ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1728 อย่าผลักไสข้า
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา! ข้าจะส่งซีเอ๋อร์และจิ่วเยี่ยไปแดนมังกรทันที”
แสงสีฟ้าอ่อนสว่างวาบจากทั้งสี่ด้านห่อหุ้มพวกเขาทั้งสองคนขึ้นมา และเพียงชั่วพริบตา พวกเขาก็ได้มาถึงแดนมังกรแล้ว
สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดก็คือเกาะลอยฟ้าที่อยู่กลางอากาศของเผ่ามังกรที่คุ้นเคย และในเวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็ได้มาถึงใจกลางของเกาะราชามังกรที่คุ้นเคยแล้ว
“ถึงแล้ว ซีเอ๋อร์!” สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว
“ลำบากสุ่ยจิงอิ๋งแล้ว!”
“ซีเอ๋อร์ ถึงแม้ว่าข้าจะเข้าสู่นิทราไปแล้ว แต่หากมีเรื่องอะไรที่ต้องการแล้วละ เจ้าก็สามารถเรียกหาข้าได้เสมอ”
“พวกเราเก็บรวบรวมคัมภีร์หมื่นคำสาปได้ครบแล้ว และมันก็ไม่มีความสามารถพอที่จะออกมาสร้างความเดือดร้อนได้ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่แดนมังกร คงจะไม่มีอันตรายอะไรหรอก ช่วงนี้เจ้าก็หลับใหลไปอย่างสบายใจเถิด”
ในตอนแรกที่พวกเขามาถึงแดนมังกร มู่เฉียนซีก็ได้ต่อสู้กับจิ่วเยี่ยเป็นเวลานานมาก
ท้ายที่สุด ในตอนแรกที่เขามาถึงแดนมังกร ก็รู้สึกได้ถึงคัมภีร์หมื่นคำสาป และร่างกายของเขาก็มีการตอบสนองเป็นอย่างมากเช่นกัน
นางเกือบที่จะ เกือบที่จะถูกผู้ชายคนนี้…
ใบหน้าของมู่เฉียนซีแดงระเรื่อ และมันก็บังเอิญเป็นตอนที่จิ่วเยี่ยกำลังเฝ้ามองอยู่เช่นกัน มุมปากของจิ่วเยี่ยยกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงได้ก้มศีรษะลงไปจุมพิตนาง
“อุ้บ…”
หลังจากที่จุมพิตอย่างแผ่วเบา จิ่วเยี่ยก็ถามขึ้นมาว่า “ซีกำลังคิดอะไรอยู่เช่นนั้นหรือ?”
มู่เฉียนซีกล่าวพร้อมกับกะพริบตาว่า “ไม่ได้คิดอะไรเสียหน่อย”
“ถึงซีจะไม่พูด แต่ข้าก็รู้อยู่ดี” จิ่วเยี่ยกระซิบตอบกลับไป
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ในตอนนี้ได้รวบรวมคัมภีร์หมื่นคำสาปทั้งสามเล่มไว้เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกต่อไ และท่านเองก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นแล้วเช่นกัน ในคราวนี้ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้ผลักไสข้าออกไปอีก เช่นนั้นพวกเราก็ไปหามังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างด้วยกันเถอะ”
จิ่วเยี่ยพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ตกลง และซีเองก็ไม่สามารถที่จะผลักไสข้าออกไปได้เช่นกัน”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าวว่า “แน่นอน”
มู่เฉียนซีเห็นด้วยและตอบกลับไปด้วยความน่าเชื่อถือ แต่นางกลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาเสียใจกับเรื่องนี้ในภายหลัง
โฮกกกก!
ในตอนที่พวกเขาอยู่บนท้องฟ้าของเกาะราชามังกร ก็ได้มีเสียงร้องคำรามดังออกมาจากภายในเกาะราชามังกรแห่งนั้น พวกเขาทั้งสองจึงได้พุ่งทะยานผ่านก้อนเมฆเข้าไป
น้ำเสียงของความเจ็บปวดที่ยากจะทนไหวนี้ดังขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะลองฟังอย่างไรก็ยังค่อนข้างที่จะคุ้นเคยอยู่ดี
“เกาะราชามังกรต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน ลงไปดูกันเถอะ”
เกาะราชามังกรในเวลานี้เป็นที่นิยมยิ่งกว่าตอนที่มู่เฉียนซีจากไปเสียอีก และเกาะแห่งนี้ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่จนค่อนข้างที่จะสมบูรณ์พูนพร้อมเลยทีเดียว
มู่เฉียนซีกำลังตรงไปที่พระราชวังราชามังกร แต่ทันใดนั้นก็ถูกใครบางคนขวางเอาไว้ “พวกเจ้าเป็นผู้ใด? ไม่คิดเลยว่าจะกล้าบุกมายังเกาะราชามังกรเช่นนี้?”
องครักษ์ของพระราชวังราชามังกรเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่มาใหม่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยเห็นมู่เฉียนซีมากก่อน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าต้องการที่จะไปพบเฮยเย้า”
“เฮยเย้าคือผู้ใดกัน? ที่นี่ไม่มีคนที่เจ้าต้องการจะพบหรอก รีบออกไปเสียเถอะ”
โฮกกกก!
เสียงร้องคำรามนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง และกลิ่นอายนั้นก็คุ้นเคยเป็นอย่างมาก นั่นคงจะเป็นเสียงของเฮยเย้าอย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ถอยไป!”
“มาก่อความวุ่นวายสุ่มสี่สุ่มห้า เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
องครักษ์เริ่มโจมตี แต่มู่เฉียนซีกลับชิงลงมือก่อนแล้ว!
“ผนึกมังกรวารี!”
ในตอนที่มังกรสีฟ้าขนาดมหึมาตัวนั้นโจมตีออกไป พวกเหล่าองครักษ์ทั้งหมดต่างพากันอยู่ในอาการมึนงง และพูดไม่ออกเลยสักคำ
“ทะ…ท่าน…”
ถึงแม้ว่าคนจากแดนมังกรจะไม่เคยเห็นมู่เฉียนซีมาก่อน แต่จะต้องเคยเห็นมังกรวารีตัวนี้แน่นอนอยู่แล้ว นี่ก็คือท่านเทพมังกร
เนื่องจากฝนที่ตกลงมาจากท่านเทพมังกร จึงทำให้พลังวิญญาณของทั่วทั้งแดนมังกรฟื้นฟูมาจนเป็นปกติ และไม่ก้าวเข้าสู่ความเสื่อมโทรมอีกต่อไปแล้ว
ในวันนั้น พวกเขาได้จ้องมองไปยังมังกรขนาดใหญ่มหึมาที่อยู่บนอากาศอย่างตาไม่กะพริบ และมันก็มีลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน
“เจ้า…หรือว่าเจ้าจะเป็นท่านมู่เฉียนซี!” พวกเขากล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
การกลับมาของเกาะราชามังกร การกำจัดสัตว์ร้ายที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นให้สูญสิ้นไป และการเติบโตอย่างเข้มแข็งของเผ่าราชามังกร เรื่องทั้งหมดนี้ต่างก็มีความเกี่ยวข้องกับคนคนหนึ่งเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็คือมู่เฉียนซีหรือท่านมู่นั่นเอง
แม้ว่าท่านมู่จะออกไปจากแดนมังกรมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว แต่ทว่าฝ่าบาทราชามังกรและหัวหน้าเผ่ามังกรวารีต่างก็ยังคงคิดถึงหญิงสาวผู้แข็งแกร่งไร้ผู้ต้านทานผู้นี้อยู่เสมอ
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ในเมื่อยืนยันตัวตนของข้าได้แล้ว เช่นนั้นก็นำทางไปได้แล้วใช่หรือไม่! ข้าต้องการที่จะพบฝ่าบาทของพวกเจ้า”
“ขอรับ! ท่านมู่ ท่านตามข้ามาเถิด”
ท่านเทพมังกรปรากฏตัวขึ้นมาเช่นนี้ นอกจากเจ้านายของท่านเทพมังกรแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้อีก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เชื่อว่าจะมีผู้ใดกล้าแอบอ้างเป็นท่านมู่เฉียนซีได้
โฮกกกก!
เมื่อเข้าไปถึงใจกลางของพระราชวังมังกรแล้ว เสียงนั้นก็ดังมากยิ่งขึ้นไปอีก
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฝ่าบาทราชามังกรของพวกเจ้ากัน?”
“ฝ่าบาทราชามังกรถูกลอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนเรื่องอื่นนั้นพวกเราก็ไม่รู้เช่นกันขอรับ”
ในตอนที่เข้าไปใกล้ตำหนักของราชามังกร ก็มีร่างของผู้ที่มีกลิ่นอายที่ไม่ได้อ่อนแอนักปรากฏขึ้นมาหลายคน
“เจ้าคือผู้ใดกัน? สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะสามารถเข้ามาได้ รีบออกไปเดี๋ยวนี้”
มู่เฉียนซีกวาดสายตาไปที่พวกเขาแล้วกล่าวว่า “ข้าคือมู่เฉียนซี!”
พวกเขาจะเข้ามาเพื่อสำรวจมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีกจึงกล่าวขึ้นว่า “หากไม่เชื่อละก็ พวกเจ้าสามารถเข้ามาขอคำแนะนำได้”
ชื่อที่มู่เฉียนซีได้เอ่ยออกมานั้น ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะละเลย พวกเขาจึงได้ใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดในการไปหาจินหลิวกวง
ผู้เป็นบิดาของฝ่าบาทราชามังกร!
จินหลิวกวงได้ยินชื่อของมู่เฉียนซีสามคำนี้ ก็ได้มาปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว และเขาก็ตื่นเต้นจนควบคุมตนเองไม่ได้
“ท่านมู่ ท่านมู่ เป็นท่านจริง ๆ ท่านกลับมาแล้ว”
พลังวิญญาณธาตุวารีบนร่างกายของมู่เฉียนซีได้ระเบิดออกมาอย่างไม่ได้ซ่อนเร้นเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกเย็นยะเยือกนี้ทำให้จินหลิวกวงเชื่อแล้วว่านี่คือเรื่องจริง
พลังธาตุวารีที่ได้รับการสืบทอดมาจากท่านเทพมังกร บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะปลอมแปลงได้อย่างแน่นอน
“ท่านมู่ ดีเหลือเกินที่ท่านมาที่นี่ เย้าเอ๋อร์เขา…”
สีหน้าของมู่เฉียนซีเคร่งขรึมไปทันที นางถามว่า “ที่จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“ท่านตามข้ามาเถิด!” จินหลิวกวงกล่าว
เมื่อเดินเข้าไปยังห้องพำนักของราชามังกร จินหลิวกวงก็กล่าวว่า “เย้าเอ๋อร์ถูกสุนัขรับใช้ของเผ่าเทพลอบทำร้าย และยังถูกคำสาปของเผ่าคำสาป จนอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างมาก! หัวหน้าเผ่ามังกรวารีพยายามที่จะช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่แล้ว แต่ทว่าคำสาปนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็น…”
ร่างสีม่วงสว่างวาบ มู่เฉียนซีได้ผลักประตูบานใหญ่เปิดออก
เฮยเย้าอยู่ข้างในนี้!
สถานการณ์ของเฮยเย้าไม่สามารถที่จะควบคุมได้ ดวงตาสีทองของเขาได้เปลี่ยนจนกลายเป็นสีดำสนิท และเกือบที่จะบ้าคลั่งไปแล้ว
ธาตุวารีได้กักขังเฮยเย้าเอาไว้ และมันก็ได้พยายามที่จะคายพลังของคำสาป แต่ทว่าสุ่ยอู๋ซินก็ได้ค้นพบว่า เขาได้ประเมินพลังของคำสาปนี้ต่ำเกินไปหน่อยเสียแล้ว
ปัง!
ในตอนนี้เองก็มีใครบางคนพังประตูเข้ามาอย่างกะทันหัน
สุ่ยอู๋ซินกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ในเวลาเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามารบกวน ออกไปให้หมด!”
ท่านมู่ได้มอบเฮยเย้าให้เป็นหน้าที่ของเขา แน่นอนว่าเขาไม่คิดที่จะให้เฮยเย้าได้รับความเสียหายใด ๆ อยู่แล้ว
และมู่เฉียนซีก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สุ่ยอู๋ซิน ไม่ได้เจอกันนานเลยทีเดียว”
รูม่านตาของสุ่ยอู๋ซินหดตัวลงอย่างกะทันหัน และมองไปยังหญิงสาวที่สวมชุดสีม่วงอย่างยากที่จะเชื่อ
“ท่านมู่…”
มีร่องรอยของความตื่นเต้นฉายอยู่ภายในดวงตาที่เฉยเมยคู่นั้นของเขา
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ค่อยมาคิดถึงอดีตกันภายหลัง และไม่ต้องคายพลังนั้นอีกแล้ว ธาตุวารีเพียงแค่อย่างเดียวไม่อาจที่จะคายพลังคำสาปได้ เจ้าเอาเฮยเย้ามัดเอาไว้ให้ดี ที่เหลือเป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
“ขอรับ!”
สำหรับคำขอของมู่เฉียนซี แน่นอนว่าสุ่ยอู๋ซินจะพยายามทำให้ได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว
เฮยเย้าถูกมัดจนไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนได้ จากนั้นพลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีก็แผ่กระจายออกไป และได้เริ่มทำการถอนคำสาป
เมื่อเทียบกับตอนที่ถอนคำสาปให้กับเผ่าหงส์เหล่านั้น คำสาปของเฮยเย้าไม่ถือว่าเก่งกาจมากเท่าใดนัก คาดว่าอีกฝ่ายคงคิดว่าเฮยเย้านั้นยังเด็กเกินไปจนไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงมาร่ายคำสาประดับสูง
อักขระคำสาปแต่ละอันได้ถูกวาดเค้าโครงออกมา มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ผนึก!” คำหนึ่งนั้นประทับลงไป และเห็นได้ชัดว่าสภาพของเฮยเย้ามั่นคงมากยิ่งขึ้น ไม่บ้าคลั่งและเจ็บปวดเหมือนก่อนหน้านั้นอีกแล้ว