ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1759 นามว่ามู่เฉินซี
สิ่งที่สำนักเทียนชิงทำลงไปทำให้ผู้คนโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าพวกเขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย “พวกไร้ค่าอย่างพวกเจ้ายังกล้าเป็นปฏิปักษ์กับพวกข้าอีกรึ พวกเจ้าไม่มีทางมีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน”
คนของสำนักเทียนชิงเหล่านี้หากคิดจะลงมือก็ลงมือในทันที จอมยุทธ์ไร้สำนักเหล่านั้นก็ลงมือจัดการด้วยความโกรธแค้นเช่นกัน
“อย่าคิดว่าจะรังแกพวกเราง่าย ๆ นะ!”
“โครม!”
ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด และในเวลานี้สายลมคืนบุปผาก็ใกล้สุกเต็มทีแล้ว
นี่เป็นโอกาสดีที่จะฉกฉวยโอกาสในยามชุลมุน มู่เฉียนซีขับเคลื่อนพลังวิญญาณธาตุวายุ แล้วใช้กระบวนท่าธาตุวายุพลังวายุท้าจันทราล่องลอยขึ้นสู่กลางเวหา
นิรันดร์ที่ยืนชื่นชมมู่เฉียนซีอยู่บนพื้น ก็ได้แต่ลูบคางมนที่รับกับใบหน้าเป็นอย่างดีนั้นแล้วกล่าวว่า “เด็กน้อยช่างงดงามมากจริง ๆ ถูกใจข้ายิ่งนัก”
มู่เฉียนซีเข้าประชิดสายลมคืนบุปผาราวกับสายลมก็มิปาน ในฐานะที่เป็นนักปรุงยาและผู้เก็บเกี่ยวสมุนไพรแล้ว แน่นอนว่ายามลงมือก็จะต้องแม่นยำและรวดเร็วเป็นธรรมดา นางสามารถเก็บสายลมคืนบุปผาได้ในชั่วพริบตา เพียงร่างสีม่วงขยับเล็กน้อยก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเด็กบ้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“แม่สาวน้อยนั่นเคลื่อนไหวเร็วมาก นางเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวายุ ไปจับตัวนางมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ความเร็วดั่งปีศาจของมู่เฉียนซี ทำให้ทิ้งระยะห่างจากบรรดาผู้ที่ตามไล่ล่านางไกลพอสมควร
ทว่าคนของสำนักเทียนชิงเหล่านั้นก็ยังคงไล่ล่านางอย่างไม่ลดละ “ยังไม่รีบนำสายลมคืนบุปผามาให้ข้าอีก ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!”
ปัง ปัง ปัง!
ในบรรดาคนเหล่านี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำเท่านั้น ยามพลังของพวกเขาเข้าปะทะร่างของมู่เฉียนซี นางก็ใช้พลังของร่างหายป้องกันการโจมตีของพวกเขาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
มู่เฉียนซีไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด นั่นทำให้คนเหล่านี้รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร?”
ในขณะที่พวกเขากำลังตกตะลึงกับพลังป้องกันของมู่เฉียนซีอยู่นั้น ย่างก้าวของมู่เฉียนซีกลับยังคงมุ่งไปเบื้องหน้าต่อไป
นางทอดมองไปยังคนเหล่านั้น ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทางเย่อหยิ่งเต็มประดา “คิดจะแย่งของของข้ารึ พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
คนของสำนักเทียนชิงต่างแอบคิดอยู่ในใจ เย่อหยิ่งและมีความสามารถเช่นนี้ คงต้องเป็นคุณหนูจากสำนักใดสำนักหนึ่งอย่างแน่นอน
มีพลังเพียงระดับขั้นผู้บำเพ็ญภูตขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตเท่านั้น พลังและสำนักของนางก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งมากนัก
พวกเขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเด็กน้อย ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเจ้า มีพลังเพียงเล็กน้อยแต่กลับกล้าทำตัวเย่อหยิ่งถึงเพียงนี้ ข้าจะแสดงพลังแกร่งกล้าที่แท้จริงให้เจ้าได้เห็นสักหน่อยก็แล้วกัน”
“คิดจะแสดงพลังแกร่งกล้าให้ข้าได้เห็นรึ เช่นนั้นก็เข้ามาสิ! ข้ากลัวพวกเจ้าเสียที่ไหน”
ตูมมม!
เมื่อพวกเขาเริ่มโจมตี มู่เฉียนซีเองก็ไม่คิดเกรงใจ และถือเสียว่าคนเหล่านี้เป็นคู่มือให้นางได้ฝึกฝนพลังวิญญาณธาตุวายุได้พอดิบพอดี
“พลังวายุกักขังวิญญาณ!!”
ภายในชั่วพริบตาสายลมที่พัดหวนอยู่รอบกายก็พลันเย็นเฉียบขึ้นในบัดดล ทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บอันน่าตกใจ!
“อ้ากกก!”
เสียงร้องโหยหวนดังระงมขึ้นอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นลูกศิษย์สำนักเทียนชิงระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับกลางที่ออกมาฝึกฝนเหล่านั้น ก็ปรากฏรอยแผลขึ้นตามเนื้อตัวนับไม่ถ้วน นี่คือพลังของธาตุวายุ
พวกเขากล่าวขึ้นด้วยความตกใจ “เจ้าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่ามีเพียงพลังของขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกเท่านั้น แต่กลับทำให้ผู้ที่มีพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตที่ต่ำกว่าระดับหกบาดเจ็บหนักได้ ทักษะวิญญาณของนางช่างแข็งแกร่งมากจริงๆ พวกเราทุกคนรีบถอยกันก่อนเถอะ”
“ขอรับ!”
เมื่อมู่เฉียนซีใช้กระบวนท่าจัดการพวกเขาจนหลั่งโลหิต พวกเขาต่างก็หวาดกลัวกันเป็นอย่างยิ่ง
ปัง ปัง ปัง
และสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดใจก็คือ พวกเขาไม่อาจทำอะไรดรุณีน้อยตัวเล็กผู้นี้ ๆ ได้เลย
นางไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะวิญญาณใด ๆ ป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย ทว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์กลับไม่อาจแตะต้องนางได้แม้แต่ปลายเล็บ
“พลังวายุทำลายวิญญาณ!”
ปัง ปัง ปัง!
พวกเขาไม่อาจทำอะไรมู่เฉียนซีได้ การที่พวกเขาโจมตีไปนั้น ก็เป็นการสูญเสียพลังไปเปล่า ๆ
ถึงแม้ทักษะวิญญาณธาตุวายุของมู่เฉียนซีจะไม่อาจทำร้ายพวกเขาได้ ทว่าก็ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง หากจะให้ต่อสู้กันไปเช่นนี้ก็คงไม่มีประโยชน์!
ทว่าการถอยกลับไปในครั้งนี้พวกเขาจะเสียหน้าไม่ได้
“ค่ายกล ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพลังป้องกันของเด็กน้อยจะแข็งแกร่งได้”
โครม!
ขณะที่การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายกำลังดำเนินต่อไปนั้น ก็นับว่ามีคู่ฝึกซ้อมที่ไม่เลวอยู่จำนวนมาก มู่เฉียนซีได้ขับเคลื่อนพลังวิญญาณธาตุวายุได้อย่างคล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอน ทั้งค่ายกลและการโจมตีต่าง ๆ ล้วนไม่อาจทลายเกราะป้องกันของมู่เฉียนซีได้แม้แต่น้อย พวกเขาจึงเตรียมนำท่าไม้ตายออกมาใช้
ถึงแม้การนำของดีเช่นนั้นออกมาใช้เพื่อสายลมคืนบุปผาเพียงดอกเดียวจะไม่คุ้มค่า ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจให้เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้หัวเราะเยาะเอาได้อย่างแน่นอน
พวกเขายังไม่ทันจะปล่อยท่าไม้ตายออกไป ร่างสีขาวก็ได้ปรี่เข้ามาเสียแล้ว
“เจ้ามัวแต่แหย่เล่นกับพวกไร้น้ำยา ไม่สนใจข้าเลยสักนิด ข้าชักจะหึงหวงเจ้าแล้วนะ ดังนั้น…”
นั่นเป็นบุรุษที่งามหยาดเยิ้มที่สุดคนหนึ่ง ยามเขาสวมใส่อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ก็ยิ่งขับเน้นให้อาภรณ์ดูสง่างามมากขึ้นเป็นเท่าทวี ดวงตาคู่นั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกอันแสนลึกซึ้งที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ภายในชั่วพริบตาสายลมที่รายล้อมอยู่รอบกายก็แปรเปลี่ยนเป็นความน่ากลัวในทันที
นั่นเป็นพลังที่ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนล้วนปรากฏความหวาดกลัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาทั้งรู้สึกอ่อนแรง เย็นวาบไปทั้งตัว ครั้งดึงสติกลับมาได้แล้ว พวกเขาก็ได้ล้มฟุบไปกับพื้นพร้อมกับร่างกายที่เปลือยเปล่าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่เพียงแต่จะล่อนจ้อนเท่านั้น อาวุธวิญญาณมิติในร่างกายของพวกเขาก็ถูกสายลมพัดพาไปด้วย คนของสำนักเทียนชิงในตอนนี้ไม่อาจมีหน้าไปพบผู้ใดได้อีก พวกเขาทำได้เพียงยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉียนซี แล้วนำอาวุธวิญญาณมิติมากองรวมกันเพื่อมอบให้กับมู่เฉียนซีเท่านั้น
“เด็กน้อย หลายวันมานี้พวกเราใช้เงินของเจ้ามาตลอด ข้าก็ควรให้เงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันกับเจ้าบ้าง นี่เป็นเพียงของระดับล่างเท่านั้น แต่ก็พอจะมีค่าอยู่บ้าง เจ้ารับไปเถอะ!”
เมื่อมีสิ่งของยื่นมาให้ตรงหน้า หากไม่รับก็คงจะเสียเปล่า มู่เฉียนซีจึงรับไว้อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
จนกระทั่งตอนนี้คนของสำนักเทียนชิงก็ยังหวาดกลัวไม่คลาย พวกเขากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ทะ…ท่านเป็นผู้ใดกัน?”
พลังแปลกประหลาดของนางยังไม่ต้องกล่าวถึง ทว่าถึงแม้จะเป็นเจ้าสำนักของพวกเขาเอง หากต้องปะทะกับบุรุษอาภรณ์ขาวที่อยู่ข้างกายนางผู้นี้แล้ว เกรงว่าคงตั้งรับได้ไม่เกินสามกระบวนท่าอย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้ามีนามว่ามู่เฉินซี พวกเจ้าจงจำชื่อของข้าไว้ให้ดี! ข้าคิดว่าคงอีกไม่นาน ชื่อของข้าก็จะกลายเป็นชื่อที่ทั้งราชวงศ์ตงหวง ทั้งทิศเหนือใต้ต้องรู้จัก”
อย่างไรเสียนางก็จะต้องใช้ชื่อนี้โค่นล้มมู่หลินหลางให้ได้ แล้วกลายเป็นผู้มากความสามารถอันดับหนึ่งของราชวงศ์ตงหวง และทำให้บิดาของนางที่อยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของแดนซวนเทียนได้รู้จักชื่อของนางให้จงได้
พวกเขาตกตะลึงไปเล็กน้อย “มู่เฉินซี มู่เฉินซี คือผู้ใดกัน?”
“เราสำรวจป่าฮวาอวี่มาพอสมควรแล้ว ไปสำรวจที่อื่นกันเถอะ!”
“อืม! อย่างไรเสียข้าก็จะติดตามเจ้าเด็กน้อยไป”
เมื่อมู่เฉียนซีเดินจากไปแล้ว ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ติดตามไปด้วย ผลปรากฏว่าพวกเขาได้เห็นคนของสำนักเทียนชิงที่เนื้อตัวเปลือยเปล่า อาภรณ์ของพวกเขาเหล่านั้นล่องลอยไปทั่ว ซ้ำร้ายยังถูกคมดาบฟันจนกลายเป็นเส้นบาง ๆ ราวเส้นผมก็มิปาน
แต่ละคนล้วนตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ คะ…ใครเป็นคนทำกัน? ทำได้อย่างไร?
“มองอะไรของพวกเจ้า! ยังไม่รีบเอาเสื้อผ้าให้พวกเราใส่อีก!” หนึ่งในบรรดาคนของสำนักเทียนชิงกล่าวออกไปด้วยท่าทางหงุดหงิดเต็มประดา
แหวนมิติก็ถูกชิงไปแล้ว พวกเขาจึงไม่มีทางจะไปหาเสื้อผ้าอาภรณ์มาสวมใส่ด้วยตัวเองได้
ทั้ง ๆ ที่ตกมาอยู่ในสภาพนี้แล้วแท้ ๆ ทว่ากลับยังเย่อหยิ่งไม่คลาย
พวกเขาไม่คิดสนใจคนเหล่านี้แม้แต่น้อย แต่ละคนรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว และปล่อยให้คนของสำนักเทียนชิงตากลมเย็นแบบนี้ต่อไป!
“น่าชังนัก! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“ช่วยนิดช่วยหน่อยพวกเจ้าคงไม่ถึงตายกระมัง หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ไม่ว่าคนของสำนักเทียนชิงจะตะโกนร้องเรียกอย่างไร ก็ไม่มีผู้ใดนำเสื้อผ้ามาให้พวกเขาอยู่ดี มู่เฉียนซีกล่าว “นิรันดร์ เมื่อครู่ที่เจ้าสั่งสอนคนพวกนั้น เจ้าสั่งสอนได้ดีมากทีเดียว!”