ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1825 รักใคร่สามัคคี
พวกมันกล่าวตอบ “ได้!”
ครืน ครืน!
พวกของมู่เฉียนซียังคงต่อสู้กับรูปแกะสลักเหล่านั้น ส่วนนิรันดร์และจิ่วเยี่ยก็ได้จัดการรูปแกะสลักตัวอื่น ๆ ไปจนหมดสิ้นอย่างง่ายดาย
นิรันดร์ตบมือพลางกล่าว “หวงจิ่วเยี่ย ข้าว่าศิษย์ที่รักของข้านั้นดีมากขนาดนี้ หากต้องมาคู่กับเจ้ามันก็น่าเสียดายแย่ เจ้าว่าผู้มากความสามารถและหน้าตาหล่อเหลาที่สามารถดึงดูดสตรีทั่วทั้งใต้หล้าได้อย่างข้า มีสิ่งใดที่ด้อยกว่าเจ้าอย่างนั้นหรือ”
จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ซีคิดว่าข้าดีกว่าผู้อื่น แค่นี้ก็พอแล้ว!”
“อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ชอบวาจาเจ้า!” พลังสังหารของจิ่วเยี่ยได้พุ่งตรงไปยังนิรันดร์ นิรันดร์จึงรีบหลบหลีกในทันที
“เจ้าชักจะเข้าข้างตัวเองมากเกินไปแล้ว ศิษย์ที่รักเคยบอกหรือว่าเจ้าดีกว่าทุก ๆ คน? เป็นไปไม่ได้เลยสักนิด!”
ปัง!
ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ทั้งสองเพิ่งร่วมมือกันจัดการรูปแกะสลักเหล่านั้นไปแท้ ๆ ทว่าตอนนี้กลับแตกคอหันมาต่อสู้กันเองเสียแล้ว
สถานที่แห่งนี้แข็งแรงทนทานเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจะต่อสู้กันอย่างไรก็ได้
มู่เฉียนซีที่กำลังต่อสู้กับพวกรูปแกะสลักอยู่ ก็พบว่าบุรุษรูปงามทั้งสองหันมาต่อสู้กันอีกครา ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยใจเป็นอย่างยิ่ง
อู๋ตี้กล่าว “สองคนนั่นช่างน่าเบื่อจริง ๆ ไม่เห็นหรือว่านายท่านกำลังยุ่งอยู่? แต่พวกเขากลับหันมาตีกันเอง”
แน่นอนว่าถึงแม้จิ่วเยี่ยและนิรันดร์จะกำลังปะทะกันอยู่ ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ละเลยที่จะสังเกตสถานการณ์ของมู่เฉียนซีแต่อย่างใด
ครืน ครืน!
มู่เฉียนซีและพวกพ้องของนางทั้งสามก็ได้ร่วมมือกันต่อสู้กับบรรดารูปแกะสลัก กว่าจะสามารถทำให้รูปแกะสลักเหล่านี้หมดหนทางฟื้นคืนได้ ก็ทำเอาพวกนางสูญเสียพลังเกือบทั้งหมดไป
ครืน ครืน!
ทันใดนั้นพื้นใต้เท้าของมู่เฉียนซีก็เริ่มสั่นไหว ไม่นานนักนางก็ร่วงตกลงไปเบื้องล่าง
“ซี!”
“ศิษย์ที่รัก!”
ทั้งสองหยุดการปะทะกันในทันที แล้วรีบพุ่งไปหามู่เฉียนซีด้วยความรวดเร็ว
มู่เฉียนซีค่อย ๆ ร่อนลงจากกลางอากาศ นางพบว่าเบื้องล่างมีดวงไฟสีเงินขนาดใหญ่หนึ่งดวง
ครั้นเข้าไปใกล้ มู่เฉียนซีก็พบว่านั่นไม่ใช่ดวงไฟ แต่เป็นแผ่นหินแผ่นหนึ่ง…
ยิ่งเข้าใกล้มู่เฉียนซีก็พบว่า สิ่งที่นางเห็นไม่ใช่ก้อนหิน ทว่าเป็นวัตถุทรงรีผิวเรียบเปล่งแสงชิ้นหนึ่ง มันคล้ายกับ…ทันใดนั้นนิรันดร์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นข้างกายมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “นี่มันเกล็ดมังกรนี่นา มันน่าจะเป็นเกล็ดมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง นี่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมัน และยังมีพลังของมันอยู่ภายใน ดังนั้นถึงแม้มันจะจากไปแล้วแต่ก็สามารถเล่นงานผู้คนได้ขนาดนี้ ชั่วช้าจริง ๆ!”
ปัง!
พวกเขาทั้งสามได้ทะยานลงสู่พื้นดิน
สุ้มเสียงที่กล่าวขึ้นอย่างตรงไปตรงมาสุ้มเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้น “ในที่สุดก็มีคนมาถึงที่นี่จนได้ เมื่อเจ้าวางมือลงบนวัตถุศักดิ์สิทธิ์แล้ว เจ้าจะได้รับพลังแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ผู้ใดเทียบ นี่เป็นเกียรติขั้นสูงสุดที่ไม่มีผู้ใดอาจเอื้อมถึง”
“เมื่อได้ครอบครองมันแล้ว สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำคือกำจัดเผ่ามืดที่ถูกผนึกไว้ที่นี่ให้ข้า รีบมาเถอะ! เร็วเข้า!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เกล็ดมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างมีประโยชน์อย่างนั้นหรือ?”
นิรันดร์ที่เตรียมจะกล่าวตอบ ก็ถูกจิ่วเยี่ยลงมืดตัดหน้าไปเสียก่อน ภายในชั่วพริบตาเกล็ดมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างขนาดใหญ่ก็ถูกหวงจิ่วเยี่ยย่อส่วนจนหลงเหลือเป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น
จิ่วเยี่ยกล่าว “เกล็ดมังกรเป็นส่วนหนึ่งของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง หากกระดูกของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างปรากฏขึ้น หรือมีพลังงานแผ่ซ่านออกมา เกล็ดมังกรนี้ก็จะมีปฏิกิรยาตอบรับในทันที!”
“ก็นับว่ามีประโยชน์นิดหน่อย!”
เนื่องจากมีประโยชน์ ดังนั้นจิ่วเยี่ยจึงได้เก็บมันเอาไว้
และแน่นอนว่าอย่างไรเสียเกล็ดมังกรนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง ดังนั้นมันจึงยังมีพลังหลงเหลืออยู่ มันไม่ยอมจำนน และยังดิ้นรนขัดขืน อีกทั้งยังพยายามทำลายธาตุมืดในร่างกายจิ่วเยี่ยอีกด้วย
เพียงแต่ครานี้มันได้เจอกับตัวจริง ไม่ว่าจะขัดขืนดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ในทางกลับกันกลับถูกกำราบจนสิ้นฤทธิ์
เกล็ดมังกรแผ่นนั้นได้ย่อส่วนลงจนมีขนาดเท่าฝ่ามือ หวงจิ่วเยี่ยได้วางมันลงบนมือของมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้านำติดตัวไว้ ของสิ่งนี้จะทำให้เจ้าหาที่อยู่ของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างได้ง่ายขึ้น”
“มันมีพลังรักษา ซีเก็บไว้เถอะ!”
มู่เฉียนซีได้เห็นพลังการรักษาของของชิ้นนี้กับตาตัวเองแล้ว มันรักษาได้เร็วกว่ายาลูกกลอนเสียอีก
เมื่อจิ่วเยี่ยมอบมันให้กับมู่เฉียนซีแล้ว ก็แน่นอนว่าเขาไม่คิดเก็บมันกลับมาอีก
ครืน!
เสียงของบางสิ่งบางอย่างดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว เมื่อต้องประคองผนึกนี้ไว้ พระราชวังหลังนี้ก็สูญเสียพลังไปจนหมดสิ้น และพังทลายลงในที่สุด
ครืน!
มวลน้ำขนาดใหญ่ทะลักเข้ามา จิ่วเยี่ยได้ชิงตัดหน้าอุ้มมู่เฉียนซีหลบหนีออกจากที่นี่ไปก่อนนิรันดร์ด้วยความรวดเร็ว
ครืน ครืน!
ขณะนี้ที่ที่พวกเผ่ามืดอาศัยอยู่ก็สั่นคลอนขึ้นมาเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาถอดสีกันเลยทีเดียว “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“เหมือนจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นนะ!”
มวลน้ำเหล่านั้นไหลทะลักลงด้านล่างอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาพบว่ามีบุรุษสวมชุดคลุมยาวสีดำสวมหน้ากากอุ้มมู่เฉียนซีออกมา
พวกเขาจึงรีบเตรียมป้องกันในทันที เนื่องจากเกรงว่ามู่เฉียนซีจะถูกล้างสมอง แล้วกลายเป็นศัตรูกับพวกเขา
มู่เฉียนซีกล่าว “ผนึกถูกปลดแล้ว ทางออกอยู่ที่ก้นบึ้งทะเลสาบ พวกเจ้าสามารถออกไปได้ทุกเวลา! ข้าขอตัวก่อน”
เมื่อได้รับสิ่งของที่ต้องการ และหาทางออกได้แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ฉุดรั้งตัวมู่เฉียนซีไว้แต่อย่างใด
พวกของมู่เฉียนซีทั้งสามคนได้กระโดดลงไปกลางทะเลสาบ เมื่อหาทางออกเจอแล้ว พวกเขาก็ได้เข้าไปในถ้ำมืดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง
ในขณะนั้นเองเกล็ดมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างที่อยู่ในมือของมู่เฉียนซีก็มีการเคลื่อนไหวขึ้นเล็กน้อย นางกล่าว “แสงสว่างอ่อนแรงมาก คงไม่ใช่ซากของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างหรอก คงจะเป็นเกล็ดของมันหรือไม่ก็ส่วนอื่น ๆ นั่นแหละ ลองไปดูสักหน่อยดีกว่า!”
จิ่วเยี่ยพยักหน้าแล้วกล่าว “ได้!”
ปัง!
เมื่อก้าวออกไปเบื้องหน้า มู่เฉียนซีไม่เพียงแต่สัมผัสได้ถึงพลังแห่งแสง นางยังได้ยินเสียงของการต่อสู้แว่วดังขึ้นอีกด้วย
นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ยังมีคนอื่น ๆ ที่มาที่นี่อีกด้วย ครั้นเร่งรุดเข้าไปดู พวกของมู่เฉียนซีก็พบใครบางคนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี
ร่างสีเงินพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว แล้วคว้าคทาที่แผ่ซ่านพลังแห่งแสงออกมา เขาหัวเราะแล้วกล่าว “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ข้าได้ครอบครองมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แล้ว คุณชายไป๋เจ๋อ เจ้าเสร็จข้าแน่”
เมื่อมองดูกลุ่มคนที่สวมเครื่องแบบของราชวงศ์ตงหวงแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าจำนวนของพวกเขามีมากกว่าคนของโม่ซวนเสียอีก ดังนั้นพวกของราชวงศ์ตงหวงจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบ และสามารถชิงคทาแห่งแสงไปได้
มู่เฉียนซีมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า นั่นไม่ใช่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อย่างแน่นอน
ทว่านางก็ได้เอ่ยถามนิรันดร์ “นิรันดร์ มายานิรันดร์ที่เป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มีรูปร่างเป็นคทาอย่างนั้นหรือ?”
รูปร่างของนิรันดร์คือหม้อหลอมยา อาถิงคือศาลาวิญญาณ สุ่ยจิงอิ๋งคือดองบัวหยก มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง มังกรวารีเป็นแหวน นางไม่เคยเจอมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในรูปแบบอื่น ทำให้นางไม่มั่นใจเท่าใดนัก
นิรันดร์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่ใช่อย่างแน่นอน เมื่อศิษย์ที่รักได้เจอก็จะรู้ได้เอง อีกอย่างคทานั่นก็ดูอัปลักษณ์เกินไป หากเสี่ยวห้วนเอ๋อร์รู้ว่ามีคนคิดว่าเจ้าคทานั่นเป็นมันคงโกรธน่าดู”
คนของราชวงศ์ตงหวงที่ได้ครอบครองมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ก็คิดว่าสามารถใช้พลังของมันทำลายคุณชายไป๋เจ๋อได้ เช่นนี้แล้วก็นับว่ายิ่งกว่าปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเสียอีก
ทว่าผู้ที่ถือคทากลับเคาะคทามาที่คนของตนเอง “ความเคียดแค้นและไอสังหารของพวกเจ้ามันไม่ดีเอาเสียเลย ทุก ๆ คนควรรักกัน สามัคคีกัน ทำลายพลังมืด ไม่ควรหันมาเข่นฆ่ากันเอง ไม่ควร…”
ขณะนั้นเองทั้งสองฝ่ายต่างก็งงเป็นไก่ตาแตก “พี่ใหญ่! ท่านหมายความว่าอย่างไร? คุณชายไป๋เจ๋อเป็นศัตรูของเรานะ”
“ศัตรูของพวกเราคือผู้ที่มีพลังมืดเท่านั้น คนที่ทำให้ใต้หล้าอันสว่างไสวแปดเปื้อนดำมืด นอกเหนือจากนี้แล้วก็นับว่าเป็นพรรคพวกเดียวกัน พวกเราคือสหายร่วมรบ พวกเรา…”
นี่ไม่ใช่การล้างสมองพลางห้ามผู้ที่มีเจตนาร้ายเหล่านั้นหรอกหรือ?
“การคิดแค้นนั้นไม่ดี การสังหารคนราวผักปลานั้นก็ไม่ดี จงหยุดทั้งหมดเดี๋ยวนี้!” คนของราชวงศ์ตงหวงที่ได้เห็นการกระทำของเขาต่างก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่ง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?