ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1610 ที่พักพิงของหงส์คือต้นอู๋ถง
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “สถานที่ที่สามารถทำให้หงส์นิลตัวน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกตัวนี้รู้สึกคุ้นเคยได้ นอกจากเผ่าหงส์นิลแล้วก็ไม่น่าจะเป็นที่อื่นได้”
นางและจิ่วเยี่ยตามหากันมานานแสนนาน ทว่าก็ไม่เคยจะหาสถานที่ตั้งของเผ่าหงส์นิลเจอเลยสักครั้ง
มู่เฉียนซีกล่าว “สุ่ยจิงอิ๋ง พวกเราสามารถเข้าไปได้หรือไม่?”
“ระหว่างที่รอยแยกมิติยังไม่ผสานตัวกัน ก็สามารถเข้าไปได้ไม่ยาก แต่หากรอยแยกมิติผสานตัวกันแล้ว มันก็ค่อนข้างจะลำบาก ดังนั้นต้องไปด้วยความรวดเร็วเท่านั้น!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของสุ่ยจิงอิ๋ง ร่างของหงส์นิลน้อยก็ขยายใหญ่ขึ้นภายในชั่วพริบตา
สมแล้วที่มีสายเลือดของสัตว์เทพ ถึงแม้จะเพิ่งฟักออกมาได้ไม่นาน แต่ขนาดของมันก็ไม่ได้เล็กไปกว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดแต่อย่างใด
“เสี่ยวโม่โม่ เจ้าจะดื้อรั้นเกินไปแล้วนะ!”
รอบกายล้วนรายล้อมไปด้วยมิติผันผวน การที่มันมีร่างกายใหญ่โตขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าปกป้องเจ้าตัวน้อยนี่ได้!”
เสี่ยวโม่โม่กล่าว “นายท่าน รีบขึ้นมาบนตัวข้าเร็วเข้า ข้าจะพาท่านบินเข้าไปข้างในเอง”
“จงระวังด้วย! อย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่ามเป็นอันขาด” มู่เฉียนซีกล่าวเตือนเสี่ยวโม่โม่
ปีกสีดำนิลของมันประดุจดั่งเส้นไหมอันอ่อนนุ่มที่ย้อมกลบไปด้วยน้ำหมึกก็มิปาน ยามลูบไล้ไปแล้วก็ให้ความรู้สึกที่ดีเป็นอย่างยิ่ง
อู๋ตี้กล่าว “เหมียว! ดูเหมือนท่านอู๋ตี้ผู้นี้จะถูกแย่งชิงความรักไปเสียแล้ว”
เสี่ยวหงหัวเราะเยาะแล้วกล่าว “ไอ้เจ้าหมอนี่ เจ้ากลายเป็นที่รักของนายท่านไปตั้งแต่เมื่อใดกัน ยังจะมาคิดเล็กคิดน้อยอีก”
ลมพายุอันแสนบ้าคลั่งได้พัดผ่านไป ภายใต้การคุ้มกันของสุ่ยจิงอิ๋ง เสี่ยวโม่โม่ก็ได้บินเข้าไปในรอยแยกมิติรอยนั้นอย่างไม่คิดลังเล
นิสัยของเจ้าหงส์นิลน้อยตัวนี้ราวกับเป็นลูกวัวเกิดใหม่ที่ไม่กลัวเสือเลยสักนิด ถึงแม้จะเป็นสัตว์เทพที่โตเต็มวัยแล้ว ก็ล้วนไม่กล้าทำอะไรมุทะลุอย่างเจ้าตัวน้อยนี่
หงส์นิลน้อยพุ่งเข้าไปในรอยแยกมิติด้วยความแน่วแน่ ยิ่งเมื่อมีสุ่ยจิงอิ๋งอยู่ พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องใด ๆ เมื่อผ่านรอยแยกมิติมาได้แล้ว นางก็ได้เห็นภาพที่สวยงามอลังการอยู่เบื้องหน้าในทันที
ขณะนี้มู่เฉียนซีกำลังนั่งอยู่บนตัวหงส์นิลน้อย มันร่อนไปกลางเวหา เบื้องหน้ามีต้นไม้ต้นใหญ่เกินบรรยายตั้งตระหง่านอยู่ต้นหนึ่ง
กิ่งก้านของต้นไม้ต้นนี้มีความเรียบและเกลี้ยงเกลา ใบก็มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ราวกับพัดขนาดยักษ์ก็มิปาน มันทับซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ไร้ซึ่งช่องว่างใด ๆ
มู่เฉียนซีกล่าว “นี่มันต้นอู๋ถงนี่!”
ถึงมันจะน่าเหลือเชื่อ แต่ต้นไม้ต้นนี้ก็มีคุณสมบัติวิเศษเหมือนกับต้นอู๋ถงไม่มีผิด
นี่เป็นต้นไม้หนึ่งต้น ในขณะเดียวกันก็เป็นโลกอีกหนึ่งใบด้วย ใบไม้ทุกใบล้วนเป็นผืนดินใหญ่หนึ่งผืน
ได้เวลาที่ต้นอู๋ถงจะผงาดขึ้นแล้ว!
“ข้าชอบ! ข้าชอบมากเลย” หงส์นิลน้อยบินร่อนไปมากลางเวหาด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อมู่เฉียนซีได้เห็นท่าทางดีอกดีใจของหงส์นิลน้อยแล้ว นางก็กล่าวว่า “ล่ำลือกันว่าหากไม่ใช่ต้นอู๋ถงแล้ว หงส์ก็จะไม่ยอมร่อนลงมาพักผ่อนเป็นอันขาด เห็นทีเรื่องเล่านี้จะไม่ใช่เรื่องโกหก”
นี่เป็นที่ตั้งของเผ่าหงส์ ต้องใช่แน่ ๆ!
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวโม่โม่ พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ!”
“เจ้าค่ะ!”
หงส์นิลน้อยบินเข้าไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ นอกจากเรื่องเผ่าของมันแล้ว มันก็อยากจะเข้าไปใกล้และเล่นบนต้นอู๋ถงเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญชาตญาณ!
มองผิวเผินแล้วอาจจะใกล้ ทว่าแท้จริงแล้วมันอยู่ไกลเป็นอย่างยิ่ง
สุ่ยจิงอิ๋งได้เปิดใช้ช่องทางมิติ ทำให้เสี่ยวโม่โม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้สะดวกขึ้น
ปัง!
เพียงแต่เมื่อได้เข้าใกล้ เสี่ยวโม่โม่กลับชนเข้ากับกำแพงใสเสียอย่างนั้น
“เจ็บจัง!” เสี่ยวโม่โม่รู้สึกน้อยอกน้อยใจเป็นอย่างยิ่ง
โลกของหงส์ทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยพลังอันมหาศาล เบื้องบนปรากฎลวดลายของผนึกอยู่มากมาย
มู่เฉียนซีเอ่ยถาม “สุ่ยจิงอิ๋ง นี่มันอะไรกัน?”
“พลังของเผ่าเทพ เผ่าเทพได้ผนึกโลกหงส์แห่งนี้เอาไว้แล้ว และไม่อนุญาตให้ผู้ใดผ่านเข้าไปได้ อีกอย่างถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุอัคคี หากพลังไม่แกร่งกล้าพอก็ยากที่จะเข้าไปได้ ผนึกชนิดนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง”
มู่เฉียนซีกล่าว “ที่แท้ก็ถูกผนึกไว้นี่เอง มิน่าจิ่วเยี่ยค้นหามานานหลายปีก็ยังไม่เจอสถานที่แห่งนี้เสียที”
“มีวิธีที่จะเข้าไปได้อีกหรือไม่?” มู่เฉียนซีเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว!”
ทันใดนั้นก็มีแสงสีฟ้าวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ร่างนุ่มนวลเสียยิ่งกว่าวารีร่างหนึ่งได้มาปรากฎตัวอยู่เบื้องหน้ามู่เฉียนซี
ผนึกฝ่ามือของนางแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ได้ทำการเปิดช่องออกมาหนึ่งช่อง
ถึงแม้จะช่องว่างจะถูกเปิดออกแล้ว ทว่าเผ่าเทพก็ยังไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติแต่อย่างใด นี่เป็นพลังของผู้พิทักษ์นิรันดร์
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวโม่โม่ พวกเราเข้าไปกันเถอะ! พาข้าเข้าไปดูบ้านเกิดของเจ้า”
“อื้ม!”
เสี่ยวโม่โม่แปรงกายเป็นลำแสงสีดำ มันพามู่เฉียนซีบุกเข้าไปในต้นอู๋ถงซึ่งเป็นโลกของหงส์ในทันที
เสี่ยวโม่โม่โบยบินไปตามความรู้สึกในสายเลือดของตนเอง แผ่นดินขนาดใหญ่เหล่านั้นทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นมันจึงจะตัดสินใจร่อนลงไปใกล้ ๆ
“นายท่าน ข้า…ข้ารู้สึกว่าตรงนั้น…ข้าขอเข้าไปดูสักหน่อยจะได้หรือไม่?”
เสี่ยวโม่โม่อยากจะเข้าไปสังเกตดูที่แผ่นดินขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของต้นอู๋ถง
มู่เฉียนซีกล่าว “อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้ามาที่นี่ ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะต้องไปที่ใดดี? เช่นนั้นก็แล้วแต่ความรู้สึกของเจ้าก็แล้วกัน!”
หากนางคาดเดาไม่ผิดละก็ การที่เสี่ยวโม่โม่สัมผัสได้ถึงสถานที่แห่งนั้น บางทีที่แห่งนั้นก็อาจจะเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าหงส์นิลก็เป็นได้
“นายท่านใจดีที่สุด!” เสี่ยวโม่โม่จึงบินเข้าไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลนัก หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวโม่โม่กำลังตื่นเต้นอยู่ละก็ มู่เฉียนซีก็ไม่อาจทำใจเอาเปรียบทาสของตนได้ อีกอย่างเจ้าหงส์นิลน้อยตัวนี้ก็เพิ่งจะฟักออกจากไข่ได้ไม่นานด้วย
เมื่อมู่เฉียนซีเข้าไปในโลกของหงส์ เงาดำเงาหนึ่งก็กลับมาปรากฎตัวอยู่เบื้องหน้าประตูสำนักฉางฮวน
เป็นเงาของบุรุษรูปร่างผอมบาง กลิ่นอายแห่งโทสะที่ครอบคลุมไปทั่วตัว ทำให้บุรุษผู้นี้ดูน่ากลัวราวกับปีศาจ
ใบหน้าของเขาถูกปิดบังไปด้วยหน้ากากสีดำทมิฬ ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นแฝงไปด้วยไอสังหารที่สามารถทำลายล้างได้ทุกสิ่งอย่าง
ไอสังหารนี้ทำให้คนทั้งสำนักฉางฮวนหวาดกลัวไปในทันที
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวออกมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาจ้องมองไปยังบุรุษผู้นั้นด้วยท่าทางอึดอัดใจเต็มประดา
“ท่านมาที่สำนักเราเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามาหาผู้ใดหรือ?” เจ้าสำนักจีกล่าว
ภายในชั่วพริบตา ความอึมครึม ความหวาดกลัว และความเย็นยะเยือกจับขั้วใจก็ได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งสำนักฉางฮวน
“ข้ามาเพื่อทำลายสำนักของเจ้า!” เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก และไม่มีการอ้อมค้อมหรือการพูดจาไร้สาระใด ๆ ทั้งสิ้น มันทำให้ทุก ๆ คนรู้สึกราวกับตกไปอยู่ในธารน้ำแข็งอันหนาวเหน็บก็มิปาน
“ทำลายสำนักของข้าอย่างนั้นรึ บังอาจนัก! พวกเราเป็นถึงสำนักในกองกำลังระดับสี่เชียวนะ เจ้าคิดว่าจะทำลายก็ทำลายได้ตามใจชอบอย่างนั้นรึ”
เนื่องจากอีกฝ่ายมาเพียงลำพังเท่านั้น การที่อีกฝ่ายกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา จึงทำให้คนของสำนักฉางฮวนรู้สึกว่าคนผู้นี้อวดดีเกินไปแล้ว
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มทำการโจมตีในทันที!
ทว่าความเร็วของจิ่วเยี่ยก็มีมากกว่าพวกเขาเป็นเท่าทวี!
พวกเขาไม่อาจสังเกตดูได้อย่างชัดเจนว่า ที่สุดแล้วจิ่วเยี่ยโจมตีพวกเขาด้วยวิธีใด ภายในชั่วพริบตาจำนวนคนของสำนักฉางฮวนก็ลดลงไปอย่างรวดเร็ว และมีร่างไร้วิญญาณเพิ่มขึ้นมาแทน
“เฮือก!” ส่วนคนที่โชคดีรอดมาได้ ต่างก็รู้สึกตกตะลึงอยู่ไม่คลาย
พลังของคนผู้นี้จะแข็งแกร่งไปถึงไหน!
ราชันวิญญาณหรือเทพวิญญาณกันแน่?
พวกเขาไปยั่วโทสะบุคคลที่อันตรายและน่ากลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
เจ้าสำนักจีตกใจจนแข้งขาอ่อนยวบ เขาตะโกนออกไปเสียงดังลั่น “ได้โปรดไว้ชีวิตเราด้วยเถิด! พะ…พวกเราสำนักฉางฮวนไปยั่วโทสะท่านตั้งแต่เมื่อใด พวกเราต้องขออภัยด้วย พวกเรา…”
“ตายซะ!”
พลังสีดำทมิฬนั้นทำให้ทุก ๆ คนแทบจะหายใจไม่ออก
ไม่ว่าถลกหนัง เลาะกระดูก คร่าชีวิต ทำลายวิญญาณ สำหรับจิ่วเยี่ยผู้กระหายเลือดอย่างเขาก็เป็นอะไรที่ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง!
ศึกในครานี้ได้ไปถึงหูของผู้อาวุโสสูงสุดในสำนักอย่างรวดเร็ว
“ผู้ใดกล้ามาก่อความวุ่นวายในสำนักฉางฮวนของเรา!”
ทว่าเมื่อได้เห็นกองกระดูกที่เกลื่อนอยู่เต็มสำนัก อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าหวาดกลัวนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดก็ต้องกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง “ราชาจิ่วเยี่ยแห่งคุกโลหิต…ท่าน”
ปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวเยี่ยงเขาเหตุใดถึงได้มายังสำนักฉางฮวนของเขาได้ ความคิดเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คือ หนีเท่านั้น!
หนีไปให้เร็วที่สุด!
พรึ่บ! แล้วตอนนี้เขาจะหนีไปได้อย่างไร
นี่มันนรกชัด ๆ!
เจ้าสำนักจีทอดมองไปยังสำนักของตนเอง ที่นี่ได้กลายเป็นนรกไปแล้ว ทั่วทั้งสำนักมีเพียงเขาที่ยังมีลมหายใจอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น