ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1613 ร่างแท้จริงออกศึก
มู่เฉียนซีกล่าว “ขอโทษมาเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าต้องเอาชนะข้าให้ได้เสียก่อน ข้าจึงจะยอมขอโทษ! ไม่มีทางที่เผ่าหงส์จะยอมลดศักดิ์ศรีลงมาง่าย ๆ” โม่เฟิงเชียนกล่าว
“เจ้าคิดจะท้าประลองกับข้าอย่างนั้นรึ?” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้ายียวน
“ใช่แล้ว! ไม่รู้ว่าเจ้าตัวน้อยนั่นถูกเจ้าหลอกล่อให้ทำพันธสัญญาหรือไม่ หากข้าชนะ เจ้าจะต้องถอนพันธสัญญาคืน แล้วปล่อยให้มันเป็นอิสระ”
“ไม่ใช่สักหน่อย! ไม่ใช่อย่างนั้น…”
“นายท่านดีที่สุด!”
เสี่ยวโม่โม่โกรธจนขนลุกขนพองไปทั้งตัว
โม่เฟิงเชียนกล่าว “เจ้าอายุน้อยเพียงเท่านี้จะไปเข้าใจอะไร?”
“เจ้ามันชั่วช้าเกินไปแล้ว”
เสี่ยวโม่โม่คิดอยากออกไปปะทะกับโม่เฟิงเชียน ทว่ากลับถูกมู่เฉียนซีห้ามไว้เสียก่อน
มู่เฉียนซีใช้โทรจิตในการสื่อสาร “เสี่ยวโม่โม่ เจ้ายังมีสหายอีกสองคนที่ต้องทำความรู้จัก เจ้าจงไปทำความรู้จักกับพวกเขาในมิติพันธสัญญาเสีย”
“เสี่ยวหง อู๋ตี้ ข้าขอฝากเสี่ยวโม่โม่ด้วย”
เสี่ยวหงกล่าวด้วยความเกียจคร้าน “ข้าละคร้านจะดูแลเด็กน้อยจริง ๆ เจ้าแมวโง่ ข้าขอฝากเด็กน้อยนี่ไว้กับเจ้าด้วยก็แล้วกัน”
“นายท่านฝากพวกเราไว้ เจ้าจะมาเกียจคร้านไม่ได้”
เสี่ยวโม่โม่รู้สึกประหลาดใจกับสหายใหม่ทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง มันจึงยอมให้มู่เฉียนซีเก็บมันไว้ในมิติพันธสัญญาแต่โดยดี
มันได้บินเข้าไปในมิติพันธสัญญา และพบว่ามีแมวน้อยตัวสีขาวราวกับหิมะตัวหนึ่ง กับหมูตัวสีแดงราวกับเปลวเพลิงอีกตัวหนึ่งอยู่ในนั้น มันจึงตะโกนร้องเรียก “สหาย…สหาย!”
“สหายอะไรของเจ้า ข้ามีนามว่าท่านอู๋ตี้ผู้ยิ่งใหญ่!” อู๋ตี้กล่าว
เสี่ยวหงกล่าว “ข้าอายุมากพอจะเป็นบรรพบุรุษของเจ้าได้ด้วยซ้ำไป เจ้าเด็กน้อย อย่าได้มาเรียกซี้ซั้วไป!”
“ฮือ ฮือ ฮือ…” เสี่ยวโม่โม่จ้องมองพวกเขาด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา
เสี่ยวหงและอู๋ตี้จึงต้องรีบเข้ามาปลอบใจเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว “อย่าร้องไห้เลยนะ!”
“ข้าไม่ได้ด่าว่าเจ้าสักหน่อย!”
“……”
เสี่ยวหงและอู๋ตี้ก็เริ่มสวมบทเป็นพ่อลูกอ่อนในทันที
ส่วนโม่เฉียนซีที่อยู่บนแท่นประลองก็ได้ทอดมองไปยังโม่เฟิงเชียนแล้วกล่าวว่า “หากเจ้าอยากประลอง เช่นนั้นข้าก็จะสงเคราะห์ประลองกับเจ้าสักตา!”
การประลองในครั้งนี้นางจะได้ถือโอกาสทดสอบดูพลังของเผ่าหงส์ไปในคราเดียวกัน
“เช่นนั้นเจ้าก็อย่ามานึกเสียภายหลังก็แล้วกัน!” โม่เฟิงเชียนกล่าว
“พูดจาตลกชะมัด หากจะจัดการเจ้า ข้าคิดว่าข้าสามารถทำได้อย่างแน่นอน”
“ดี! เช่นนั้นก็แสดงให้ข้าดูว่าเจ้ามีความสามารถอันใดที่จะมาทำพันธสัญญากับเผ่าหงส์นิลของพวกข้า”
“หากแพ้ เจ้าจะต้องขอโทษ! อย่าลืมเชียว!” มู่เฉียนซีย้ำเตือนอีกครา
“ข้าไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว!” เมื่อสิ้นเสียงโม่เฟิงเชียน พลังอันแสนแกร่งกล้าก็ระเบิดออกมาในทันที
แส้สีดำที่พุ่งออกมาอาบไปด้วยเปลวเพลิงสีดำทมิฬอันแสนร้อนแรง
อุณหภูมิรอบกายก็เพิ่มสูงขึ้นภายในชั่วพริบตา ทันใดนั้นแส้สีดำก็ได้สะบัดมายังมู่เฉียนซี
ทุก ๆ คนกล่าวด้วยความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง “คุณหนูเฟิงเชียนนำโม่เหยียนออกมาแล้ว เห็นทีคงจะทุ่มสุดกำลังเช่นกัน”
“ครานี้เจ้ามนุษย์นั่นจะต้องพบปัญหาครั้งใหญ่อย่างแน่นอน”
มีคนกล่าวขึ้น “มันก็ไม่แน่หรอก! มนุษย์ที่สามารถทำพันธสัญญากับหงส์นิลได้ คงจะมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!”
และในขณะนั้นเอง มู่เฉียนซีก็ได้หัวเราะออกมา และกล่าวว่า “คิดจะเล่นกับไฟต่อหน้าข้ารึ!”
ขณะที่เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นมานั้น มู่เฉียนซีก็ได้ขับเคลื่อนพลังวิญญาณออกมาใช้ เมื่อพลังวิญญาณแข็งตัว อุณหภูมิรอบกายก็ลดต่ำลงในทันที
“มังกรน้ำแข็งท้าสวรรค์!”
มังกรวารีสีน้ำเงินได้พุ่งเข้าชนแส้เส้นนั้นอย่างรวดเร็ว
ปัง! สุ้มเสียงในการปะทะอันน่ากลัวดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว
มังกรวารีได้สยบโม่เหยียนจนอยู่หมัด ทำให้โม่เฟิงเชียนหน้าถอดสีไปในทันที
พลังธาตุวารีของมนุษย์ผู้นี้ช่างแข็งแกร่งนัก สามารถสยบโม่เหยียนของนางได้ในชั่วพริบตา
มนุษย์ผู้นี้จัดการยากกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก!
โม่เฟิงเชียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พลังธาตุวารีแข็งแกร่งหน่อยแล้วมันอย่างไร? ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่แท้จริงของเจ้า พลังของเจ้าก็แค่เทียบเท่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่เท่านั้น เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามเท่านั้น ความรู้สึกที่มันสัมผัสได้ไม่มีทางผิดเพี้ยนแต่อย่างใด
มู่เฉียนซีจ้องมองและพิจารณาดูนาง เผ่าสัตว์เทพไม่อาจเปรียบกับเผ่าสัตว์วิญญาณทั่วไปได้
ผู้ที่แข็งแกร่งจริง ๆ มีไม่มากนัก ทว่าหากต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกแล้ว นางก็พอที่จะจัดการได้ไม่ยากเย็น
ท่าทางที่ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจของมู่เฉียนซีทำให้โม่เฟิงเชียนรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง
แส้สีดำได้โบกสะบัดไปอีกครา ทำให้เกิดภาพมายาขึ้นนับไม่ถ้วน มันประเดประดังเข้ามาทั่วทุกสารทิศ
เร็วมาก นี่มันจะเร็วมากเกินไปแล้ว!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ป่าเถื่อนของอีกฝ่าย มู่เฉียนซีก็ไม่ได้คิดหลบหลีกแต่อย่างใด
“โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
“บุปผาหลั่งสายฝน!”
“ผนึกมังกรวารี!”
ปัง ปัง ปัง!
กระบวนท่าต่าง ๆ นับไม่ถ้วนได้เข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ทิ้งร่องรอยมากมายไว้บนแท่นประลอง
ส่วนพลังวิญญาณของโม่เฟิงเชียน บัดนี้ก็ยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
ปัง! ร่างสองร่างได้เข้าปะทะกันกล่าวเวหา
ภายในชั่วพริบตาทั้งสองฝ่ายก็ได้เข้าห้ำหั่นกันไปอีกหลายสิบกระบวนท่า
โม่เฟิงเชียนกล่าว “สมกับเป็นคนที่สามารถทำพันธสัญญากับคนของเผ่าข้าได้ พลังของเจ้านับว่าแกร่งกล้าไม่น้อย แต่เพียงแค่นี้มันยังไม่พอหรอกนะ!”
ครานี้โม่เฟิงเชียนก็คิดที่จะทุ่มสุดกำลังแล้วเช่นกัน
พลังวิญญาณทะลักทะลวงออกมาอย่างบ้าคลั่ง ประกายสีดำทมิฬของโม่เหยียนได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งร่างของนาง
ชายกระโปรงสีดำถูกลมพัดปลิวไสว เปลวเพลิงยิ่งโหมกระหน่ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุก ๆ คนที่ได้เห็นต่างก็หน้าถอดสีไปในบัดดล
“คุณหนูเฟิงเชียน…การจะจัดการมนุษย์คนหนึ่ง นางต้องใช้ร่างจริงเลยเชียวนะ!”
“มนุษย์ผู้นี้ไม่ธรรมดา พลังธาตุวารีของนางแกร่งกล้าเป็นอย่างมาก ถึงแม้พลังวิญญาณของนางจะเทียบเท่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่เท่านั้น ทว่าข้าก็กล้ารับรองว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ไม่มีทางรอดพ้นจากน้ำมือนี้ได้ในสิบกระบวนท่าอย่างแน่นอน!”
“ไม่เลว! ถึงแม้จะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า ก็ต้องถูกกำจัดภายในร้อยกระบวนท่า”
เผ่าหงส์เป็นเผ่าของสัตว์เทพ พวกเขาเคยพบเจอมนุษย์ที่มีฝีมือเก่งกาจมาไม่น้อย เมื่อพบเจอมนุษย์ที่ข้ามระดับขั้นมาท้าประลองเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกตกใจเท่าใดนัก
ทว่าโม่เฟิงเชียนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหก! เมื่อกลายมาเป็นร่างที่แท้จริงแล้ว จึงทำให้พลังของนางเพิ่มพูนขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น มนุษย์โฉมงามผู้นี้ได้พบเจอกับปัญหาใหญ่เข้าเสียแล้ว
หงส์สีดำนิลตัวหนึ่งได้พุ่งออกมาจากโม่เหยียนอย่างรวดเร็ว!
ใหญ่มาก ร่างของมันใหญ่กว่าเสี่ยวโม่โม่เป็นอย่างยิ่ง
ท้องนภาล้วนมืดครึ้มขึ้นมาในบัดดล เปลวเพลิงสีดำทมิฬลุกโชนทะลวงขึ้นสู่ท้องนภา
ความน่าเกรงขามของมันในตอนนี้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“อย่าได้กล่าวโทษข้าว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า ตอนนี้เจ้าจงรีบยอมแพ้ซะ! อย่างไรเสียพวกมนุษย์ก็บอบบางจะตายไป ทันทีที่ได้รับบาดเจ็บก็ยากที่จะฟื้นฟูกลับมาในสภาพเดิมได้”
โม่เฟิงเชียนที่แปลงกายเป็นรูปทรงกลม และทำให้มู่เฉียนซีสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของมัน
เพียงแต่…
“พลังของเจ้าไม่ได้มากพอที่จะทำให้ข้าต้องยอมแพ้!”
ทันทีที่ปีกสีดำนิลขยับ โม่เฟิงเชียนก็กล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หากเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็อย่ามากล่าวโทษข้าก็แล้วกัน!”
โม่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เข้ามาสิ! ให้ข้าได้เห็นพลังร่างที่แท้จริงของเจ้า ข้าจะคอยดูว่ามันจะแกร่งกล้ามากแค่ไหนกัน?”
ครืน ครืน!
เปลวไฟลุกโชนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะโหมกระหน่ำลงมาจากท้องนภา
ขนนกสีดำนิลซึ่งถูกเปลวเพลิงครอบคลุมไปตั้งแต่โคนจรดปลายจำนวนนับไม่ถ้วน ได้พุ่งเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด
หนีไปที่ใดก็หนีไม่รอด จะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น เป็นการโจมตีที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ขนนกนิลเพลิงสังหาร!”
“นั่นมันทักษะขั้นสูงสุดของคุณหนูเฟิงเชียนนี่ มนุษย์ผู้นี้ตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว”
“ใช่แล้ว! หากนางไร้ซึ่งเกราะป้องกันที่ล้ำหน้ากว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด และความเร็วที่น่าตกใจของนางแล้ว นางจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน ”
“รีบไปแจ้งนักปรุงยาเร็วเข้า เราไม่อาจให้มนุษย์ผู้นี้สิ้นลมในเผ่าหงส์นิลของเราได้ มิฉะนั้นปัญหามากมายคงจะตามมาอีกไม่จบไม่สิ้น”
“นายท่าน! นายท่าน เจ้าชั่วนั้น! ชั่วร้ายมากเกินไปแล้ว”
เสี่ยวหงและอู๋ตี้เพิ่งจะสอนให้เสี่ยวโม่โม่สัมผัสและรับรู้ถึงเหตุการณ์ภายนอกมิติได้เมื่อครู่นี้เอง ผลปรากฎว่า มันได้พบเข้ากับตอนที่โม่เฟิงเชียนใช้ท่าไม้ตายสังหารอันแสนรุนแรงกับมู่เฉียนซีพอดี
เสี่ยวโม่โม่โกรธจนกัดฟันกรอด มันอยากจะเข้าไปกระชากวิญญาณของโม่เฟิงเชียนเป็นอย่างยิ่ง อู๋ตี้จึงรีบคว้าตัวเจ้าเด็กน้อยไว้ “เด็กน้อย นี่มันเรื่องใหญ่นะ! เจ้านายมีความสามารถพอที่จะจัดการได้อยู่แล้ว”
.