญิงรู้จักมู่หลินหลางอะไรนั่นด้วยหรือ?”
“ศิษย์พี่ นี่ท่านไม่รู้จักมู่หลินหลางจริง ๆ หรือ?” มู่เฉียนซีเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เดิมทีนางนึกคิดไปว่าที่ศิษย์พี่กล่าวมาเช่นนั้น เพราะต้องการยั่วโทสะอีกฝ่ายก็เท่านั้น
ฉู่หลีส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าคร้านที่จะต้องรู้จักผู้อื่น มันไม่ได้สำคัญอะไร”
นี่มันจะเย็นชาเกินไปหรือไม่!
ฉู่หลีกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นจึงจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ศิษย์น้องหญิงแตกต่างจากคนเหล่านั้น!”
หัวใจของมู่เฉียนซีก็เต้นระรัวขึ้นอย่างกะทันหัน ทว่ามู่เฉียนซีกลับไม่ทันตระหนักถึง
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเคยมีเรื่องบาดหมางกับมู่หลินหลาง มีทั้งความแค้นส่วนตัวและความแค้นระหว่างตระกูล”
แน่นอนว่าความแค้นส่วนตัวเกิดขึ้นจากกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ มู่หลินหลางและลูกสมุนของนางเกือบสังหารนางอยู่หลายครั้งหลายครา ไหนจะอวิ๋นซิวนั่นอีก…
ตอนนี้เขากลับไปอยู่กับมู่หลินหลาง หรือว่าไปยังสถานที่อื่นแล้ว?
ส่วนความแค้นระหว่างตระกูลนั้น ที่บิดาและท่านลุงรองของนางต้องตกมาอยู่ในจุด ๆ นี้ ล้วนเป็นเพราะญาติพี่น้องของมู่หลินหลางทั้งสิ้น
หากยังสั่งสมกำลังได้ไม่มากพอ นางก็จะไม่ไปท้าทายราชวงศ์ตงหวงในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน ทว่าหากต้องพบเจอกับสุนัขรับใช้ของนางที่กัดคนไปทั่วละแล้วก็ มู่เฉียนซีจะไม่มีทางปล่อยไปอย่างแน่นอน
ฉู่หลีกล่าว “ศัตรูของศิษย์น้องหญิงก็นับว่าเป็นศัตรูของศิษย์พี่เช่นกัน”
การที่ฉู่หลีกล่าวด้วยความหนักแน่นเช่นนี้ ทำให้มู่เฉียนซีตกตะลึงไปเล็กน้อย
“ศิษย์พี่รู้หรือไม่ว่าพลังของกองกำลังระดับห้าน่าตกใจเพียงใด? ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำลายกองกำลังระดับสามได้แล้ว ไม่ว่าจะปราชญ์แห่งภูตหรือภูตศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนไร้ค่าทั้งนั้น” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยท่าทีจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
“พวกเราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน แน่นอนว่าศัตรูของเจ้าก็คือศัตรูของข้า ข้าแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิด ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายข้าจะยังฟื้นฟูกลับมาไม่เต็มที่ก็ตาม ศิษย์น้องหญิงช่วยให้เวลาข้าสักระยะเถอะ” ฉู่หลีกล่าวตอบไปด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความจนปัญญา “ขอบคุณศิษย์พี่มาก!”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง มู่หลินหลางมีหน้าตาคล้ายข้ามาก หากศิษย์พี่ได้พบเจอนางแล้วก็อย่าได้จำผิดเป็นอันขาด”
นอกจากบุคลิกและอุปนิสัยที่แตกต่างกันแล้ว หน้าตาของมู่หลินหลางก็ราวกับถอดแบบมาจากมู่เฉียนซีไม่มีผิดเพี้ยน ถึงแม้จะเป็นสายเลือดตระกูลมู่เช่นกัน ทว่าทั้งสองก็ไม่ได้มีบิดามารดาคนเดียวกัน ความละม้ายคล้ายคลึงของทั้งสองทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง
.
.