ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1804 ข้าไม่วางใจ
ชายหนุ่มผู้นั้นกระซิบบางอย่างกับคุณหนูซิง คุณหนูซิงจึงกล่าวดูถูกเหยียดหยามเขาทันที “ท่านพ่อของข้าเป็นถึงท่านเจ้าเมืองซิงเหลย เป็นนักหลอมอาวุธอันดับหนึ่งแห่งเมืองซิงเหลย! คนไส้แห้งคร่ำครึเช่นเจ้าจะให้ท่านพ่อข้าซ่อมอาวุธวิญญาณให้ หึ! สำเหนียกตัวเองบ้างเถอะ! อย่ามาเกะกะขวางหูขวางตาข้า หลบไป”
ช่างบังเอิญยิ่งนัก เพราะสามคนนี้คือคนที่มู่เฉียนซีเคยเจอมาก่อน
ชายชุดดำผู้นั้นก็คือชิงเสวียน ชายอีกคนหนึ่งก็คือคนที่ต้องการแย่งชิงสมุนไพรวิญญาณกับนางในเมื่อวาน ส่วนหญิงสาวผู้นั้นก็คือคุณหนูซิงนั่นเอง
“ไสหัวไปให้พ้น! เจ้าอย่าได้มาเกะกะขวางหูขวางทางข้า ประเดี๋ยวท่านพี่จิ่งเยว่จะมาแล้ว”
วันนี้คุณหนูซิงแต่งตัวผัดแป้งงดงามเป็นพิเศษ เนื่องจากภายใต้ความดื้อดึงของนาง ในที่สุดไป๋จิ่งเยว่จึงรับปากที่จะมาเยี่ยมเยือนท่านเจ้าเมือง
สุดท้ายไม่เพียงแต่ไป๋จิ่งเยว่เท่านั้นที่มา ทว่าข้างกายเขายังมีหญิงสาวผู้นั้นที่นางเกลียดชังมากตามมาอีกด้วย คุณหนูซิงกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ
“เจ้า…นี่เจ้ามาได้อย่างไร จวนท่านเจ้าเมืองของข้าไม่ต้อนรับเจ้า” คุณหนูซิงกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยวชิงชัง
ไป๋จิ่งเยว่กล่าว “คุณหนูซิง แม่นางมู่เป็นสหายข้า คุณชายชิงเสวียนผู้นี้ก็เป็นสหายข้าเช่นกัน หากเจ้าไม่ต้อนรับพวกข้า เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวลา”
เรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อวาน ณ หอหมอปีศาจ มู่เฉียนซีเห็นทุกอย่าง ชิงเสวียนหาแร่หายากจำนวนมากมาได้ ตอนนี้มาหานักหลอมอาวุธวิญญาณอันดับหนึ่งแห่งเมืองซิงเหลย คาดว่าเขาคงต้องการจะซ่อมแซมกระบี่ปีศาจของเขาเป็นแน่
ช่างน่าเสียดายที่ชิงเสวียนโชคร้ายมาพบกับชายหญิงประหลาดคู่นี่เข้า ทำให้ไม่อาจเข้าไปในจวนท่านเจ้าเมืองได้
โชคดีที่นางหันไปเห็นไป๋จิ่งเยว่เดินมาพอดี สิ่งนี้ทำให้นางเกิดความสนใจขึ้น จึงวางแผนจะเข้าพบนักหลอมอาวุธวิญญาณผู้นั้นในจวนท่านเจ้าเมืองด้วย
ชิงเสวียนเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าคุณชายไป๋จะช่วยเขา ใบหน้าที่เดิมทีไร้อารมณ์และความรู้สึกนั้นเผยความดีใจออกมา
ไป๋จิ่งเยว่เอ่ยปากกล่าวเช่นนี้แล้ว คุณหนูซิงก็จนปัญญาแล้ว ทำได้เพียงแค่เชิญพวกเขาเข้าไปเท่านั้น
คุณหนูซิงมีนิสัยไม่เป็นมิตร ทว่า ท่านเจ้าเมืองซิงนับว่าเป็นท่านลุงที่มีน้ำจิตน้ำใจคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
เขายิ้มพลางกล่าวว่า “แม่นางผู้นี้ก็คงจะเป็นมู่เฉินซีกระมัง! คะแนนการประลองของเจ้าแทบจะเป็นตำนานของหอคอยซิงเหลยแล้ว ความสามารถในการต่อสู้ข้ามขั้นเช่นนี้ นับว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะเพียงไม่กี่คนของดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้จริง ๆ”
“นางคือมู่เฉินซี!” คุณหนูซิงมองมู่เฉียนซีด้วยความประหลาดใจ แต่นางยังคงกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้นอยู่
ท่านเจ้าเมืองซิงพูดคุยด้วยความเป็นมิตร หลังจากที่พวกเขาพูดกันอยู่พักหนึ่ง ชิงเสวียนก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า “ท่านเจ้าเมืองซิง ข้าน้อยมีเรื่องบางอย่างอยากจะร้องขอ”
“เรื่องอันใด?”
ชิงเสวียนเอากระบี่ปีศาจของเขาออกมา พลางกล่าวว่า “ข้าอยากจะขอให้ท่านเจ้าเมืองช่วยซ่อมกระบี่ปีศาจให้ข้าน้อยสักหน่อย”
ท่านเจ้าเมืองซิงจ้องมองไปที่กระบี่ปีศาจเล่มนั้น ด้วยสายตาของนักหลอมอาวุธแล้ว กระบี่เล่มนี้ในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กเลยสักนิด
ท่านเจ้าเมืองซิงกล่าวถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าจะซ่อมกระบี่เล่มนี้ ไม่ใช่หลอมขึ้นมาใหม่อีกเล่ม ด้วยสภาพของมันในตอนนี้ หากซ่อมคงจะเหนื่อยกว่าหลอมเล่มใหม่มาก”
ชิงเสวียนยังคงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าอยากจะซ่อมมันจริง ๆ!”
เขาเอาแร่ออกมาเป็นจำนวนมาก แร่บางชนิดก็เป็นแร่ที่หาได้ยากยิ่ง สิ่งนี้ทำให้ท่านเจ้าเมืองซิงเห็นแล้วรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างมิอาจห้ามได้ เขารู้แล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้จริงจัง
ท่านเจ้าเมืองซิงกล่าว “หากซ่อมมัน ข้าคงต้องใช้เวลาเป็นเดือน อีกอย่างค่าจ้างนักหลอมอาวุธเวลาหนึ่งเดือนนั้น ราคาที่ต้องจ่ายก็เป็นอะไรที่สูงมาก”
“คนผู้นี้ยากจนข้นแค้น คงไม่มีเงินทองมากมายถึงเพียงนั้นหรอก ท่านลุง ท่านลุงอย่าได้หลงกลเจ้าคนผู้นี้เชียว” จู่ ๆ ชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นก็กล่าวแทรกขึ้นมา
ชิงเสวียนไม่มีเงินทองมากมายถึงเพียงนั้น เงินทองทั้งหมดของเขา คาดว่าคงเอาไปซื้อแร่เหล่านี้มาจนหมดแล้ว
เมื่อถูกชายหนุ่มชุดเขียวกล่าววาจาดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ สีหน้าของชิงเสวียนก็เผยความลำบากใจออกมา
มู่เฉียนซีกล่าว “ค่าใช้จ่าย เท่านี้เพียงพอหรือไม่?”
มู่เฉียนซีไม่ได้เอาหยกวิญญาณออกมาแต่อย่างใด แต่นางหยิบเอายาลูกกลอนขวดหนึ่งออกมา
ผู้ใดที่เคยไปหอหมอปีศาจจะรู้ได้ทันทีว่ายาลูกกลอนขวดนี้เป็นยาที่มีราคาแพงที่สุดของหอหมอปีศาจ
ต่อให้ท่านเจ้าเมืองซิงผู้เป็นนักหลอมอาวุธ และเป็นผู้ที่ร่ำรวยมาก แต่เขาก็ยังทนจ่ายราคาที่สูงลิ่วขนาดนั้นไม่ได้
ชิงเสวียนกล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “ข้าไม่ได้สนิทกับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยข้า ข้าจะหาทางเก็บเงินเอง คุณหนูอย่างพวกเจ้าชอบใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายมากหรืออย่างไร?”
คุณหนูซิงมองไปที่ชิงเสวียน เจ้าหมอนี่คงโง่เขลาคร่ำครึเกินไปแล้วกระมัง มีคนเอาเงินจำนวนมากช่วยเขาถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะปฏิเสธ
ท่านเจ้าเมืองซิงไม่ต้องการให้มู่เฉียนซีคืนคำ เขาจึงรีบกล่าวว่า “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว! แม่นางมู่ช่างดีกับสหายยิ่งนัก”
ชิงเสวียนขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าไม่ต้องการมันก็เป็นเรื่องของเจ้า ส่วนข้าจะทำอันใดมันก็เป็นเรื่องของข้า”
ชิงเสวียนลุกพรวดขึ้นจะเดินออกไป แต่กลับถูกไป๋จิ่งเยว่รั้งเอาไว้
“สหายชิงเสวียน!”
“รออีกประเดี๋ยวแล้วค่อยไปเถอะ! เจ้าจะรีบร้อนเกินไปแล้ว!” มู่เฉียนซีกล่าว
มู่เฉียนซีมองไปที่ท่านเจ้าเมืองซิง ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองรับปากว่าจะซ่อมกระบี่ปีศาจให้ แต่พวกเรายังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของท่านเจ้าเมืองเลย หากจะขอให้ท่านเจ้าเมืองหลอมอาวุธให้พวกเราดูสักหน่อยจะได้หรือไม่?”
เพียงอึดใจเดียวก็จะได้ยาลูกกลอนราคาแพงมาครอบครองแล้ว ท่านเจ้าเมืองซิงกล่าวอย่างใจกว้างว่า “ไม่มีปัญหา ข้าจะพาพวกเจ้าไปชมผลงานของข้า”
คลังเก็บของห้องหนึ่งเต็มไปด้วยอาวุธวิญญาณที่ท่านเจ้าเมืองซิงหลอม มู่เฉียนซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ชิงเสวียนเดินตามไป เขามองอาวุธแต่ละชิ้นอย่างละเอียด โดยเฉพาะอาวุธที่เป็นกระบี่
ในฐานะผู้ที่คลั่งไคล้ในกระบี่ เขามีความรู้สึกไวต่อคุณภาพของกระบี่มาก
หลังจากดูเสร็จ เขาก็กล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “ข้าจะกลับแล้ว ข้าไม่ต้องการให้ท่านเจ้าเมืองหลอมกระบี่ปีศาจให้ข้าแล้ว”
คุณหนูซิงโกรธเกรี้ยวขึ้นทันที “นี่เจ้าหมายความว่ายังไง ท่านพ่อข้ารับปากแล้ว เจ้าจะมาเปลี่ยนใจได้อย่างไร เจ้านี่เป็นคนยังไงกันแน่”
ชิงเสวียนกล่าว “ข้าไม่วางใจที่จะมอบกระบี่ปีศาจให้ท่านเจ้าเมืองหลอมแล้ว ข้าขอตัวลา”
ชิงเสวียนกล่าวจบก็เดินออกไป สีหน้าของท่านเจ้าเมืองไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เจ้าหนุ่มผู้นี้หมายความว่าอย่างไร ดูถูกฝีมือของเขาอย่างนั้นหรือ
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ท่านเจ้าเมืองซิง ดูท่าการค้าในครั้งนี้จะไม่สำเร็จแล้ว”
เพื่อไม่ให้เสียภาพลักษณ์ ท่านเจ้าเมืองซิงจึงอดกลั้นระงับความโกรธเอาไว้ เขากล่าวอย่างใจเย็นว่า “หากแม่นางมู่อยากได้อาวุธวิญญาณใหม่เมื่อไหร่ ก็มาหาข้าได้”
“ไม่มีปัญหา!”
คุรหนูซิงตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “อย่าให้เขาไป ขวางเขาเอาไว้! นี่เจ้ากำลังเล่นตลกอันใดอยู่กันแน่!”
คุณหนูซิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นคนที่มาขอให้ท่านพ่อของนางซ่อมกระบี่ให้แล้วทำกิริยาเช่นนี้กับท่านพ่อนาง
ชิงเสวียนกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ท่านเจ้าเมืองซิง ข้ามาหาท่านเพื่อให้ท่านซ่อมอาวุธให้ แต่ท่านรังเกียจข้าที่ข้ายากจน ข้าเองก็ไม่วางใจว่าท่านจะซ่อมให้ข้าได้ดีหรือไม่ ข้าพูดเช่นนี้ถูกหรือไม่?”
สีหน้าชิงเสวียนไร้อารมณ์และความรู้สึก นึกไม่ถึงเลยว่าวาจาที่เขากล่าวออกมานั้นจะเฉียบคมได้ถึงเพียงนี้ ครานี้ ท่านเจ้าเมืองซิงเองก็ไม่อาจระงับความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ได้แล้ว “เยี่ยม เยี่ยมมาก! เจ้าดูถูกฝีมือความแข็งแกร่งของข้า ข้าว่า ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่กล้าซ่อมกระบี่เล่มนั้นให้เจ้าหรอก ไม่ว่าจะเป็นนักหลอมอาวุธในเมืองซิงเหลย หรือจะเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธที่อื่นก็คงจะไม่มีสนใจเจ้า แล้วเมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เจ้ากลับมาขอร้องอ้อนวอนข้า ก็ฝันไปเถอะว่าข้าจะทำให้เจ้า”
“ไสหัวออกไปให้พ้น!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านเจ้าเมืองซิง แม้แต่คนนอกเขาก็ดูออกว่าฝีมือของท่านนั้นใช้ไม่ได้เลย อันที่จริงแล้วท่านควรจะพิจารณาตัวเองสักหน่อยก็ดีนะ”
กล่าวจบ มู่เฉียนซีและไป๋จิ่งเยว่ก็เดินออกไป คำพูดนี้ของมู่เฉียนซีทำให้สีหน้าของท่านเจ้าเมืองซิงยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ
คุณหนูซิงกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าบัดซบนั่นพูดบ้าอะไร ข้าจะสั่งสอนให้นางได้เห็นดีเอง”
“กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” ท่านเจ้าเมืองซิงตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด สองคนนั้นไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย ท่านเจ้าเมืองซิงจึงตัดสินใจส่งข่าวไปยังเหล่านักหลอมอาวุธท่านอื่น ๆ ว่าหากชิงเสวียนผู้นี้ไปขอให้ซ่อมกระบี่ให้ ก็ให้ปฏิเสธคำขอของเขาเสีย