ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1796 ไม่กล้าได้ใจ
ครานี้เป็นการประลองของหญิงงามทั้งสอง ผู้ที่เข้ามาชมการประลองก็เพิ่มมากขึ้นไม่น้อย และก็เป็นผู้คนที่เคารพนับถือเกาเฟิ่งเสียส่วนมาก!
เกาเฟิ่งทอดมองไปยังไป๋จิ่งเยว่ที่นั่งอยู่ในบริเวณผู้เข้าชมการประลอง จากนั้นนางจึงจะหันมากล่าวกับมู่เฉียนซี “มู่เฉินซี เจ้าเป็นสหายของคุณชายจิ่งเยว่ ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้าจริง ๆ! แต่ข้าก็ไม่อาจทำให้ศิษย์น้องของข้าผิดหวังได้ เช่นนั้นคงต้องล่วงเกินเจ้าเสียแล้ว”
ต้วนจื้อหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วกล่าว “คุณชายจิ่งเยว่ ท่านดูสายตาของเกาเฟิ่งสิ นางชอบท่านใช่หรือไม่? เสน่ห์ของคุณชายจิ่งเยว่ไม่เลวเลยจริง ๆ”
ไป๋จิ่งเยว่กล่าว “พี่ต้วนอย่าได้เย้าข้าเล่นเลย”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นี่คุณหนูเกาเฟิ่งยังไม่ได้ทำให้ศิษย์น้องรู้สึกผิดหวังอีกหรอกหรือ?”
เกาเฟิ่งตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง หญิงสาวผู้นี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่?
นางกำด้ามกระบี่ไว้แน่น ก่อนจะแสดงทักษะกระบี่ชั้นสูงของสำนักหลินเยว่ออกมา แล้วพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีอย่างไม่เกรงใจ
“ผนึกพายุหิมะ!”
เกล็ดหิมะปรากฏขึ้นนับไม่ถ้วน เกาเฟิ่งได้แปรเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังวิญญาณธาตุน้ำแข็งหิมะแล้ว
เกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนไปทั่วทำให้บดบังการมองเห็นเป็นอย่างยิ่ง กระบี่ของเกาเฟิ่งก็ยิ่งเข้ามาประชิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นพัดวิหคเฟิงหลิงก็ได้คลี่ออก แล้วเข้ากำบังการโจมตีของเกาเฟิ่งอย่างรวดเร็ว
ทว่าอยู่ ๆ ก็มีกระบี่อีกเล่มหนึ่งจู่โจมเข้ามาจากทางด้านหลังของมู่เฉียนซี ความรวดเร็วนั้นยากที่จะหาที่เปรียบได้
“กระบี่คู่! ข้าลืมบอกแม่นางมู่ไปเสียสนิทเลย ว่าเกาเฟิ่งใช้กระบี่คู่”
“กระบี่สองเล่ม เล่มหนึ่งโจมตีซึ่ง ๆ หน้า อีกเล่มลอบโจมตี ความเร็วในการพุ่งเข้าใส่เป้าหมายนั้นรวดเร็วมาก ไม่รู้ว่าแม่นางมู่จะหลบได้หรือไม่?”
“……”
ครั้นเสียงของกระบี่ที่กำลังพุ่งผ่านอากาศมาจากด้านหลังของนางดังขึ้น มู่เฉียนซีก็เบี่ยงตัวหลบหลีกกระบี่เล่มนั้นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการเคลื่อนที่รวดเร็วของมู่เฉียนซีแล้ว การที่นางจะหลบหลีกนั้นก็เป็นอะไรที่ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง
“พลังวายุจันทราไร้คู่!”
ขณะที่มู่เฉียนซีกำลังหลบหลีกการโจมตี นางก็ได้ทำการโจมตีเกาเฟิ่งกลับด้วยเช่นกัน
มีคนจำนวนมากที่สามารถมองเห็นยามที่มู่เฉียนซีหลบหลีกการโจมตีได้อย่างชัดเจน และมองเห็นว่ามู่เฉียนซีสามารถหลบหลีกได้จริง ๆ
ไม่เพียงแต่จะสามารถหลบหลีกได้เท่านั้น แต่นางยังโจมตีกลับโดยที่ตนเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดอีกด้วย
เมื่อกระบี่คู่ของเกาเฟิ่งกลับมาอยู่ในมือของตนแล้ว เกาเฟิ่งก็เริ่มแสดงทักษะวิญญาณกระบี่คู่ออกมาในทันที
“พัดวิหคสะบัดขน!”
เกาเฟิ่งใช้เกล็ดหิมะบดบังการมองเห็นของมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีจึงใช้พัดวิหคสะบัดขนในการตอบโต้ ขนวิหกจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปลิวว่อนไปทั่วเช่นกัน มันหนาแน่นเสียยิ่งกว่าเกล็ดหิมะเหล่านั้นเสียอีก ไม่นานนักมู่เฉียนซีก็ได้เข้าประชิดเกาเฟิ่งแล้ว
ปัง!
มู่เฉียนซีไม่ได้ใช้ทักษะวิญญาณอันใด เป็นการใช้พลังกายที่แข็งแกร่งในการโจมตีอย่างสมบูรณ์แบบ นางใช้เท้าถีบไปที่ท้องของเกาเฟิ่งเต็มแรง
โครม!
การโจมตีนี้ทำให้เกาเฟิ่งเจ็บจนหน้าถอดสี
ครานี้ขนวิหคได้แปรเปลี่ยนเป็นดาบหยกเล่มหนึ่ง มู่เฉียนซีก็ได้ทำการโจมตีต่อไป
“พลังวายุกักขังวิญญาณ!”
“พลังวายุทำลายวิญญาณ!”
“พลังวายุจันทราไร้คู่!”
ราวกับว่าทักษะวิญญาณของมู่เฉียนซีไม่ต้องใช้พลังวิญญาณในการขับเคลื่อนแต่อย่างใด เมื่อโจมตีไปคราหนึ่งแล้วนางก็โจมตีต่อได้อย่างไม่หยุดหย่อน สิ่งนี้ทำให้เกาเฟิ่งตั้งรับไม่ทันไปเลยทีเดียว
“นี่มันจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ใครบ้างที่อยู่ในระดับต่ำกว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตแล้วเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้! เหตุใดหอคอยซิงเหลยจึงไม่ให้นางปีศาจตนนี้ไปอยู่ในเขตการประลองของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตไปเลยเล่า! มาอยู่ตรงนี้ก็มีแต่จะนำความยากลำบากมาให้พวกเราเสียเปล่า ๆ? ชักจะมากเกินไปแล้วจริง ๆ”
“ใช่! แบบนี้มันมากเกินไปแล้ว นี่มันเป็นการโยนหมาป่าเข้ามาในฝูงแกะชัด ๆ! ไม่ยุติธรรม!”
“เห้อ! อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นหนึ่งในสิบบุคคลแนวหน้าในชั้นสิบนะ! เมื่อต้องปะทะกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้ มันช่างน่าอายจริง ๆ”
เมื่อถูกโจมตีไปยกใหญ่ เกาเฟิ่งก็ตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าก็บูดบึ้งไม่น่าดูขึ้นมาในทันที
นางกำมือไว้แน่น ทันใดนั้นทุก ๆ คนก็สัมผัสได้ว่าความน่าเกรงขามของเกาเฟิ่งได้แปรเปลี่ยนไป พลังของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูต เกาเฟิ่งได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตแล้ว”
“นางกลายเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตแล้ว การประลองนี้ต้องยุติลง ไม่อย่างนั้นก็นับว่าไม่ยุติธรรม!”
“……”
พลังของเกาเฟิ่งได้ไต่ไปถึงระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตแล้ว ทำให้ทุก ๆ คนต่างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าเกาเฟิ่งกลับกล่าว “หากบรรลุระดับขั้นระหว่างการประลอง ก็ไม่จำเป็นต้องยุติการแข่งขัน หอคอยซิงเหลยมีกฎเกณฑ์อยู่! นี่เป็นสนามสุดท้ายหลังจากที่ข้าได้ชนะมาแล้วเก้าสิบเก้าสนาม เมื่อเอาชนะมู่เฉินซีได้แล้ว ก็นับว่าเป็นการชนะครบหนึ่งร้อยสนามพอดี แล้วข้าก็จะไปสนามประลองที่หอคอยระดับขั้นปราชญ์แห่งภูตเอง”
เกาเฟิ่งช่างน่าชังเสียจริง! นางข่มไม่ให้ตัวเองบรรลุระดับขั้นมาโดยตลอด เพื่อที่นางจะได้ใช้พลังของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตไปยังแท่นประลองของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูต
อย่างไรเสียการที่ใช้พลังของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตชนะการประลองของสนามประลองผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตครบหนึ่งร้อยสนาม ก็เป็นอะไรที่น้อยมาก หากนางสามารถทำได้ ถึงยามนั้นสายตาทุกคู่ก็จะต้องจับจ้องมาที่นางอย่างแน่นอน
ทว่าในตอนนี้นางจำเป็นจะต้องบรรลุระดับขั้นขึ้นอย่างเสียมิได้ หากนางใช้พลังของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตเข้าไปในการประลองผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูต ผลกระทบมันก็จะต้องเปลี่ยนไปกว่าที่นางคาดคิดอย่างแน่นอน
ผู้ดำเนินการประลองกล่าว “การที่บรรลุระดับขั้นระหว่างประลองนั้น สามารถทำการประลองต่อไปได้ ไม่ได้เป็นการผิดกฎแต่อย่างใด! การประลองดำเนินต่อได้!”
พลังของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตเป็นเท่าทวี เกาเฟิ่งจึงคิดว่าครานี้หากจะจัดการมู่เฉียนซีก็คงเป็นอะไรที่ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีหัวเราะแล้วกล่าว “ชนะครบหนึ่งร้อยสนาม ต้องขอโทษด้วย ความฝันที่สวยงามของเจ้าคงจะเป็นจริงไม่ได้แล้ว เนื่องจากข้าคือคู่ต่อสู้ของเจ้า”
ร่างสีม่วงวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว และมู่เฉียนซีก็ทำการโจมตีออกไปอีกครา
เกาเฟิ่งกล่าว “เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าได้รู้สักหน่อยก็แล้วกัน ว่าที่สุดแล้วความแตกต่างของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตและผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตนั้นมันมากมายเพียงใด”
ปัง ปัง ปัง!
เกาเฟิ่งที่บรรลุระดับขั้นแล้ว ก็ไม่ได้เกิดผลดีกับตนเองมากมายเท่าใดนัก
นางคิดว่าเมื่อได้บรรลุระดับขั้นเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตแล้ว นางจะได้รับชัยชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ของนางจะเป็นมู่เฉียนซี ซึ่งเป็นผู้มากฝีมือไร้พ่ายที่อยู่ในระดับต่ำกว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูต
ทุก ๆ คนกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง “มู่เฉินซีแข็งแกร่งถึงขั้นนี้เชียวรึ แม้กระทั่งระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตก็ยังทำอะไรนางไม่ได้”
“ไม่รู้ว่าการข้ามระดับพลังการต่อสู้ของมู่เฉินซีผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิระดับหกผู้นี้จะไปสิ้นสุดลงตรงที่ใด? ช่างน่ากลัวจริง ๆ”
ตวนจื้อที่กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ ไป๋จิ่งเยว่ในตอนนี้ก็กล่าวขึ้น “สวรรค์! แม่นางมู่ช่างเก่งกาจจริง ๆ หากข้าต้องแพ้ให้นางข้าก็ไม่รู้สึกข้องใจเลยสักนิด”
การโจมตีของมู่เฉียนซีไม่มีจุดอ่อนแม้แต่น้อย ทว่าเกาเฟิ่งที่แม้จะบรรลุระดับขั้นแล้ว แต่ก็ยังทำอะไรมู่เฉียนซีไม่ได้ ทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง ทุก ๆ การโจมตีของนางล้วนแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อน และมันก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
เกาเฟิ่งกัดฟันกรอด นางไม่อยากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
นางเป็นผู้มากความสามารถของสำนักหลินเยว่เชียวนะ จะมาแพ้ให้เด็กไร้หัวนอนปลายเท้าได้อย่างไร
กระบี่คู่ก็ได้กวัดแกว่งไปมาอีกครั้ง จากนั้นมันก็จะพุ่งเข้าหามู่เฉียนซีในแนวขวางอย่างรวดเร็ว
พัดวิหคเฟิงหลิงได้วาบผ่านกลางอากาศ แล้วพุ่งเข้าปะทะกับกระบี่คู่ของเกาเฟิ่งด้วยความรวดเร็ว
มองภายนอกแล้วมันอาจจะดูเหมือนพัดขนนกที่ถูกประดับประดาได้งดงามประณีตเป็นอย่างยิ่ง ทว่ากลับสามารถทำให้กระบี่คู่ของเกาเฟิ่งหักได้อย่างง่ายดาย
อาวุธกึ่งมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพก็แกร่งกล้าเช่นนี้เป็นธรรมดา
ปัง ปัง!
กระบี่คู่ตกลงกระแทกพื้นดั่งของไร้ค่า สีหน้าของเกาเฟิ่งดูตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีรีบพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ครานี้ได้มาถึงทางตันแล้ว หากนางยังดื้อรั้นต่อไป จุดจบของนางคงไม่ต่างอันใดจากศิษย์น้องอย่างแน่นอน นางกลัวแล้ว…
“ขะ…ข้ายอม…”
ความเร็วในการพูดของนาง ยังช้ากว่าการความเร็วที่มู่เฉียนซีใช้โจมตีเสียอีก ดังนั้นมันจึงกลายเป็นจุดจบอันน่าเวทนายิ่ง!
“พลังวายุจันทราไร้คู่!”
“พลังวายุจันทราไร้คู่!”
“พลังวายุจันทราไร้คู่!”
ปัง ปัง ปัง!
เมื่อมู่เฉียนซีปล่อยพลังโจมตีออกไปถึงสามครา ถึงแม้เกาเฟิ่งจะใช้พลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตปกป้องตนเอง ทว่าในยามนี้นางก็ตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
ปัง!
ก่อนที่เกาเฟิ่งจะเป็นลมสลบไป นางก็ได้ถลึงตาใส่มู่เฉียนซีด้วยความโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีกล่าว “คู่ต่อสู้ของข้าเป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูต ข้าไม่กล้าได้ใจหรอก! ดังนั้นหากข้าพลั้งลงมือหนักไป คุณหนูเกาเฟิ่งก็อย่าได้โกรธเคืองกันเลย…”
พรวด!
เกาเฟิ่งไม่เพียงแต่จะโกรธเท่านั้น นางยังกระอักเลือดออกมาอีกด้วย
นักปรุงยาก็ได้รีบวิ่งเข้ามาช่วยเหลือเกาเฟิ่งในทันที ก่อนจะพาเกาเฟิ่งที่บาดเจ็บหนักลงจากแท่นประลอง
ขณะนั้นเองผู้เข้าชมการประลองก็ได้จ้องมองผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกที่แข็งแกร่งจนไร้ขีดจำกัดด้วยความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้มู่เฉียนซีได้ชนะไปแล้วเก้าสิบเก้าสนาม
ยังขาดอีกหนึ่งสนามเท่านั้น ก็จะครบหนึ่งร้อยสนามแล้ว
การประลองในสนามนี้มู่เฉียนซีจะไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน นางจะต้องประลองต่อไป แต่แล้วผู้ใดล่ะที่จะรับคำท้าประลองจากนาง? หากรับคำท้าก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายชัด ๆ ผู้เข้าร่วมการประลองในครานี้ก็แทบแตกสลายไปตาม ๆ กัน ดูเหมือนพวกเขาจะต้องทำการถกเถียงกันอย่างจริงจังแล้วว่าจะส่งผู้ใดออกไปตายแทน…