ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1727 เหตุผลที่เป็นโสด
ทุกคนต่างพากันระวังตัวกันขึ้นมาทันที หรือว่าคนของเผ่าเทพจะไม่ยอม และโจมตีเข้ามาแล้ว!
เมื่อมู่เฉียนซีได้ยินเสียงสายฟ้าเช่นนี้ ก็รู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย!
นางกล่าวว่า “เหลยหมิง เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเสียงฟ้าร้องนี้…”
ดวงตาของเหลยหมิงเบิกโพลงขึ้นมา “คงจะไม่ใช่อาจารย์หรอกกระมัง!”
“เหมือนผู้เฒ่าผู้นั้นมาก!”
หัวหน้าเผ่าหงส์อัสนีกล่าวว่า “อาจารย์อะไรกัน? ลูกชาย เจ้าพูดออกมาให้ชัดเจนหน่อย”
หลังจากที่ออกมาวันนั้น ก็ไปยังสุสานจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อย่างรีบร้อน
เมื่อออกมาจากสุสานจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ และหลังจากที่ออกมาแล้วในทันที ก็ต้องมาเผชิญหน้ากับสงครามใหญ่ที่ชี้ชะตาของพวกเขาเผ่าหงส์ต่ออีก
ซึ่งทำให้เหลยหมิงไม่มีเวลาที่จะกล่าวถึงอาจารย์ท่านนั้นของตนเองเลย
และหลังจากที่เหลยหมิงได้อธิบายเรื่องราวต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว หัวหน้าเผ่าหงส์อัสนีก็ต้องตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
“ท่านมหาจักรพรรดิเหลยของดินแดนแห่งทวยเทพ ไม่คิดว่าเจ้าจะไปเข้าตาของมหาจักรพรรดิเหลยเข้าเสียแล้ว” หัวหน้าเผ่าหงส์อัสนีกล่าวอย่างตื่นตกใจ
เหลยหมิงกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน! ลูกชายของท่านออกจะเก่งกาจถึงเพียงนี้”
“หากเป็นท่านมหาจักรพรรดิเหลยแล้วละก็ แน่นอนว่าไม่อาจที่จะเมินเฉยได้! ไปกันเถอะ!”
หากว่าลูกชายของตนเองสามารถถูกบ่มเพาะจากท่านมหาจักรพรรดิเหลยได้ เช่นนั้นหลังจากนี้อีกร้อยปีเผ่าหงส์ของพวกเขา ก็จะมีผู้แข็งแกร่งมาคอยสนับสนุนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงอันตราย หัวหน้าเผ่าหงส์อัสนียังพายอดฝีมืออีกไม่น้อยนำหน้าไปด้วย
มู่เฉียนซีลุกยืนขึ้นพลางกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย พวกเราก็ไปพบกับผู้เฒ่ามหาจักรพรรดิเหลยผู้นั้นกันเถอะ”
จิ่วเยี่ยเกี่ยวเอวของมู่เฉียนไว้แล้วตอบว่า “อื้ม!”
พวกเขาสามารถออกไปจากดินแดนหงส์ได้แล้ว ออกไปได้แล้วจริง ๆ!
ในเขตแดนของพวกเขาเอง กลับถูกเผ่าเทพควบคุม จนไม่สามารถที่จะเข้าออกได้ มันก็เป็นเรื่องที่น่าปวดใจสำหรับเผ่าหงส์เช่นกัน!
ท่านมหาจักรพรรดิเหลยกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก เขาได้ยินมาว่าเผ่าหงส์ถูกเทพจักรพรรดิผนึกเอาไว้ จนไม่สามารถเข้าไปได้
และเดิมทีเขาก็คิดว่าผนึกนี้คงไม่สามารถจะขัดขวางเขาเอาไว้ได้อย่างแน่นอน แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะถูกขัดขวางเอาไว้แล้วจริง ๆ
จักรพรรดิเหลยไม่อยากจะเชื่อว่าจะทำลายไม่ได้!
ตูมมม!
ดังนั้นท่านมหาจักรพรรดิเหลยจึงได้ต่อสู้กับเสาปราการป้องกันนี้ และมันก็ทำให้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมออกมาจากดินแดนหงส์จนเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้ขึ้น
พวกของเหลยหมิงรีบมาถึงอย่างรีบร้อน หัวหน้าเผ่าหงส์อัสนีกล่าวว่า “ทะ…ท่าน ท่านคือท่านมหาจักรพรรดิเหลย!”
ท่านมหาจักรพรรดิเหลยมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่กลับมีนิสัยที่หยิ่งยโสและหงุดหงิดง่าย!
เขาชี้ไปที่มู่เฉียนซีและเหลยหมิงพลางกล่าวว่า “ในที่สุดก็เจอเจ้าเด็กน้อยทั้งสองนี่เสียที ไปด้วยกันกับข้าเดี๋ยวนี้!”
เหลยหมิงได้เดินออกไปแล้ว แต่มู่เฉียนซีกลับถูกจิ่วเยี่ยกอดเอาไว้แน่น
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าบอกไปแล้ว ว่าข้ายังไม่ได้วางแผนที่จะยอมรับท่านเป็นอาจารย์ เช่นนั้นจึงไม่อาจไปด้วยกันกับท่านได้หรอก”
คนอื่นต่างพากันชะงักงันไป อะไรนะ?
ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่กล้าปฏิเสธการเป็นศิษย์ของท่านมหาจักรพรรดิเหลยด้วย
ทันใดนั้นมหาจักรพรรดิเหลยก็หัวเราะออกมา “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! แม่สาวน้อย เจ้านี่ก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว! หากเจ้าปฏิเสธ ก็ควรที่จะหลบอยู่ในกระดองเต่านั่น ในเมื่อเจ้าออกมาแล้ว และถูกข้าจับได้เช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นหรือ?”
อันที่จริงแล้วมหาจักรพรรดิเหลยมองว่าพรสวรรค์ของมู่เฉียนซีนั้นดีเกินไป และหากต้นกล้าที่ดีถึงเพียงนี้ไม่ติดตามไปพร้อมกับเขา เช่นนั้นมันจะกลายเป็นการทำลายคุณค่าไปอย่างสมบูรณ์
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มีเขาอยู่ด้วย ท่านยังคิดจะพาข้าไปอีก ข้าว่าท่านละทิ้งความคิดนี้เสียเถอะ!”
มหาจักรพรรดิเหลยจ้องมองไปที่จิ่วเยี่ยพลางกล่าวว่า “เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าในตอนนี้ ไม่สนใจที่จะฝึกฝนกลับเอาแต่สนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ มันก็จะน่าสิ้นหวังเกินไปแล้ว”
มู่เฉียนซีได้เผยรอยยิ้มที่ไม่มีเจตนาร้ายออกมา และกล่าวว่า “ดูท่าทางแล้ว ตอนนี้มหาจักรพรรดิเหลยคงยังเป็นโสดอยู่ คงยังหาภรรยาไม่ได้อย่างนั้นสินะ!”
ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นของมหาจักรพรรดิเหลยแข็งทื่อไปในทันที “สาวน้อยผู้นี้ ถึงเจ้าไม่อยากจะไป แต่ข้าก็อยากให้เจ้ามาเป็นลูกศิษย์ของข้า! มาดูซิว่าผู้ใดจะขัดขวางข้าได้”
นิสัยเดิมของมหาจักรพรรดิเหลยเป็นคนเผด็จการ ดังนั้นเขาจึงได้ตรงเข้าไปแย่งชิงคนมาในทันที!
แต่ทว่า การจะมาแย่งคนต่อหน้าราชาจิ่วเยี่ยเช่นนี้ แล้วคิดอยากที่จะทำให้สำเร็จนั้น คาดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้หรอก!
ในตอนที่มหาจักรพรรดิเหลยกำลังลงมือ จิ่วเยี่ยก็ได้ลงมือด้วยเช่นกัน
ปัง!
พลังของจิ่วเยี่ยกับพลังของอัสนีปะทะเข้าด้วยกัน และพลันนั้นนัยน์ตาของมหาจักรพรรดิเหลยก็หดตัวลงทันที
“เจ้า…”
“กลับกลายเป็นว่าเจ้าคือเจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยผู้นั้น หลายปีมานี้ไม่ได้รับข่าวคราวของเจ้าเลย ข้าก็คิดว่าเจ้าได้วางมือไปตั้งนานแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมาคว้าเอาลูกศิษย์ของข้าไปเช่นนี้”
หลังจากที่ปะทะฝีมือกันครั้งหนึ่ง มหาจักรพรรดิเหลยก็ไม่ลงมืออีกต่อไปแล้ว
เขาจับเหลยหมิงเอาไว้พลางกล่าวว่า “ข้าจะไปแล้ว!”
มหาจักรพรรดิเหลยกล่าวว่า “แม่สาวน้อย ข้ามีเรื่องที่จะประกาศสักหน่อย! ไม่ใช่ว่าข้าสู้หวงจิ่วเยี่ยไม่ได้ เพียงแต่พลังของเจ้าหมอนี่มันแปลกประหลาดมากเกินไป จนข้าไม่คิดอยากที่จะต่อสู้กับเขาแล้วก็เท่านั้น เช่นนั้นข้าก็จะไม่บีบบังคับเจ้า หลังจากนี้หากเจ้าคิดได้ ก็ตรงไปหาข้าที่ดินแดนแห่งทวยเทพอัสนีได้เลย”
หลังจากที่มหาจักรพรรดิเหลยไปไกลแล้ว เขาก็บ่นพึมพำขึ้นมาว่า “แม้แต่เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยนั่นยังมีคนรัก หรือว่าข้าควรที่จะต้องหาภรรยาแล้วจริง ๆ”
เหลยหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์! หากท่านต้องการที่จะหาอาจารย์แม่ ก็จะต้องเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงหน่อย เนื่องจากท่านจิ่วเยี่ยนั้นอ่อนโยนต่อเฉียนซีมากจริง ๆ”
อ่อนโยน! เจ้าหมอนั่นอ่อนโยนอย่างนั้นหรือ!
ท่านมหาจักรพรรดิเหลยขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันที พลางแอบคิดในใจว่า ‘ลูกศิษย์เพียงคนเดียวของตนเองคงจะไม่มีอาการหลอกตัวเองหรอกนะ!’
ความเย่อหยิ่งของท่านมหาจักรพรรดิเหลย แม้แต่ตอนที่จะพาลูกชายของคนอื่นก็ไปยังไม่กล่าวทักทายหัวหน้าเผ่าหงส์อัสนีเลยสักคำ
หัวหน้าเผ่าหงส์อัสนีก็ไม่กล้าโกรธเคืองแต่อย่างใด ลูกชายของตนเองกำลังมีอนาคตที่ดี เขาจะมีความสุขก็ยังไม่สายเกินไป
“กลับกันเถอะ!”
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “จิ่วเยี่ย ท่านรู้จักกับมหาจักรพรรดิเหลยผู้นั้นหรือ!”
“อื้ม! เมื่อก่อนเคยเจอกันอยู่สองสามครั้ง”
“ท่านจะว่าอย่างไรหากข้าจะเป็นลูกศิษย์ของเขาจริง ๆ? ขอความคิดเห็นหน่อยสิ!”
สุดท้ายแล้วจิ่วเยี่ยก็กล่าวว่า “นับถือเขาเป็นอาจารย์ ไม่สู้ข้าตามหาตรวนนิรันดร์ให้เจ้าเสียยังดีกว่า เขาก็มีคุณสมบัติของอัสนีเช่นกัน”
แต่ทว่าเมื่อคิดไปถึงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แต่ละชิ้นที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับเขาเท่าไรนัก และแต่ละชิ้นต่างก็จะมาขวางหูขวางตาเขามากขึ้น จนทำให้จิ่วเยี่ยคิดอยากที่จะกลับคำที่พูดไปก่อนหน้านี้เลยทีเดียว
คำที่พูดออกมาก็เป็นราวกับน้ำที่หลั่งออกมาแล้ว ไม่อาจคืนกลับมาได้!
จิ่วเยี่ยจึงกล่าวอีกว่า “หากตรวนนิรันดร์ไม่อยากที่จะรับเจ้าเป็นเจ้านาย เช่นนั้นก็ให้มหาจักรพรรดิเหลยสอนวิธีการฝึกฝนกับเจ้า ก็ไม่เลวเช่นกัน”
เมื่อเทียบกับเจ้าพวกนั้น เห็นได้ชัดว่ามหาจักรพรรดิเหลยยังเจริญหูเจริญตามากกว่าหน่อย
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าวว่า “อืม!”
หลังจากที่งานเฉลิมฉลองตอนค่ำของดินแดนหงส์สิ้นสุดลง หัวหน้าเผ่าหงส์อัสนีก็เริ่มทำหน้าที่ของเจ้าภาพโดยรวม
เขาจำเป็นที่จะต้องทำให้คนในเผ่าแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เช่นนั้นเขาจึงได้ขอคำแนะนำจากจิ่วเยี่ย
หลังจากจื่อโยวได้บอกวิธีการบางอย่างแก่เขา มันก็ได้ทำให้หัวหน้าเผ่าหงส์อัสนีต้องตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
“นะ…นี่ทำได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
จื่อโยวกล่าวว่า “คิดอยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น แต่พวกเจ้าไม่ใจร้ายแล้วจะสามารถทำได้อย่างไร! อย่าคิดว่ามีสายเลือดที่หายากของสัตว์เทพแล้วจะทะนุถนอมตนเองมากจนเกินไปได้ หากเป็นเช่นนี้คงไม่มีวันที่จะพัฒนาไปได้แน่”
หัวหน้าเผ่าหงส์อัสนีพยักหน้าพลางกล่าวว่า “อื้ม!”
ต่อมามู่เฉียนซีก็ต้องการให้พวกเขาไปเชิญเผ่าหงส์ที่มีความรู้อย่างกว้างขวางลึกซึ้ง รวมไปถึงคนที่รอบรู้มากมาด้วย
“มังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง ไม้เทพแห่งชีวิตพวกเราเคยได้ยินมาก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด?”
“ข้าคิดว่ามังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง มีความเป็นไปได้มากว่าอยู่ที่เผ่ามังกร แต่ทว่าเผ่าของข้าขาดการติดต่อกับเผ่ามังกรมานานมากแล้ว พวกข้าก็ไม่อาจช่วยเหลือเรื่องนี้ได้เช่นกัน”
มู่เฉียนซีดึงจิ่วเยี่ยเอาไว้แล้วกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย สถานที่ต่อไปคือเผ่ามังกร ท่านว่าเป็นอย่างไร?”
จิ่วเยี่ยตอบกลับมาว่า “อื้ม! ไปเผ่ามังกรกัน!”
พวกเขาเคยไปเผ่ามังกรมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในครั้งนี้เป็นเพียงการไปเยี่ยมเยือนสถานที่เก่า ๆ เท่านั้น
ในตอนที่พวกของมู่เฉียนซีต้องจากไป หลานเนี้ยนหลี่และเหล่านักเรียนของโรงเรียนชิงอี้ต่างก็พากันมาส่งมู่เฉียนซีและเสี่ยวโม่โม่
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าได้ทิ้งวัสดุมากมายเอาไว้ให้แล้ว พวกเข้าก็พยายามเข้านะ!”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์มู่!”
เสี่ยวโม่โม่กล่าวว่า “รอให้นายท่านของข้าหาของเหล่านั้นเจอแล้ว ข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกเจ้า! พวกเจ้าก็ต้องตั้งใจฝึกฝนเข้าล่ะ หลังจากนี้พวกเราค่อยมาจัดการคนเลวไปด้วยกัน!”
“อื้ม อื้ม อื้ม!”
จื่อโยวได้ถูกไล่กลับไปทำงานที่แดนนรกแล้วเช่นกัน เขาแทบอยากที่จะกระอักเลือดออกมาเสียจริง ๆ
เขายังสนุกไม่พอเลยนะ!
“เยี่ย เจ้ามันไม่ใช่คน!”
จิ่วเยี่ยอุ้มมู่เฉียนซีเอาไว้ จากนั้นมู่เฉียนซีกล่าวขึ้นมาว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง พวกเราจะเดินทางไปยังเผ่ามังกร! ไปเกาะราชามังกร”