ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1578 นางวิปริตตายแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเจ้ารับปากว่าจะทำเรื่องสามเรื่องให้ข้าใช่หรือไม่? ไม่เลว ข้าตกลง!”
จากนั้นพวกเขาก็พบว่ามู่เฉียนซีนำกระบี่สีแดงเข้มออกมา กระบี่เล่มนั้นแผ่ไอร้อนที่น่าตกใจออกมา
กระบี่ที่น่าสะพรึงนั้นกวัดแกว่งไปกลางอากาศ บัวอัคคีสีแดงฉานก็เบ่งบานขึ้นในฉับพลัน
“บัวแดงพิฆาต!”
เสียงของการโจมตีดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว
“เพลิงสังหารซิวหลัว!”
เปลวเพลิงสีแดงอันแสนแรงกล้า เผาทำลายสัตว์ร้ายเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นภายในชั่วพริบตา
เหล่าศิษย์สำนักฉางยวนล้วนแต่เบิกตากว้างโพลงด้วยความตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น!
“คะ…แค่นี้ก็จัดการได้แล้วหรือนี่!”
น่าตกใจ ช่างน่าตกใจเสียจริง!
มู่เฉียนซีทอดมองไปยังพวกเขาเหล่านั้นแล้วกล่าว “พวกเจ้าอยากที่จะเข้าไปหาของล้ำค่าในป่าหมอกพิษ หรือจะตามข้าออกไป?”
หากพวกเขาต้องตายอยู่ที่นี่ การช่วยชีวิตในครั้งนี้ก็คงเสียเที่ยว
โชคดีที่คนเหล่านี้ฉลาดมีไหวพริบ เมื่อได้ยินมู่เฉียนซีกล่าวมาเช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็กล่าว “แน่นอนว่าพวกข้าต้องอยากออกไปอยู่แล้ว พวกข้าไม่อยากอยู่ในสถานที่น่ากลัวเช่นนี้หรอก”
“สถานที่น่ากลัวแห่งนี้ไหนเลยจะมีของล้ำค่า! พวกเราถูกหลอกแล้ว!”
“หากแม่นางสามารถพาพวกเราออกไปได้ พวกเราจะซาบซึ้งในน้ำใจของแม่นางเป็นอย่างยิ่ง!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นก็ตามข้ามา! เร็วหน่อยก็แล้วกัน”
เมื่อพลังวิญญาณแผ่ซ่านออกไป มู่เฉียนซีก็เริ่มหาทางออกในทันที!
ทางออกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากพวกเขาไม่คอยติดตามให้ดี ก็ไม่มีทางออกไปจากป่าแห่งนี้ได้ง่ายดายอย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาที่คอยติดตามนางไปก็รู้สึกเหนื่อยอยู่ไม่น้อย
“ศิษย์พี่ นาง เอ่อ…ผู้มีพระคุณเป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตเท่านั้น!”
“ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตแล้วอย่างไรล่ะ? พวกเราได้เห็นพลังของนางกับตาตัวเองแล้ว! ทั่วทั้งใต้หล้านี้มีผู้มากความสามารถอยู่ไม่น้อย พวกเราต้องหัดทำตัวสุขุมให้ได้!”
“ศิษย์พี่ ท่าทางของศิษย์พี่ไม่เห็นจะดูสุขุมตรงไหนเลย!”
เมื่อรีบเร่งเดินทางออกจากป่าผืนนี้มาตลอดทาง สุดท้ายแล้วมู่เฉียนซีและพวกศิษย์สำนักฉางยวนก็สามารถกลับออกมาจากป่าหมอกพิษได้สำเร็จ พวกเขากล่าวด้วยความเหนื่อยหอบ “ในที่สุดก็ออกมาได้แล้ว!”
“พวกเรารักษาชีวิตน้อยๆไว้ได้แล้ว!”
“……”
พวกเขาต่างจ้องมองไปยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “ขอบใจแม่นางมากที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเรา!”
มู่เฉียนซีกล่าว “สามข้อร้องขอ ห้ามขาดไปแม้แต่ข้อเดียวเชียว มิฉะนั้นพวกเจ้าต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมา”
“แน่นอนอยู่แล้ว พวกเราศิษย์สำนักฉางยวน ไม่มีมีทางลืมบุญคุณผู้มีพระคุณอย่างเด็ดขาด!”
เมื่อมู่เฉียนซีเตรียมจะเดินจากไป พวกเขาก็ได้ติดตามไปด้วย “พวกเราออกไปด้วยกัน!”
ครั้นพวกเขากำลังจะออกจากป่าผืนนี้ พวกเขาก็ได้พบเจอกับกลุ่มของหญิงสาวอาภรณ์ชมพูเข้า
สวี่ฝูกล่าว “ในที่สุดก็หาเจ้าเจอจนได้ เจ้าไม่รอดแน่ ท่านผู้อาวุโสหวัง ฆ่านางผู้หญิงคนนั้นซะ”
สวี่ฝูเองก็ได้พบเจออันตรายในที่แห่งนั้นเช่นกัน เพียงแต่นางได้ถูกผู้อาวุโสของสำนักช่วยเอาไว้ได้ก็เท่านั้น
เมื่อมีผู้อาวุโสคอยหนุนหลังอยู่ นางก็ไม่นึกเกรงกลัวมู่เฉียนซีแม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอรับ คุณหนูใหญ่!”
“พวกเจ้าบังอาจนัก!”
ผู้อาวุโสผู้นี้มีพลังในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์สำนักฉางยวนก็ได้ก้าวออกไปเบื้องหน้า
“พวกเจ้าเป็นคนของสำนักใดกันแน่ เป็นผู้อาวุโสแท้ ๆ แต่กลับรังแกผู้เยาว์ คิดว่าจะรังแกศิษย์สำนักฉางยวนอย่างพวกเราได้ง่าย ๆ อย่างนั้นรึ?”
ผู้อาวุโสหวังอึ้งไปในทันที “เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าเป็นคนของสำนักฉางยวนรึ”
พวกเขาจึงนำป้ายประจำกายออกมาแสดง แล้วกล่าว “หากไม่เชื่อ! พวกเจ้าก็จงดูให้เต็มตา”
“เป็นแผ่นป้ายของศิษย์สำนักฉางยวนจริง ๆ ด้วย”
ผู้อาวุโสหวังกล่าว “คุณหนูใหญ่ เรื่องในวันนี้ให้มันแล้วกันไปเถิด”
สำนักฉางยวนแข็งแกร่งและมีอำนาจกว่าสำนักเล่ออันของพวกเขาระดับหนึ่ง หากจะต้องยั่วโทสะสำนักฉางยวนเพียงเพราะการมีปากเสียงกันของเด็กน้อยแล้วละก็ มันก็เป็นอะไรที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
สวี่ฝูกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “ท่านผู้อาวุโสหวัง!”
“หยุดเดี๋ยวนี้! มิฉะนั้นเรื่องที่เจ้าแอบออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก ก็อย่าหวังว่าข้าจะช่วยเจ้า”
สวี่ฝูทำได้เพียงยอมแพ้ไปเท่านั้น เพียงแต่นางก็ยังคงรู้สึกไม่ยินยอมอยู่ดี
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
เมื่อคนเหล่านั้นจากไปแล้ว พวกของมู่เฉียนซีก็รีบเดินทางต่อไปในทันที
เมื่อบรรดาศิษย์สำนักฉางยวนเห็นว่า มู่เฉียนซีที่ได้เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ ทว่ากลับยังมีสีหน้าเรียบเฉย พวกเขาจึงรู้สึกนับถือนางมากขึ้นเป็นเท่าทวี
ขณะที่กำลังเดินทางอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้แว่วดังมา “นางวิปริต เจ้าจะตายอย่างน่าอนาทเกินไปแล้ว! ฮือ ฮือ ฮือ!”
“ถึงแม้เจ้าจะทารุณข้าถึงเพียงนี้ แต่เห็นแก่บุญคุณที่เจ้าช่วยข้าไว้ ข้าจะทำหลุมศพให้เจ้าก็แล้วกัน!”
“คนวิปริตอย่างเจ้าได้มาตายในป่าหมอกพิษเช่นนี้ สวรรค์มีตาจริง ๆ…”
ศิษย์สำนักฉางยวนกล่าว “นี่ไม่ใช่เสียงของมนุษย์ แต่เหมือนจะเป็นเสียงของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาร้องไห้เช่นนี้ ยากนักจะได้พบเห็น”
ผลปรากฎว่าพวกเขาพบว่า มู่เฉียนซีได้หายตัวไปแล้ว
มู่เฉียนซีทอดมองไปยังเนินดินเล็ก ๆ เนินนั้น ก่อนจะพบว่ามีหมาป่าวายุคลั่งที่ประเดี๋ยวก็ร้องไห้ ประเดี๋ยวก็หัวเราะอยู่ใกล้ ๆ เนินดิน จากนั้นมู่เฉียนซีจึงจะกล่าวถาม “เจ้าว่าใครตายนะ?”
“ผีหลอก!” เมื่อหมาป่าวายุคลั่งได้เห็นหน้าของมู่เฉียนซี มันก็รีบถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลัวผีด้วยหรือนี่?” มู่เฉียนซีกล่าว
“จะ…เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ!”
มีผู้คนที่หนีออกมาจำนวนไม่น้อย ทว่ามันไม่เห็นมู่เฉียนซีอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นเลย มันจึงคิดว่านางได้ย่ำเข้าสู่ประตูผีไปแล้ว จึงได้ขุดหลุมศพให้นาง
คาดไม่ถึงว่า…
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าคงผิดหวังแย่สินะ?”
“เปล่า เปล่า เปล่า…ข้าเปล่าผิดหวังเสียหน่อย” หากนางตายต่างหากจึงจะน่าผิดหวัง!
“อยากตายหรือไม่?”
“ไม่…ข้ายังไม่อยากตาย!”
มู่เฉียนซีนำกระดิ่งออกมา แล้วผูกไว้กับคอของหมาป่าวายุคลั่งแล้วกล่าว “หอยาของข้าขาดคนเฝ้าประตูอยู่พอดี เจ้าจงนำของสิ่งนี้ไปที่หอหมอปีศาจ แล้วรับหน้าที่นี้ซะ! หากเจ้าทำได้ดี ข้าจะช่วยให้เจ้าได้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดเอง หากเจ้าทำได้ไม่ดี…”
“ข้าจะต้องทำได้ดี! ข้าจะต้องทำได้ดีอย่างแน่นอน!”
หมาป่าวายุคลั่งรีบรับปากในทันที ทว่าเมื่อมันได้รับปากไปแล้ว มันจึงจะพบว่านางวิปริตผู้นี้ให้มันไปทำหน้าที่เฝ้าประตู
ทำเกินไปแล้ว! นางชักจะทำเกินไปแล้ว!
ถึงแม้ภายในใจจะรู้สึกเดือดดาล ทว่ามันก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่น้อย
ศิษย์สำนักฉางยวนเหล่านั้นเดินเข้ามาพลางกล่าวถาม “ที่แท้แม่นางมู่ก็รู้จักสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้นี่เอง!”
“นางวิปริตที่มันเอ่ยถึง คงไม่ใช่แม่นางมู่หรอกกระมัง!”
“ไม่ใช่! ไม่ใช่! ไม่ใช่อย่างแน่นอน แม่นางออกจะงามล้ำถึงเพียงนี้ จะเป็นคนวิปริตไปได้อย่างไร” หมาป่าวายุคลั่งรีบปฏิเสธในทันที คนเหล่านี้ปากไม่มีหูรูด เกือบทำมันซวยซ้ำซวยซ้อนแล้ว
ศิษย์สำนักฉางยวนกระตุกมุมปากเล็กน้อย ดูจากท่าทางของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้แล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าจะต้องเป็นอย่างที่พวกเขาคิดอย่างแน่นอน!
สามารถทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตกใจกลัวได้เช่นนี้ หากไม่วิปริตแล้วจะเป็นอะไรไปได้?
เมื่อหมาป่าวายุคลั่งออกเดินทางแล้ว มู่เฉียนซีและศิษย์สำนักฉางยวนก็เดินทางออกจากป่าผืนนี้เช่นกัน
เฉาหนาน ศิษย์พี่ของเหล่าบรรดาศิษย์สำนักฉางยวนนามกล่าว “แม่นางมู่ ไม่ทราบว่าแม่นางมีแผนอย่างไรต่อไปหรือ?”
“เดิมทีข้ามาที่แห่งนี้เพื่อฝึกฝน เมื่อการฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้สิ้นสุดลง ข้าก็จะเปลี่ยนสถานที่แห่งใหม่ หากข้ามีเรื่องที่ต้องการให้พวกเจ้าช่วย ข้าจะส่งจดหมายไปยังสำนักฉางยวนของพวกเจ้า”
เฉาหนานกล่าว “ผลการฝึกในสนามรบจริงออกมาไม่ค่อยสู้ดีนัก พวกเราจึงจะไปฝึกฝนให้พลังแกร่งกล้าขึ้นที่เมืองหนานหลิง”
“เมืองหนานหลิงเป็นสถานที่เช่นไร? เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องไปฝึกฝนที่นั่นด้วย?”
เฉาหนานกล่าวด้วยความตกตะลึงไปเล็กน้อย “แม่นางมู่ไม่รู้หรือไร? เมืองหนานหลิงเป็นสถานที่ที่อุดมไปด้วยของล้ำค่า ใต้ดินล้วนเต็มไปด้วยหยกซวน และเนื่องจากกองกำลังระดับสี่ไม่ยินยอมขุดหยกซวนเหล่านั้นออกมาแบ่งปันด้วยความเสมอภาค! ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างเมืองขึ้นมาเมืองหนึ่ง เพื่อเป็นที่ฝึกฝนให้ศิษย์ของกองกำลังระดับสี่โดยเฉพาะ”
มีเพียงคนของสำนักที่อยู่ในกองกำลังระดับสี่เท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปในเมืองหนานหลิงได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ศิษย์ของสำนักกองกำลังระดับสี่สามารถฝึกฝนได้รวดเร็วกว่าศิษย์สำนักกองกำลังระดับสาม
ภายในอาณเขตหนานหลิง ยามศิษย์สำนักกองกำลังระดับสามกำลังดิ้นรนให้ได้มาซึ่งระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูต ศิษย์สำนักกองกำลังระดับสี่ที่มากความสามารถก็ได้ก้าวข้ามขั้นต่างๆเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตไปแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าว “แต่ข้าไม่ใช่คนของสำนักกองกำลังระดับสี่ เกรงว่าคงจะไปที่นั่นไม่ได้”
.