ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1572 บอกเล่าความลับ
มู่เฉียนซีกล่าว “ศิษย์พี่ วันนี้ท่านว่างลงเขาหรือไม่?”
“ศิษย์น้องหญิงอยากลงเขาหรือ?”
มู่เฉียนซีพยักหน้าเล็กน้อย “อื้ม! ข้าต้องลงเขาไปจัดการธุระนิดหน่อย จะได้ถือโอกาสนี้แนะนำคน ๆ หนึ่งให้ศิษย์พี่ได้รู้จักด้วย”
ฉู่หลีตกปากรับคำไปโดยไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย “ได้!”
แน่นอนว่าสถานที่ที่มู่เฉียนซีจะพาฉู่หลีไปนั้นก็คือหอหมอปีศาจ ช่วงนี้ฉู่หลีเองก็ได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงหอหมอปีศาจอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน
อย่างไรเสีย ยามที่สำนักลั่วเยว่ตกอยู่ในอันตราย ก็มีหอหมอปีศาจที่ยื่นมือเข้ามาช่วย ทำให้การบาดเจ็บล้มตายของสำนักลั่วเยว่ลดจำนวนลงไปเป็นจำนวนไม่น้อย
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าฉู่หลีก็ไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักกับหอหมอปีศาจให้ลึกลงไปเท่าใดนัก
เมื่อศิษย์น้องจะพาเขาไปที่นั่นด้วยตัวเอง เขาก็ยินดีที่จะไปเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับมู่เฉียนซีแล้ว หอหมอปีศาจก็เปรียบดั่งเรือนหลังที่จะเข้าออกอย่างไรก็ได้ และโม่ซวนก็บังเอิญอยู่ที่นั่นพอดี
“เฉียนซี เจ้ามาแล้ว!”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าคู่หูผู้นี้ทำหน้าที่เถ้าแก่ผู้จัดการดูแลได้ดีเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีรู้สึกไว้วางใจเขาเป็นที่สุด
มู่เฉียนซีมองไปยังโม่ซวนแล้วกล่าว “ห้ามนำภาระหรืองานใด ๆ มาให้ข้า ข้าเพียงพาศิษย์พี่มาทำความรู้จักก็เท่านั้น”
จากนั้นมู่เฉียนซีก็กล่าวกับฉู่หลี “ศิษย์พี่ หอหมอปีศาจเป็นของข้า คราหน้าหากท่านต้องการยาลูกกลอนก็สามารถมาเบิกที่นี่ได้ตามสบาย ส่วนบัญชีก็ให้คิดลงในส่วนของข้าได้เลย! หากท่านพี่มีธุระอันใดก็บอกกล่าวกับโม่ซวนได้”
ถึงแม้จะได้ยินมาว่าในช่วงนี้จะมีพลังเพิ่มพูนขึ้นมาไม่น้อย ทว่าหอหมอปีศาจที่ผู้คนต่างพากันเทิดทูนนั้นก็เป็นของมู่เฉียนซี
ฉู่หลี่ก็ยังคงมีท่าทีสุขุมอยู่อย่างเคย และใบหน้าก็ยังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
ทว่าแท้จริงแล้วภายในใจของเขากลับตกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง ทว่ามันก็ไม่ใช่เพราะหอหมอปีศาจ แต่เป็นเพราะศิษย์น้องของเขายินดีที่จะบอกเล่าความลับของนางให้เขาฟังต่างหาก
และแน่นอนว่าการที่ศิษย์น้องเลือกที่จะบอกกล่าวออกมาในเวลานี้ ก็ย่อมต้องมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจเป็นแน่
“อาจารย์ยังไม่ปรากฏตัว ศิษย์น้องคิดจะจากสำนักลั่วเยว่ไปแล้วหรือ?”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้ายังไม่ได้กล่าวอะไรเลย ศิษย์พี่ก็เดาถูกเสียแล้ว เป็นเช่นนั้น ข้าอยากออกไปฝึกตน ท่องไปทั่วใต้หล้า ดูสิว่าจะได้ข่าวคราวอันใดมาบ้างหรือไม่ และจะได้ถือโอกาสนี้เพิ่มพูนพลังให้ตัวเองด้วย”
ฉู่หลีไม่ได้คัดค้านการตัดสินใจของมู่เฉียนซี เขากล่าวเพียงว่า “ข้าเองก็ถึงช่วงเวลาคอขวดเข้าพอดี เห็นทีจะต้องเร้นกายไปฝึกบำเพ็ญตนบ้างแล้ว ศิษย์น้องเองก็ระวังตัวด้วย”
ฉู่หลีเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าศิษย์น้องของตนยังมีไพ่ไม้ตายอยู่อีกมากมาย สิ่งของที่ใช้รักษาชีวิตของตนเหล่านั้น เกรงว่าคงจะไร้ประโยชน์เสียแล้ว
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “อื้ม!”
ฉู่หลีกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “หากมีผู้ใดรังแกศิษย์น้อง ศิษย์น้องจะต้องบอกกล่าวกับข้า หากสู้ไม่ได้ก็จงหนี จากนั้นพวกเราค่อยไปสู้ด้วยกันอีกครา”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าค่ะ! ศิษย์พี่ของข้าเก่งกาจเช่นนี้ หากผู้ใดตาบอดกล้ามารังแกข้า ข้าจะเบิกเนตรคนผู้นั้นให้เห็นถึงความน่าเกรงขามของศิษย์พี่เอง”
เมื่อพูดคุยธุระเสร็จแล้ว ฉู่หลีก็เดินทางกลับไปในทันที ส่วนมู่เฉียนซียังไม่ได้กลับไปแต่อย่างใด นางถูกโม่ซวนกักตัวไว้เสียก่อน
ความเจริญรุ่งเรืองของหมอหอปีศาจดำเนินไปด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แทบจะครอบคลุมครึ่งหนึ่งของตลาดในอาณาเขตหนานหลิงเลยก็ว่าได้ บัดนี้ก็ยังคงขยายอาณาเขตออกไปอย่างต่อเนื่อง
โม่ซวนกล่าว “หอหมอปีศาจเจริญรุ่งเรืองทั่วทั้งเหนือใต้ เฉียนซีไม่ต้องกังวล เพียงแต่การขยายอาณาเขตออกไปภายนอก เกรงว่าจะมีปัญหาสักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่แต่อย่างใด ไม่ส่งผลกระทบถึงศูนย์กลางเป็นแน่ ข้าเพียงแค่มาบอกกล่าวกับเจ้าไว้ก่อนก็เท่านั้น”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่กลัวปัญหาความวุ่นวายหรอก ข้าศึกบุกเราต้าน วารีหลากก็กั้นด้วยผืนดิน ผู้ใดกลัวกัน?”
โม่ซวนตกตะลึงไปเล็กน้อย หวังว่านางจะสามารถรับมือกับบรรดาบุรุษที่เข้ามาพัวพันได้ด้วยความสุขุมเช่นนี้บ้าง
อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีความมั่นใจมากพอ ว่าจะสามารถรับมือกับคนเหล่านั้นไม่ให้มาเอาเปรียบได้
เมื่อมู่เฉียนซีสะสางธุระทั้งหลายเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินทางออกจากอาณาเขตหนานหลิงไปในทันที
สัตวศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาท่องอยู่กลางเวหา มู่เฉียนซีคลี่แผนที่ออกดู และกำลังครุ่นคิดพิจารณาว่าควรไปที่แห่งใดดี?
แดนซวนเทียนช่างกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน เพียงแค่อาณาเขตหนานหลิงก็มีสถานที่ให้ฝึกฝนอยู่มากมายแล้ว ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะท่องไปในอาณาเขตหนานหลินให้ทั่วเสียก่อน
ปลายทางที่นางเลือกก็คือป่าฉางเฟิง
สถานที่นี้มีชื่อเรียกที่ฟังดูเรียบง่ายมาก ทว่าแท้จริงแล้วมันคือป่าลึกที่มีความกว้างเป็นหมื่นลี้ ภายในพงไพรมีสัตว์เทพอยู่มากมาย รวมไปถึงสัตว์วิญญาณระดับต่าง ๆ อีกจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน
มู่เฉียนซีร่อนลงยังเมืองแห่งหนึ่งในเขตด้านนอกของป่าฉางเฟิง เมื่อเพิ่มเติมเสบียงเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางก็ถือโอกาสสืบหาข่าวคราวไปด้วย
มู่เฉียนซีต้องการทราบว่าภายในป่าฉางเฟิงมีสัตว์วิญญาณระดับสูงอยู่มากน้อยเพียงใด ที่ใดมีสมุนไพรวิญญาณและของล้ำค่าอยู่บ้าง?
ดังนั้นนางจึงได้เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ภายในโรงเตี๊ยมมีคนหนุ่มสาวนั่งอยู่จำนวนไม่น้อย ดูจากการแต่งกายของพวกเขาแล้ว ก็เหมือนจะเป็นศิษย์ของสำนักใดสำนักหนึ่ง
“ศิษย์น้อง ครั้งนี้ป่าหมอกพิษใกล้จะปรากฏแล้ว ข้าว่าพวกเราไม่เหมาะที่จะเข้าไปในป่าฉางเฟิงนะ หากถูกป่าหมอกพิษดูดกลืนเข้าไป พวกเราจะต้องตายเป็นแน่”
“พวกท่านจะไปเข้าใจอะไร? ป่าหมอกพิษนั่นมีสิ่งของล้ำค่าอยู่จริง ๆ นะ ข้าจะเข้าไปที่นั่น”
“มันอันตรายเกินไป! ศิษย์น้อง”
“วางใจเถอะ ข้านำพาของล้ำค่าติดตัวมาในการฝึกฝนมากมาย มีอะไรให้ต้องกลัวกัน? หากพวกท่านไม่ตามข้าไป ก็ไปไกล ๆ เลย”
ขณะที่พวกเขาเหล่านั้นกำลังสนทนากันอยู่ ถัดจากพวกเขาไปไม่ไกลก็มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังถกเถียงกันด้วยเสียงแผ่วเบา “เด็กน้อยของศิษย์สำนักนั้นช่างใจกล้าไม่เบา คิดจะเข้าไปในป่าหมอกพิษ เกรงว่าหากเข้าไปแล้วคงจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาเป็นแน่”
“ข้าเห็นด้วย อากาศพิษของป่าหมอกพิษนั่น แม้กระทั่งพลังวิญญาณก็ไม่อาจต้านทานได้ เพราะมันสามารถทำลายเกราะพลังวิญญาณได้ ตราบใดที่สัมผัสโดนมัน จะต้องตายสถานเดียว! ถึงแม้ในป่านั่นจะมีของล้ำค่า ทว่าก็ไม่มีชีวิตจะเข้าไปเก็บมันได้อยู่ดี”
“แล้วจะทำอย่างไรได้? ตอนนี้ศิษย์แต่ละสำนักมุทะลุอย่างกับอะไรดี”
ก้นบึ้งดวงตาของมู่เฉียนซีก็มีแสงประกายระยิบระยับวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ป่าหมอกพิษอย่างนั้นหรือ?
แม้กระทั่งพลังวิญญาณก็ยังป้องกันไม่ได้ เห็นทีคงมีเพียงยาเท่านั้นที่ป้องกันได้
เมื่อเตรียมพร้อมมาทั้งวันแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้มุ่งหน้าเข้าป่าฉางเฟิงไปในทันที
ร่างสีม่วงพุ่งปรี่เข้าป่าไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ยามบรรดาผู้คนที่มาฝึกตนพบว่านางเดินทางมาเพียงผู้เดียว ต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“นั่นเป็นเด็กน้อยจากสำนักใดกัน เข้ามาในป่าฉางเฟิงผู้เดียวเช่นนี้ คิดจะเอาชีวิตมาทิ้งหรืออย่างไร!”
“ข้าคิดว่านางคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง พลังของนางอยู่ในขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสองเท่านั้น แต่ยังกล้าเข้ามาในนี้อีก”
“……”
ภายในป่าแห่งนี้ หากต้องการพบเจอกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
มู่เฉียนซีได้เผชิญหน้ากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหก มันกำลังพุ่งปรี่เข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกตัวนี้มีพลังเทียบเท่ากับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นสูงสุด สิ่งที่มันช่ำชองก็คือความรวดเร็ว ตราบใดที่ผู้บำเพ็ญภูตซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่ามหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นสูงสุดได้พบเจอมัน ก็แทบจะไร้โอกาสหนีรอดไปได้
หมาป่าวายุคลั่งสัมผัสได้ถึงรสชาติอันหอมหวานของอาหารอันโอชะ มันจึงคิดจะเข้าไปขย้ำเหยื่ออย่างไม่ลังเล
ปลายเท้าของมู่เฉียนซีแตะพื้นเล็กน้อย จากนั้นนางก็พุ่งตัวออกไปราวกับสายลม แล้วหลบหลีกการโจมตีของหมาป่าวายุคลั่งได้อย่างแม่นยำ
หมาป่าวายุคลั่งที่มั่นใจในความเร็วและการลอบโจมตีของตนเองมาโดยตลอด บัดนี้กลับถูกบีบบังคับให้ยอมแพ้ มันได้พบเจอกับคู่ต่อสู้เข้าแล้ว!
“อาอู้ว อาอู้ว!” มันแหงนหน้าขึ้นท้องท้องฟ้า แล้วเห่าหอนด้วยเสียงลากยาว ทั้งยังส่งกลิ่นคาวเหม็นคลุ้งชวนอาเจียนออกมา กลิ่นนั้นราวกับว่าจะทำให้ผู้คนขาดอากาศหายใจจนตายได้
มู่เฉียนซีบีบจมูกแล้วกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าปากของเจ้าเหม็นเน่าชวนอ้วกที่สุด! เห่าหอนซี้ซั้วเช่นนี้ เหม็นจะตายอยู่แล้ว”
“พวกมนุษย์ ความตายอยู่ตรงหน้าแล้วยังกล้าดูแคลนข้า รนหาที่ตายชัดๆ!” หมาป่าวายุคลั่งกล่าวจบก็ได้พุ่งเข้าหามู่เฉียนซีอีกครา
“ข้ารึรนหาที่ตาย? ข้าว่าเจ้าต่างหากที่รนหาที่ตาย” พลังของมู่เฉียนซียามปะทะกับหมาป่าวายุคลั่งนั้น ก็ไม่ได้ด้อยกว่าแต่อย่างใด
ปัง!
สายฟ้าได้ฟาดลงมาจากกลางเวหา ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างกระเด็นกระดอนออกไปไกล
เมื่อมู่เฉียนซีตั้งหลักได้แล้ว นางก็มองไปยังหมาป่าวายุคลั่งด้วยสีหน้ายียวน “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกมีพลังแค่นี้เองหรือ!”
หมาป่าวายุคลั่งตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง มนุษย์ผู้นี้มีพลังเพียงแค่ขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสองเท่านั้น เดิมทีมันก็ควรที่จะสามารถฉีกร่างของมนุษย์ผู้นี้ได้อย่างสบายแท้ๆ
ทว่าจากการต่อสู้เมื่อครู่ มนุษย์ผู้นี้ทำให้มันสัมผัสได้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่
หากยังต่อสู้ต่อไป มันคงต้องตายเป็นแน่ ลางสังหรณ์เช่นนี้ได้ช่วยชีวิตมันจากอันตรายในป่าแห่งนี้มาหลายครั้งหลายคราแล้ว ดังนั้นหมาป่าวายุคลั่งจึงไม่คิดดันทุรังอีกต่อไป สุดท้ายมันก็วิ่งหนีหายไปด้วยความเร็วอย่างสุดชีวิต!
.