ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1827 ความแข็งแกร่งที่ต่างชั้น
ม่านแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้ จิ่วเยี่ยกล่าวว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง หวังว่าเจ้าจะทำตามข้อตกลงของพวกเรา”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้อตกลงอะไร…อุ้บ…”
ในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังที่จะถาม ก็ถูกริมฝีปากอันเย็นยะเยือกของเขาประกบเข้ามาปิดเอาไว้เสียก่อน
ในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังรับจุมพิตที่อ้อยอิ่งนั้นอย่างระมัดระวัง ความเย็นยะเยือกจากริมฝีปากก็ได้อันตรธานหายไป และคนที่กอดนางไว้แน่นเมื่อครู่ก็ไม่อยู่อีกแล้ว
ในที่สุดหวงจิ่วเยี่ยก็จากไปแล้ว และนิรันดร์ก็รับรู้ถึงมันได้ในทันที
“ศิษย์ที่รัก…”
นิรันดร์พุ่งทะยานเข้ามา ด้วยใบหน้าที่ถูกทุบตีจนเสียโฉมอย่างน่าเวทนานั้น
เขาเดินมาจนถึงเบื้องหน้าของมู่เฉียนซีแล้วกล่าวว่า “ศิษย์ที่รัก เจ้าดูสิ่งที่เจ้าเด็กชั่วอย่างหวงจิ่วเยี่ยผู้นั้นลงมือกับข้าอย่างทารุณนี้สิ ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”
“บาดแผลเพียงเล็กน้อยเท่านี้สำหรับท่านนิรันดร์แล้วคงจะไม่เท่าไรหรอกกระมัง?” มู่เฉียนซีกล่าว
“แน่นอนว่ามันไม่เท่าไรหรอก ขอเพียงแค่ศิษย์ที่รักกอดจูบลูบคลำข้าสักหน่อยก็หายแล้วล่ะ”
นิรันดร์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าของมู่เฉียนซี แต่ทว่าในตอนที่มันใกล้จะสัมผัสกับมู่เฉียนซี ก็ได้มีม่านแสงสีฟ้าอ่อนดีดนิรันดร์จนกระเด็นออกมา
นิรันดร์รีบทรงตัวอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวด้วยความตกใจ “เป็นไปไม่ได้! สุ่ยจิงอิ๋ง ถึงอย่างไรพวกเราก็รู้จักกันมานานแล้ว ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะช่วยเจ้าเด็กน้อยอย่างหวงจิ่วเยี่ยกีดกันข้าเช่นนี้ เจ้าทำข้าปวดใจเกินไปแล้วนะ!”
สุ่ยจิงอิ๋งไม่สนใจใยดีเขาเลย แต่นิรันดร์ก็ยังพยายามเข้าใกล้ต่อไปอย่างไม่ลดละ และผลมันก็ยังคงเป็นเช่นเดิม!
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ที่แท้ข้อตกลงของจิ่วเยี่ยกับสุ่ยจิงอิ๋ง ก็คือเรื่องที่ให้สุ่ยจิงอิ๋งปกป้องข้าจากเฒ่าลามกอย่างนิรันดร์นี่เอง”
“ศิษย์ที่รัก ข้าแก่ตรงไหนกัน! ผิวพรรณของข้าเปล่งปลั่งถึงเพียงนี้อยู่เลย พลังแห่งความเยาว์วัยอยู่ในทุกอณูของร่างกายข้า เพียงแค่เจ้าได้ลองก็จะรู้เอง”
นิรันดร์คิดที่จะเข้าไปเกาะติดมู่เฉียนซี แต่ผลลัพธ์ก็คือสุ่ยจิงอิ๋งไม่ได้เห็นแก่หน้าเพื่อนเก่าอย่างเขาโดยสิ้นเชิง และเมื่อไรควรที่จะลงมือก็จะลงมือทันที
อีกด้านหนึ่งก็ยังมีจื่อโยวค่อยยุยงส่งเสริม ฉะนั้นจิ่วเยี่ยไม่มีทางที่จะไม่ป้องกันเจ้าจิ้งจอกเฒ่าอย่างนิรันดร์แน่นอน
ถึงอย่างไรท่านนิรันดร์ก็เป็นผู้ที่ช่ำชองเรื่องความรักมากคนหนึ่ง แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่เรื่องราวความรักที่สุดแสนจะโรแมนติกของนิรันดร์ก็ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือโบราณมากมาย จนมีหญิงสาวอยู่ไม่น้อยที่เคลิบเคลิ้มไปกับมัน
เรื่องซุบซิบนินทาเช่นนี้จิ่วเยี่ยไม่เคยสนใจมาก่อนอยู่แล้ว แต่ทว่าจื่อโยวนั้นมีความสนใจเป็นอย่างมาก!
นี่ยังไม่ได้รายงานกับจิ่วเยี่ยให้ละเอียดเลยด้วยซ้ำ จิ่วเยี่ยก็ไม่ชอบหน้านิรันดร์มากถึงเพียงนี้แล้ว
ดังนั้นหากไม่ขอร้องให้สุ่ยจิงอิ๋งคอยช่วยเหลือ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใกล้ซีได้แน่ แม้จิ้งจอกเฒ่าจะเก่งกาจเพียงใดก็คาดว่าคงไม่อาจเกลี้ยกล่อมนางได้อยู่ดี
ตอนนี้นิรันดร์ได้ผูกใจเจ็บกับจิ่วเยี่ยไปแล้ว เจ้าเด็กน้อยนี่จะใจดำเกินไปแล้วจริง ๆ
เวลาของเขาก็มีไม่มากแล้วเช่นกัน และผลที่ได้กลับเป็นแผนการการสกัดกั้นเช่นนี้
ดูเหมือนว่าหนทางที่จะทำให้ศิษย์ที่รักมาหลงรักเขาให้ได้นั้น ยังคงอีกยาวไกลมากเลยทีเดียว
การชุมนุมแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ของอัจฉริยะแห่งดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว และมู่เฉียนซีก็กำลังเตรียมตัวที่จะออกเดินทางไปยังสถานที่ที่จัดงานชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ที่ดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังมีสำนักเหยียนเยี่ยที่เป็นหนึ่งในสำนักที่ยอดเยี่ยมที่สุดของกองกำลังระดับสี่อีกด้วย
ชิงเสวียนได้ออกมาจากเส้นทางสีดำที่ไปฝึกฝนแล้ว และนางก็ได้บอกเอาไว้ว่าให้มาเจอกันที่การชุมนุมอัจฉริยะของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
บริเวณใกล้เคียงกับเมืองเหยียนของสำนักเหยียนเยี่ยในเวลานี้คึกคักมากเป็นพิเศษ และอัจฉริยะทั่วทั้งดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็ได้เริ่มมารวมตัวกันพอสมควรแล้ว เนื่องจากนี่เป็นโอกาสที่ดีเพียงครั้งเดียวต่อปีที่สามารถสร้างชื่อเสียงไปทั่วทั้งดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ได้
ลูกศิษย์จากสำนักส่วนใหญ่ต่างก็รวมตัวกันมาเป็นหมู่คณะ ส่วนผู้ที่แยกตัวออกมาฝึกฝนเพียงลำพังนั้นมีจำนวนที่น้อยมาก
มู่เฉียนซีได้ตรงไปยังโรงเตี๊ยมที่นัดกับชิงเสวียนเอาไว้ ทันทีที่นางขึ้นไปยังชั้นที่หนึ่ง ก็เห็นชิงเสวียนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างพอดี
เขามองไปทางมู่เฉียนซีแล้วกล่าวว่า “เจ้ามาแล้ว”
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คืบหน้าไปมากเลยทีเดียว!”
หลังจากที่ทำงานใหญ่กับมู่เฉียนซีมาแล้วหลายครั้ง ก็เห็นได้ชัดว่าชิงเสวียนได้พลิกผันมาจากคนที่ยากจนแล้ว
แหล่งทรัพยากรในการฝึกฝนไม่เคยขาด มันจึงทำให้ความสามารถของเขารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ชิงเสวียนกล่าวด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “แต่ก็ยังเอาชนะเจ้าไม่ได้อยู่ดี”
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเหยียน และนอกจากนี้มันยังสามารถมองเห็นผู้คนมากมายได้จากชั้นบนนั้นอีกด้วย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ถามโม่ซวนเลยว่าในการชุมนุมแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้ อัจฉริยะจากสำนักลั่วเยว่ได้รับเชิญมาด้วยหรือไม่?”
ชิงเสวียนกล่าวว่า “สำนักลั่วเยว่รึ? ที่ดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีสำนักเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“เป็นหนึ่งในกองกำลังระดับสามของอาณาเขตหนานหลิง ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากเท่าไรนัก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับเชิญมา!”
ในเวลานี้ได้มีกลุ่มคนที่มีท่าทางองอาจห้าวหาญกลุ่มหนึ่งเข้ามาพูดคุยกันอยู่ภายในโรงเตี๊ยม “ศิษย์พี่ ข้าได้ยินมาว่า งานชุมนุมแลกเปลี่ยนอัจฉริยะครั้งใหญ่นี้มีสำนักมากมายได้ถูกรับเชิญมาด้วย และได้ยินมาอีกว่าพวกกองกำลังระดับสามก็ถูกเชิญมาไม่น้อยเช่นกัน!”
“เฮอะ! ลูกศิษย์ของกองกำลังระดับสามกล้ามายังสถานที่คึกครื้นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่ามาเพื่อทำให้ตนเองต้องอับอายขายหน้าผู้อื่นเสียมากกว่าหรอกหรือ? หากข้าเป็นพวกเขา ข้าเลือกที่จะไม่มาอย่างแน่นอน มันช่างน่าขายหน้าจริง ๆ”
“ศิษย์น้อง บางทีคนเราก็ต้องออกไปท่องโลกกว้างเสียบ้างนะ”
ที่ร้านอาหารแห่งนี้ยังมีคนนั่งอยู่อีกมากมาย และชายหนุ่มคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมากล่าวด้วยความโกรธเคืองว่า “กองกำลังระดับสามแล้วมันจะทำไม? ระดับของสำนักไม่ได้แสดถึงพลังทั้งหมดของเหล่าลูกศิษย์หรอกนะ ข้าคือชางไห่ลูกศิษย์สำนักชางเหยียนของกองกำลังระดับสามแห่งอาณาเขตเป่ยฮวาง ข้าต้องการที่จะท้าประลองกับเจ้า! ไม่ใช่ว่ากองกำลังระดับสามทุกคนจะเป็นผู้อ่อนแอหรอกนะ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” ลูกศิษย์ของกองกำลังระดับสี่โต๊ะนั้นหัวเราะลั่นขึ้นมา
“อาณาเขตเป่ยฮวางเป็นเพียงสถานที่เล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ”
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนของกองกำลังระดับสามมาเข้าร่วมการชุมนุมแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้จริง ๆ”
“ดูท่าทางที่ไม่พอใจของเจ้าเด็กนี่สิ ศิษย์พี่หรือว่าจะให้ข้ารับคำท้าประลองของเขาสักครั้งดีหรือไม่ เพื่อที่จะได้ทำให้เขายอมรับถึงความพ่ายแพ้ของตนเสียที!”
ศิษย์พี่ผู้นั้นกล่าวว่า “ดี! เจ้าไปต่อสู้กับเขาเสียเถอะ อย่าลงมือหนักนักล่ะ ประเดี๋ยวจะถูกผู้อื่นหาว่ากองกำลังระดับสี่อย่างพวกเราไปรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า!”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มทั้งสองก็ต่อสู้กัน และเพียงสามกระบวนท่าก็แยกผลแพ้ชนะออกมาได้แล้ว
ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นอัจฉริยะระดับต้น ๆ ของสำนักชางเหยียนแห่งกองกำลังระดับสาม ทว่าเมื่อเทียบกับอัจฉริยะระดับทั่วไปของกองกำลังระดับสี่แล้วกลับยังคงต่างชั้นกันอยู่มาก
ปัง!
ชายหนุ่มผู้นั้นถูกโจมตีจนล่าถอยออกไป มุมปากของเขามีเลือดสดไหลออกมา อีกทั้งยังมีความไม่พอใจและโกรธแค้นอยู่ภายในแววตาอีกด้วย
“ความสามารถเพียงเล็กน้อยเท่านี้ เจ้าไสหัวกลับไปยังพื้นที่เล็ก ๆ เพียงคืบเดียวของเจ้าเสียเถอะ!”
มู่เฉียนซีและโม่ซวนเห็นการต่อสู้ในครั้งนี้หมดแล้ว และในดินแดนซวนเทียน ระดับของสำนักแสดงถึงผู้ที่มีความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนัก ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงพื้นเพและทรัพยากรในการฝึกฝน ดังนั้นการบ่มเพาะลูกศิษย์ทั้งหมดของพวกเขา เนื่องจากระดับที่ไม่เหมือนกันจึงทำให้มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
ผู้ที่มีพรสวรรค์ที่ดีต่างก็แย่งชิงกันเพี่อที่จะไปยังกองกำลังระดับสี่หรือระดับห้า ส่วนที่เหลือให้กองกำลังระดับสามนั้นก็แน่นอนว่าต่างก็เป็นผู้ที่ถูกกองกำลังระดับสูงปัดตกลงมาก่อนด้วยกันทั้งนั้น
พื้นเพ ทรัพยากรและพรสวรรค์ที่แตกต่าง ได้สร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างลูกศิษย์ของกองกำลังให้แตกต่างกันมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
ในเวลานี้ ที่ด้านนอกของประตูก็ได้มีเสียงที่เดือดดาลเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“คิดว่ากองกำลังระดับสี่ดาวของตัวเองมันดีมากนักหรืออย่างไร? ก็ไม่เห็นว่าจะเก่งกาจสักเท่าไรเลย ภายในกองกำลังระดับสามก็ยังมีอัจฉริยะที่ทำให้พวกเจ้าต้องเงยหน้ามองอยู่เช่นกัน อย่าอวดดีให้มันมากนัก”
มู่เฉียนซีรู้สึกคุ้นหูกับน้ำเสียงเช่นนี้เล็กน้อย เพียงไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ซึ่งมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมอาภรณ์สีดำนิลคนหนึ่งเดินนำอยู่หน้าสุด บนใบหน้าของเขาไม่แสดงสีหน้าออกมามากนัก และเขาก็กวาดตามองไปยังที่นั่งที่ยังว่างอยู่อย่างเฉยเมย
“อวดดีเกินไปอย่างนั้นหรือ ข้าว่าคนที่อวดดีดูจะเป็นพวกเจ้ามากกว่า! ดูท่าแล้วพวกเจ้าก็คงจะเป็นคนจากกองกำลังระดับสามเช่นนั้นสินะ! จะมาประลองกับข้าสักสองสามกระบวนท่าดูหรือไม่เล่า!” คนจากกองกำลังระดับสี่ผู้นั้นร่ำร้องขอท้าประลองขึ้นมา ทั้งยังมองไปทางพวกเขาอย่างไม่พอใจอีกด้วย
“ใช่แล้ว พวกข้าก็คือคนของสำนักลั่วเยว่ที่อยู่กองกำลังระดับสามแห่งอาณาเขตหนานหลิง!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เป็นอีกหนึ่งกองกำลังระดับสามที่ไม่เคยได้ยินชื่ออีกแล้ว ยังจะมารู้สึกดีกับตนเองอยู่อีก” คนเหล่านั้นหัวเราะขึ้นมายกใหญ่