ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1797 ทำให้คนอิจฉาในความร่ำรวย
มู่เฉียนซีกวาดสายตาไปยังพวกเขาแล้วกล่าว “ผู้ใดจะขึ้นมาประลองกับข้าบ้าง?”
ทางฝั่งของพวกเขายังไม่ทันมีผลลัพธ์ออกมา ก็มีคนผู้หนึ่งพุ่งขึ้นมายังชั้นสิบแล้วกล่าว “ข้าเอง!”
กระบี่ปีศาจชิงเสวียนมาแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวว่าจะรอประลองกับเขาอยู่ที่ชั้นสิบ ดังนั้นเขาจึงทำการประลองในชั้นต่าง ๆ จนได้มาถึงชั้นสิบด้วยท่าทางที่แทบจะทนรอไม่ไหวเช่นนี้
ขาดเพียงแค่สนามเดียว เพียงแค่ชนะมู่เฉินซีสนามเดียวเขาก็จะชนะครบหนึ่งร้อยสนามแล้ว เห็นทีเขาคงจะไม่มีโอกาสแล้ว
ถึงแม้ชิงเสวียนจะขึ้นมายังชั้นสิบได้ ทว่าเขาก็ไม่ได้มีท่าทางผ่อนคลายเฉกเช่นมู่เฉียนซีในก่อนหน้านี้เลย ตามเนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล
“เอ๊ะ! มีคนใหม่ขึ้นมาบนชั้นสิบอีกแล้ว” มีคนกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ข้ารู้จักเขา เขาคือกระบี่ปีศาจชิงเสวียน เขาก็เพิ่งทำการประลองชนะมาจากชั้นหนึ่งในวันนี้เหมือนกัน เพียงแค่ช้ากว่ามู่เฉินซีนิดหน่อยก็เท่านั้น คู่ต่อสู้จำนวนไม่น้อยที่ถูกเขาจัดการภายในชั่วพริบตา พลังของเขาแข็งแกร่งมาก!”
“ทันทีที่ขึ้นมาก็รับคำท้ามู่เฉินซีเสียแล้ว โง่หรือบ้ากันแน่! มู่เฉินซีผู้นี้วิปริตแค่ไหน ไม่รู้หรืออย่างไร!”
“เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ประลองกระบี่กับมู่เฉินซีมาแล้ว แต่แพ้ราบคาบ เห็นทีคงอยากจะมากอบกู้หน้าตากระมัง”
ทันทีที่กระบี่ปีศาจชิงเสวียนปรากฏตัว ก็ทำให้ทุก ๆ คนต่างรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
มีคนโง่กล้าขึ้นไปรับคำท้าจากมู่เฉินซีแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ไม่ต้องออกไปเสี่ยงอันตรายเองแล้ว
ทว่ามู่เฉียนซีกลับเหลือบมองไปที่เขาแล้วกล่าว “ช่างเถอะ ประลองติดต่อกันมาถึงเก้าสิบเก้าสนามแล้ว ข้าขอพักสักหน่อยก็แล้วกัน เจ้าเองก็ประลองติดต่อกันมาเก้าสิบเก้าสนาม ก็ควรพักผ่อนเช่นกัน ข้าไม่อยากเอาเปรียบ”
ขณะนี้กระบี่ปีศาจชิงเสวียนได้ขึ้นมายังชั้นที่สิบด้วยแรงผลักดันที่เปี่ยมล้น มู่เฉียนซีทราบดีว่าเขายังไม่ควรทำการประลองในตอนนี้
ชิงเสวียนเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว “ได้!”
ระหว่างที่มู่เฉียนซีและชิงเสวียนกำลังพักผ่อนอยู่นั้น ในที่สุดคนอื่นก็มีโอกาสได้ทำการประลองกันต่อแล้ว
ทว่าเมื่อได้พบเห็นการโจมตีที่ดุเดือดและครบรสชาติของมู่เฉียนซีแล้ว การประลองต่อจากนี้ก็ทำให้ดูน่าเบื่อเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาล้วนตั้งหน้าตั้งตารอการประลองของมู่เฉินซีและกระบี่ปีศาจชิงเสวียนเท่านั้น
ทว่ารอแล้วรอเล่ากระบี่ปีศาจชิงเสวียนก็ดูเหมือนจะยังไม่สามารถฟื้นฟูได้ดีมากนัก
ส่วนเหตุผลนั้นก็เป็นเพราะ เขาไม่มียาลูกกลอนฟื้นฟูพลังวิญญาณนั่นเอง
หากยึดตามความเร็วในการฟื้นฟูที่เปรียบดั่งหอยทากของเขาแล้ว เกรงว่าต้องรอจนกระทั่งพรุ่งนี้เช้าจึงจะฟื้นฟูได้เต็มที่
ในขณะนั้นเองไป๋จิ่งเยว่ก็ได้เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกายชิงเสวียนแล้วกล่าว “พี่ชิงเสวียน ใช้ยาลูกกลอนรักษานี้ฟื้นฟูร่างกายจะเร็วกว่านะ ข้าคิดว่าพี่ชิงเสวียนก็คงอยากจะประลองกับแม่นางมู่แล้วใช่หรือไม่!”
ชิงเสวียนเหลือบมองยาลูกกลอนของไป๋จิ่งเยว่แล้วกล่าว “ข้าไม่มีเงิน!”
มู่เฉียนซีทอดมองไปยังกระบี่ปีศาจชิงเสวียนด้วยความตกตะลึง นางรู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งยาลูกกลอนรักษาระดับต่ำที่สุดก็ยังไม่ขอรับไว้ เพียงเพราะตัวเองยากจนเกินไป
ไป๋จิ่งเยว่กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้ามอบให้ไม่คิดเงิน คิดเสียว่าเป็นการผูกมิตรก็แล้วกัน พี่ชิงเสวียนไม่ต้องเกรงใจ”
ชิงเสวียนเองที่กลัวว่ามู่เฉียนซีจะไม่รอเขา จึงรับยาลูกกลอนมากินอย่างไม่อิดออกอีก เขากล่าว “ขอบคุณคุณชายจิ่งเยว่มาก”
ทุก ๆ คนล้วนกล่าวในใจ คุณชายจิ่งเยว่ช่างเป็นคนมีคุณธรรมและมีจิตใจเมตตาจริง ๆ ช่างเป็นคนดีโดยแท้!
การประลองของผู้ท้าประลองทั้งสองคนที่กำลังทำการประลองอยู่ในตอนนี้ก็ได้มีผลลัพธ์ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชิงเสวียนเองก็ได้ฟื้นฟูพลังวิญญาณจนกลับมาสมบูรณ์เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
มู่เฉียนซีกระโดดขึ้นไปบนแท่นประลอง ชิงเสวียนเองก็กระโดดขึ้นไปบนแท่นประลองเช่นกัน
“พวกเขามาแล้ว! มาแล้ว!”
“มู่เฉินซีกำลังจะเริ่มประลองกับกระบี่ปีศาจชิงเสวียนแล้ว”
กระบี่ปีศาจชิงเสวียนชักกระบี่ออกมา ส่วนมู่เฉียนซีเองก็ได้เลือกหยิบกระบี่จากมิติออกมาเล่มหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก
“เอ๊ะ! มู่เฉินซีไม่ได้ใช้อาวุธก่อนหน้านี้ที่นางใช้แล้วหรือ? แต่กระบี่เล่มนี้ก็ดูไม่ธรรมดาเช่นกัน”
ไม่ได้! มู่เฉียนซีเก็บกระบี่กลับไปอีกครั้ง แล้วจึงจะหยิบกระบี่อีกเล่มออกมา อันนี้ก็ยังไม่ได้!
ภายในมิติล้วนเป็นที่เก็บของอาวุธวิญญาณมากมาย ทว่าแต่ละชิ้นก็ล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น นางเปลี่ยนกระบี่ไปมาอยู่นานสองนานจึงจะหากระบี่เล่มที่เหมาะสมได้
เพียงแต่สายตาของผู้คนที่เข้ามาร่วมดูการประลองในขณะนี้ ล้วนจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาที่ผิดแปลกไป และแน่นอนว่าสายตานั้นก็ต้องเป็นสายตาของความอิจฉาริษยา
ทุกคนต่างพากันส่งเสียงฮือฮาขึ้นในทันที “สวรรค?! ตระกูลของมู่เฉินซีผู้นี้ขายอาวุธวิญญาณหรืออย่างไร! เหตุใดถึงได้มีอาวุธวิญญาณมากมายเช่นนี้?”
“ข้าคิดว่าเด็กสาวนั่นจะต้องไปขโมยคลังอาวุธวิญญาณของนักหลอมอาวุธมาสักอย่างแน่นอน น่าตกใจจริง ๆ”
“……”
ชิงเสวียนจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยตัวที่แข็งทื่อ เขาพยายามข่มตัวเองไม่ให้ไปอิจฉาความร่ำรวยของนาง
มู่เฉียนซีกวัดแกว่งกระบี่ไปมาแล้วกล่าว “ข้าได้กล่าวไว้แล้ว หากเจ้าตามข้ามายังชั้นสิบได้ ข้าจะไม่ใช้อาวุธที่เอาเปรียบเจ้า แต่ข้าจะใช้อาวุธวิญญาณธรรมดามาสู้กับเจ้าแทน พูดจริงทำจริง”
ชิงเสวียนกล่าว “ครานี้ข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้!”
ทันที่กระตุกข้อมือ ก็มีประกายแสงแปลกประหลาดสาดส่องมา ตามมาด้วยเสียงของวัตถุบางอย่างที่ตัดผ่านมาจากกลางอากาศ
ภายในชั่วพริบตาประกายแสงกระบี่ก็ได้สาดส่องมาที่มู่เฉียนซีจากทั่งสิบทิศ
พลังของผู้ที่สามารถชนะการประลองติดต่อกันถึงเก้าสิบเก้าสนามภายในหนึ่งวันได้นั้นไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับประกายแสงกระบี่ที่รายล้อมอยู่ทั่วทุกสารทิศ มู่เฉียนซีก็รีบหลบหลีกด้วยความรวดเร็วในทันที
นางกวัดแกว่งกระบี่ออกไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เมื่อพลังของกระบี่ควบรวมกับพลังวิญญาณธาตุวายุแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พลังวายุจันทราไร้คู่!”
“พลังของกระบี่ควบรวมกับพลังวิญญาณธาตุวายุแล้ว นางช่างใจกล้ามากจริง ๆ”
ชิงเสวียนตกตะลึงไปในทันที เขาใช้กระบี่ต้านทานการโจมตีของมู่เฉียนซีอย่างฉับพลัน
โครม!
พลังของคนทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง
จากนั้นคนทั้งสองก็ทำการปะทะกันบนแท่นประลองราวกับภูตผีไร้สสารก็มิปาน ผู้เข้าชมการประลองต่างก็ตาลายไปตาม ๆ กัน
“การประลองระดับนี้ถึงแม้จะเป็นแท่นประลองระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตก็พบเจอได้ยากมาก ดุเดือดสุด ๆ ไปเลย!”
“ทั้งสองคนนี้วิปริตเกินไปแล้ว! กระบี่ปีศาจชิงเสวียนกับมู่เฉินซีนั้นยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งวิปริตขึ้นเรื่อย ๆ”
“……”
ผู้เข้าร่วมการประลองเหล่านั้นต่างก็หมดคำที่จะพูดไปในทันที ภายในวันเดียวก็มีคนวิปริตผุดขึ้นมาถึงสองคน สำหรับพวกเขาแล้วมันก็เป็นอะไรที่สะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง โชคดีที่ตอนนี้ผู้วิปริตทั้งสองนั้นได้ทำการประลองกันเอง พวกเขาจึงสามารถสงบจิตสงบใจไปได้ระยะหนึ่ง
ทักษะกระบี่ของชิงเสวียนนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง นอกจากบุรุษอาภรณ์ขาว ชิงเสวียนก็เป็นคนหนุ่มคนแรกที่ใช้กระบี่ได้ยอดเยี่ยมมากที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอมา อีกอย่างเขาก็ยังเป็นคนที่รักกระบี่เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงอยากประลองกับเขาอีกสักครั้ง
ขณะที่กำลังทำการประลองกันอยู่ นางก็สามารถเรียนรู้ได้เช่นกัน
นี่ไม่ใช่การใช้ลมวายุควบคุมกระบี่ และไม่ใช่การใช้กระบี่ควบคุมสายลม ทว่าเป็นการที่ใช้พลังของกระบี่รวมกับพลังวิญญาณธาตุโจมตี นางทำสำเร็จแล้ว
“พลังวายุกักขังวิญญาณ!”
“พลังวายุทำลายวิญญาณ!”
ไม่เพียงแต่มู่เฉียนซีจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เท่านั้น ชิงเสวียนเองก็รู้สึกว่าเมื่อได้พบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง พลังกระบี่ของตนเองก็ได้แข็งแกร่งขึ้นด้วย
เมื่อความแน่วแน่ว่าจะไม่พ่ายแพ้ได้ลุกโชนขึ้นในใจ นั่นก็ยิ่งทำให้กระบี่ของเขาอันตรายมากยิ่งขึ้น
ครืน ครืน!
นิรันดร์ที่กำลังสังเกตการณ์ประลองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็ไม่ผู้ใดทันสังเกตเห็น
“ศิษย์ที่รักของข้าช่างเรียนรู้ได้เร็วจริง ๆ! เรียนรู้ได้เร็วอย่างนี้ทักษะวิญญาณที่เหลือคงไม่ต้องให้ข้าชี้แนะแล้วกระมัง เพราะศิษย์ที่รักสามารถสร้างทักษะวิญญาณเป็นของตัวเองได้แล้ว”
การที่เขาชี้แนะทักษะวิญญาณให้มู่เฉียนซีสามกระบวนท่าก่อนหน้านี้ เป็นเพียงการนำทางเท่านั้น การที่สามารถนำทางให้มู่เฉียนซีสรรสร้างทักษะวิญญาณขึ้นด้วยตัวเองได้ ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ประสบความสำเร็จเป็นที่สุด เดิมทีเขายังต้องการเวลาอีกสักหน่อย แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะประเมินเจ้านายของตัวเองต่ำไปเช่นนี้
ปัง ปัง ปัง!
ภายในชั่วพริบตา ทั้งสองก็ได้ปะทะกันไปหลายกระบวนท่าแล้ว
ชิงเสวียนกำกระบี่ไว้แน่น คมกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนได้พุ่งเข้าหามู่เฉียนซีราวกับคลื่นยักษ์ก็มิปาน
พลังของกระบี่เหล่านี้เหมือนของจริง ขณะเดียวกันมันก็เหมือนภาพมายาด้วยเช่นกัน ยากยิ่งที่จะแยกแยะออกได้
จุดจบของการตัดสินใจที่ผิดพลาดก็คือ เลือดสด ๆ จะต้องเจิ่งนองไปทั่วสนามประลองแน่นอน
ทว่ามู่เฉียนซีกลับยังมีท่าทีที่สุขุมไม่แปรเปลี่ยน นางเพียงกวัดแกว่งกระบี่ไปมาเล็กน้อย ธาตุวายุก็ได้หลอมรวมเป็นพลังอันน่าเกรงขาม
ความเร็วของมู่เฉียนซีนั้นรวดเร็วเสียจนน่าใจหาย กระบี่ที่กำอยู่ในมือมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือโจมตีศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าให้พ่ายแพ้ไป กระบี่เหวี่ยงออกไป และพุ่งตัดผ่านกลางอากาศ
ปัง! เสียงดังราวกับสายฟ้าฟาดดังสนั่นขึ้น ร่างของชิงเสวียนกระเด็นลอยออกไป