ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1568 วิญญาณพิฆาตออกโรง
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “สาวน้อยมู่พูดถูก! พวกเราควรบำรุงรักษาร่างกาย ฟื้นฟูพลังเสียก่อน แล้วค่อยไล่บดขยี้พวกสำนักวารีเมฆาให้สิ้นซาก”
มู่เฉียนซีกล่าว “เมื่อทุก ๆ คนต้องบำรุงรักษาร่างกาย ข้าเองก็ไม่คิดตระหนี่! ทุก ๆ ท่านสามารถใช้ยาลูกกลอนได้ตามสบาย ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องทำลายสำนักวารีเมฆาให้ราบเป็นหน้ากองให้จงได้”
“ใช้ยาลูกกลอนได้ตามสบายอย่างนั้นรึ เด็กน้อย ที่สุดแล้วเจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับหอหมอปีศาจกันแน่?”
“ข้าได้ยินจากพวกนักปรุงยาเหล่านั้นว่ากันว่า เจ้าเป็นศิษย์ของหมอปีศาจในตำนานที่ผู้คนเล่าขานกัน?”
“…..”
การที่มู่เฉียนซีใจใหญ่ใจปล้ำเช่นนี้ ทำให้บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาไม่น้อย
มู่เฉียนซีกล่าว “เรื่องนั้นน่ะหรือ! เมื่อถึงยามที่ควรพูดแล้ว ข้าจะบอกกล่าวแก่ทุกท่านอย่างแน่นอน”
“เจ้าอย่าได้มัวแต่อมพะนำอยู่เลย”
“เหตุใดจึงรังแกคนเฒ่าคนแก่อย่างนี้ล่ะ!”
“……”
ผู้อาวุโสเหล่านี้ยิ่งทำตัวเป็นเฒ่าทารกขึ้นไปทุกที ๆ ร้องขอความจริงไม่เลิกรา
ในขณะนั้นเอง ฉู่หลีก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “เชิญพวกท่านตามสบาย ข้าและศิษย์น้องหญิงขอตัวก่อน!”
เขาพามู่เฉียนซีฝ่าวงล้อมของบรรดาเฒ่าทารกทั้งหลายออกมา แล้วเดินจากไปด้วยท่าทีเย่อหยิ่งเต็มประดา
ทิ้งให้บรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นจ้องมองฉู่หลีและมู่เฉียนซีเดินจากไปด้วยใบหน้าคับข้องใจอยู่ไม่คลาย
เนื่องจากคนของสำนักลั่วเยว่มียาลูกกลอนให้ใช้ในการบำรุงรักษาร่างกายอย่างไม่มีขีดจำกัด จึงทำให้พวกเขาสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้เร็วกว่าคนของสำนักวารีเมฆาได้เป็นเท่าทวี
เมื่อร่างกายและพลังของพวกเขาฟื้นฟูจนสมบูรณ์แล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดเองก็ได้จัดกำลังคนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน กองกำลังใดทำหน้าที่คุ้มกันสำนัก กองกำลังใดทำหน้าที่ออกไปสู้รบ
มู่เฉียนซีซึ่งได้เตรียมตัวมาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วก็กล่าว “พวกเราออกเดินทาง!”
ความน่าเกรงขามของสำนักลั่วเยว่ขจรขจายไปไกล สำนักที่มีชื่อเสียงโดยรอบต่างทราบกันดีว่า อีกไม่นานสงครามอันแสนยาวนานระหว่างสำนักลั่วเยว่และสำนักวารีเมฆาก็จะต้องเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้า
ส่วนสำนักอื่น ๆ ต่างก็กำลังปรึกษาหารือกันอยู่ว่า พวกเขาจะยื่นมือเข้าไปช่วยสำนักลั่วเยว่ในศึกครั้งนี้ดีหรือไม่
เหตุใดถึงเลือกที่จะช่วยสำนักลั่วเยว่ แต่ไม่ช่วยสำนักวารีเมฆา นั่นก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ของบรรดาศิษย์สำนัก ๆ ต่าง ๆ ยามไปฝึกฝนยังที่อาณาเขตหนานหลิง พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นศิษย์คนสำคัญของสำนักต่าง ๆ และเป็นถึงผู้ที่ได้เข้าร่วมการคัดเลือกตำแหน่งเจ้าสำนักในกาลข้างหน้าอีกด้วย
“ท่านเจ้าสำนัก หากครานี้ไม่ได้ผู้นำมู่มาช่วยไว้ พวกเราคงไม่อาจมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างแน่นอน ยาลูกกลอนและอาวุธวิญญาณอีกมากมายที่พวกเราส่งมอบให้ทางสำนัก ส่วนมากแล้วก็นับว่าต้องยกความดีความชอบให้กับผู้นำมู่ที่คอยนำทางให้พวกเราขอรับ”
“ท่านหัวหน้า! คราก่อนช่วยไม่ทันก็ไม่เป็นไร แต่ครานี้หากท่านไม่ช่วย ข้าเองที่จะเป็นคนบดขยี้สำนักวารีเมฆา”
“……”
อย่างไรเสียทุก ๆ คนก็แทบจะรู้สึกเช่นนี้ด้วยกันทั้งหมด สุดท้ายแล้วทุก ๆ สำนักก็ได้ส่งคนของตนจำนวนหนึ่งลอบติดตามไปอย่างเงียบ ๆ
หากสำนักลั่วเยว่กำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเขาก็พร้อมใจที่จะเข้าไปช่วยเหลือในทันที ทว่าหากไร้ซึ่งอันตรายใด ๆ พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยื่นมือเข้าไปช่วย
ครั้นยกทัพมาถึงสำนักวารีเมฆา พลังวิญญาณของมู่เฉียนซีก็สัมผัสได้ว่าบริเวณโดยรอบมีผู้อื่นเร้นกายอยู่ และดูเหมือนจะไม่ใช่ศัตรูอีกด้วย
ครานี้สำนักวารีเมฆาสูญเสียพลังชีวิตไปไม่น้อย บัดนี้ก็ยังไม่อาจฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าสำนักลั่วเยว่กลับยาตราทัพพร้อมบดขยี้พวกเขาถึงที่แล้ว
“ท่านเจ้าสำนัก เราจะทำเช่นไรดี? คนของสำนักลั่วเยว่ยกพวกมาประชิดสำนักเราแล้ว”
“เจ้าจะตื่นตระหนกไปใย? ระบบป้องกันของสำนักเราธรรมดาเสียที่ไหน?”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเกราะป้องกันของสำนักวารีเมฆาแล้ว ฉู่หลีจึงเป็นคนแรกที่เข้าไปจัดการ
“ปัง!” เสียงปะทะดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วสารทิศ แต่เกราะป้องกันของสำนักวารีเมฆาก็ไม่ได้พังทลายลงมาแต่อย่างใด
เจ้าสำนักวารีเมฆารู้สึกโล่งใจไปไม่น้อย จากนั้นเขาจึงจะกล่าวกับตนเองว่า “ขอบคุณบรรพบุรุษที่ช่วยปกปักษ์รักษา เกราะป้องกันของสำนักได้ผลจริง ๆ! เมื่อสำนักวารีเมฆาแข็งแกร่งขึ้นแล้วในภายภาคหน้า ข้าจะลบล้างความอัปยศอดสูนี้ออกไปให้หมด”
สุ่ยโหรวรู้สึกไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง หากรู้ว่าบิดาของนางไร้ประโยชน์เช่นนี้ นางคงมอบกระดูกศักดิ์สิทธิ์ให้กับทางสำนักของนางไปแล้ว เช่นนั้นนางคงจะได้รับประโยชน์ไม่น้อย และคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวด้วยความโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง “กระดองเต่าที่พวกเจ้าสำนักวารีเมฆาใช้คุ้มกะลาหัวมันชักจะแข็งเกินไปแล้ว พวกเราโจมตีพร้อมกันไปเลย!”
เสียงของการปะทะดังกึกก้องไปทั่ว
ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ได้ออกมาร่วมด้วยช่วยกันโจมตีเกราะป้องกันของสำนักวารีเมฆา ทว่าก็ไม่อาจทลายเกราะป้องกันลงได้
มู่เฉียนซีกล่าว “ชิงอิ่ง เจ้าก็มาร่วมโจมตีกับพวกเราด้วย”
“ได้!”
ชิงอิ่งเองก็ได้เข้าร่วมโจมตีเกราะป้องกันของสำนักวารีเมฆาร่วมกับคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
แกร่ก! เกราะป้องกันของสำนักวารีเมฆาปรากฎรอยร้าวขึ้นแล้ว สิ่งนี้ทำให้เจ้าสำนักวารีเมฆาตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ท่านผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “การโจมตีเช่นนี้สามารถทลายเกราะได้! เพียงแต่เมื่อเกราะทลายลงแล้ว พลังวิญญาณของเราก็จะร่อยหลอลงไปมากเช่นกัน ไม่มีทางที่จะเหลือไปสู้รบได้อย่างแน่นอน แบบนี้เรามีแต่แพ้กับแพ้เป็นแน่”
“นี่เราต้องปล่อยพวกสำนักวารีเมฆาไปเช่นนี้จริงหรือ? หากไม่ได้ล้างแค้น ข้าไม่มีทางยอมเป็นแน่!”
“……”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเกราะป้องกันเช่นนี้ พวกเขาก็อับจนหนทางแล้วจริงๆ!
สุ้มเสียงหัวเราะเย้ยหยันของเจ้าสำนักวารีเมฆาแว่วดังออกมาอย่างชัดเจน “พวกเจ้าจะทำอะไรสำนักวารีเมฆาของพวกข้าได้? นี่เป็นเกราะป้องกันที่บรรพบุรุษเจ้าสำนักของพวกข้าทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง หากพวกเจ้าคิดว่าจะทำลายสำนักวารีเมฆาได้ละก็ ฝันไปเสียเถอะ”
เมื่อได้ยินเจ้าสำนักวารีเมฆากล่าวด้วยความกระหยิ่มใจเช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้คนของสำนักลั่วเยว่โกรธแค้นมากขึ้นเป็นเท่าทวี
“น่ารังเกียจเป็นที่สุด!”
“ทำตัวเย่อหยิ่งอยู่แต่ภายในกระดองเน่า ๆ ของพวกเจ้า คนของสำนักวารีเมฆาอย่างพวกเจ้ามันช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!”
“……”
สีหน้าของมู่เฉียนซีในตอนนี้ดูเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง เกราะป้องกันนี้พังทลายลงยากยิ่ง หรือจะต้องให้จิ่วเยี่ยเป็นคนจัดการ
ในขณะนั้นเอง สุ้มเสียงเหี้ยมโหดก็พลันแว่วดังมา “โอ้! นี่นายท่านแมวน้อยต้องการทำลายสำนักหรือ? เรื่องแบบนี้หากข้าไม่ช่วยก็คงจะดูไม่ดีสักเท่าไร?”
เมื่อมู่เฉียนซีได้ยินสุ้มเสียงที่ตัวนางเองก็ไม่ค่อยอยากจะได้ยินเท่าใดนักดังขึ้น นางจึงกล่าว “วิญญาณพิฆาต นี่เจ้าตื่นขึ้นมาเร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ”
“ก็ไอ้ของไร้ค่านั่นมันตื่นขึ้นแล้ว ข้าเองก็ต้องตื่นขึ้นด้วยสิ นายท่านแมวน้อย ตอนนี้ข้าเป็นทาสของเจ้า เจ้าจะให้ข้าทำอะไรก็ย่อมได้! เกราะป้องกันนี่จะให้ข้าทำลายมันก็ได้นะ สบายมาก ไม่เห็นจะต้องให้ไอ้ชั่วนั่นมาช่วยเลย” วิญญาณพิฆาตหัวเราะพลางกล่าว
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าทำได้จริงๆ รึ?”
“แมวน้อย เจ้าสงสัยข้าเช่นนี้ ข้ารู้สึกโกรธมากนะ” สุ้มเสียงของวิญญาณอาฆาตแฝงไปด้วยความอันตราย
“เจ้าโกรธแล้วมันอย่างไรเล่า? อย่าลืมสัญญาระหว่างเราสิ”
พลันนั้นมู่เฉียนซีก็ชักกระบี่มังกรเพลิงออกมา แล้วกล่าว “พวกท่านทุกคนถอยไป ข้าจะพังเกราะป้องกันนี้เอง”
ทุก ๆ คนต่างตกตะลึงไปเล็กน้อย ผู้อาวุโสระดับปราชญ์แห่งภูตร่วมมือกันทลายเกราะป้องกันแล้ว ก็ยังไม่อาจทลายลงได้ แล้วมู่เฉียนซีจะทำได้อย่างนั้นหรือ?
ราวกับฉู่หลีจะสัมผัสได้ถึงไอสังหารจากตัวมู่เฉียนซีที่ผิดแปลกไป เขากล่าว “ถอยไป ศิษย์น้องหญิงทลายเกราะป้องกันลงได้”
คนอื่น ๆ ล้วนคิดว่าฉู่หลีเชื่อมั่นในตัวศิษย์น้องหญิงผู้นี้อย่างไม่ลืมหูลืมตา ทว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ให้มู่เฉียนซีลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหาย
มู่เฉียนซีก้าวออกไปเบื้องหน้า นางกล่าว “วิญญาณพิฆาต จัดการเลย!”
แววตาดำขลับของมู่เฉียนมีประกายสีแดงราวทับทิมวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉู่หลีกำหมัดไว้แน่น ถึงแม้ศิษย์น้องหญิงจะข่มไอสังหารอันน่าสยดสยองนั่นไว้แล้วก็ตาม ทว่าเขากลับรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง คุ้นเคยจนไม่อาจมองข้ามไปได้
จิตวิญญาณพิฆาตของกระบี่ได้ตื่นขึ้นแล้ว!
เพียงมู่เฉียนซีแกว่งกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณออกไป เปลวเพลิงอันน่าสยดสยองก็พุ่งออกไปด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
ทุก ๆ คนล้วนเบิกตาโพลง “พะ…พลังนี่มัน…”
เมื่อพลังอันน่าตกตะลึงได้ระเบิดออกมาแล้ว มู่เฉียนซีและวิญญาณพิฆาตก็ได้ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ทลาย!”
กระบี่ได้ฟาดฟันลงไปยังใจกลางของเกราะป้องกันในทันที
แกร่ก!
เกราะป้องกันที่อยู่เบื้องหน้าได้แตกระแหงกลายเป็นใยแมงมุมไปในชั่วพริบตา
โครม! อุณหภูมิทั่วทั้งสำนักวารีเมฆาได้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งปลูกสร้างโดยรอบสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง
ปัง!
เกราะป้องกันได้พังทลายลงจนหมดสิ้น!
ปัง ปัง ปัง!
ลูกไฟจำนวนมากมายมหาศาลได้ตกลงใส่ค่ายของสำนักวารีเมฆาอย่างไม่หยุดหย่อน เปลวไฟลุกโชนเผาไหม้สำนักวารีเมฆาไปอย่างรวดเร็ว
ทำลาย! สะใจ! สะใจเสียจริง! คนของสำนักลั่วเยว่ต่างรู้สึกฮึกเหิมเป็นเท่าทวี
.