ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1828 ศิษย์พี่ นิรันดร์
สุ้มเสียงเย็นชาสุ้มเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้น “พวกเจ้านี่มันหนวกหูจริง ๆ! ปากเหม็นขนาดนี้พูดให้มันน้อย ๆ หน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
“เจ้าว่าอะไรนะ!”
พวกเขาจ้องเขม็งไปยังมู่เฉียนซีที่อยู่บนชั้นสอง และบุรุษสวมอาภรณ์สีดำนิลก็ได้จ้องมองมาเช่นกัน
มองเพียงปราดเดียว ดวงตาสีดำอันแฝงไปด้วยความโดดเดี่ยวคู่นั้นกลับส่องประกายแวววาวออกมา ภายในชั่วพริบตาเขาก็ได้หายวับไปอย่างรวดเร็ว
ทุก ๆ คนรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง นะ…นี่ นี่มันเร็วเกินไปแล้ว!
ที่สุดแล้วพลังของบุรุษชุดดำผู้นั้นแข็งแกร่งมากเพียงใดกันแน่
การที่อยู่ ๆ ภายในห้องส่วนตัวก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ก็ทำให้ชิงเสวียนตกตะลึงไปเล็กน้อย
มู่เฉียนซีกล่าว “ชิงเสวียน หากรู้สึกคันไม้คันมือ ก็จัดการเจ้าพวกกวนประสาทที่อยู่ด้านล่างพวกนั้นได้เลย”
“อื้ม!”
ชิงเสวียนทะยานลงสู่ชั้นล่าง พวกเขาจ้องมองชิงเสวียนแล้วกล่าว “เจ้าเป็นศิษย์อ่อนหัดของสำนักกองกำลังระดับสามจากสำนักไหนอีกล่ะ”
ชิงเสวียนกล่าว “ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนไร้สำนัก”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เป็นเพียงผู้ฝึกตนไร้สำนัก ยังจะกล้ามายั่วยุศิษย์สำนักกองกำลังระดับสี่อย่างพวกเราอีก เห็นทีเจ้าคงจะใจกล้าไม่เบา!”
“การจะโค่นล้มพวกเจ้า มันไม่ได้เป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไรเลย!”
ทันทีที่กระบี่ปีศาจออกจากฝัก พวกเขาก็หน้าถอดสีไปในทันที
ชิงเสวียนจัดการสั่งสอนคนเหล่านี้อย่างง่ายดาย มู่เฉียนซีก็ไม่ได้สนใจการต่อสู้ของพวกเขาเท่าใดนัก ทว่ากลับหันมาสังเกตบุรุษอาภรณ์สีดำนิลที่อยู่เบื้องหน้าแทน
อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้ารับกันอย่างสมบูรณ์แบบราวกับรูปปั้นที่เทพเซียนสรรค์สร้าง ผู้ใดได้เชยชมก็ต้องรู้สึกปลื้มปีติอย่างปฏิเสธไม่ได้ ความเย็นชาที่แผ่ซ่านออกมานั้นได้ผลักไสให้คนรอบข้างต้องถอยห่างออกไปไกล
มู่เฉียนซียื่นมือออกไปแล้วกล่าว “ยินดีที่ได้รู้จัก ข้ามีนามว่ามู่เฉินซี!”
ดวงใจของเขาเต้นโครมครามขึ้นในทันที เมื่อยื่นมือออกไปจับมือมู่เฉียนซีแล้ว เขาก็กล่าวด้วยท่าทางเย็นชา “ข้าคือฉู่หลี ฉู่หลีสำนักลั่วเยว่”
มู่เฉียนซีกระตุกยิ้มมุมปากแล้วกล่าว “ศิษย์พี่ช่างเหมาะสมจริง ๆ!”
น้ำเสียงที่เรียกเขาว่าศิษย์พี่เป็นอะไรที่คุ้นหูยิ่งนัก ทำให้ดวงใจของฉู่หลียิ่งเต้นโครมครามมากขึ้นเป็นเท่าทวี เขากล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ศิษย์น้องหญิง!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ศิษย์พี่เป็นห่วง!”
ฉู่หลีส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว “ข้าเชื่อว่าศิษย์น้องหญิงจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นห่วงอันใดมากนัก เพียงแค่…รู้สึกคิดถึงก็เท่านั้น”
ประโยคสุดท้ายถูกกล่าวขึ้นด้วยสุ้มเสียงที่บางเบาเป็นอย่างยิ่ง พลันนั้นใบหูของฉู่หลีก็ร้อนผ่าวขึ้นในทันที
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้าเองก็เช่นกัน!”
ฉู่หลีรู้สึกดีใจจนแทบคลั่ง ทว่าเขากลับไม่รู้ว่าจะแสดงออกมาได้อย่างไร เขาพยายามข่มดวงใจที่เต้นโครมครามและร้อนฉ่าราวกับจะละลายเสียประเดี๋ยวนั้นไว้ ดวงตาก็จ้องมองมู่เฉียนซีอย่างไม่ลดละ ไร้ซึ่งวาจาใด ๆ ที่จะกล่าวออกมา
“ครั้งนี้ศิษย์พี่ก็มาเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ด้วยหรือ?” มู่เฉียนซีเอ่ยถาม
“อื้ม! ข้าคิดว่าศิษย์น้องต้องมา ข้าก็เลยมาดูสักหน่อยนะ”
ด้วยพลังที่เขามีแล้ว การมางานประชุมแลกเปลี่ยนของผู้มากฝีมือในครั้งนี้ ก็ไม่ได้มีความหมายอันใดมากนัก เขาเพียงแค่ต้องการพบเจอใครสักคนก็เท่านั้น
“อ้า! อ้า!”
“ช่วยด้วย!”
มีเสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวชแว่วดังมาจากด้านล่าง ถึงแม้ชิงเสวียนจะออมมือให้แล้วก็ตาม ทว่าคนเหล่านี้ก็ยังคงได้รับบาดเจ็บจนตกอยู่ในสภาพน่าอนาถอยู่ดี
ชิงเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนนี้เจ้าจะหุบปากได้แล้วหรือยัง!”
“หุบปาก! หุบปาก พวกเราจะไม่ปากมากอีกแล้ว”
ในบริเวณนั้นมีคนจากสำนักกองกำลังระดับสามอยู่ไม่น้อย เมื่อได้พบเห็นพลังของชิงเสวียนแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกอิจฉาริษยาเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเพียงผู้ฝึกตนไร้สำนักทว่ากลับเก่งกาจถึงเพียงนี้ พวกเขาที่มีอาจารย์คอยชี้แนะ ทว่าสิ่งของที่ทางสำนักมอบให้กลับมีศักยภาพเพียงน้อยนิด ช่างน่าอายเสียจริง ต่อจากนี้คงต้องขยันให้มากขึ้นเท่านั้นแล้ว!
เมื่อชิงเสวียนกลับขึ้นมาแล้ว ฉู่หลีก็ได้จากไปแล้วเช่นกัน
ชิงเสวียนกล่าวกับมู่เฉียนซี “ศิษย์จากสำนักกองกำลังระดับสามคนนั้นสุดยอดไปเลย”
เหลือเวลาอีกเพียงสองวันการประลองก็จะเริ่มขึ้นแล้ว พวกเขาจึงพักอาศัยที่เมืองเหยียนกันก่อน เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีจึงจะออกไปหาฉู่หลี
ครานี้ฉู่หลีเป็นฝ่ายนำขบวน พลังของเขาที่อยู่ในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสของสำนักแม้แต่น้อย
บุรุษหนุ่มสองคนนั้นเป็นผู้มากฝีมือระดับแนวหน้าของสำนักลั่วเยว่ มู่เฉียนซีกล่าว “ศิษย์พี่ไม่สนใจเข้าร่วมการประลองสักหน่อยหรือ!”
“อืม! ไม่สนใจ”
มู่เฉียนซีทราบดีว่าศิษย์พี่ของตนเองไม่ได้มีความคิดที่หวือหวาหรือน่าตื่นเต้นแต่อย่างใด และไม่มีความสนใจกับเรื่องใดทั้งสิ้น
ฉู่หลีที่เป็นคนพูดจาน้อยคำ เมื่อไม่ได้พบเจอศิษย์น้องหญิงของตนมาเป็นเวลานาน ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญที่ต้องมานั่งสนทนากับมู่เฉียนซีแม้แต่น้อย
สุดท้ายแล้วฉู่หลีจึงกล่าว “ศิษย์น้องกำลังตามหามังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่างอยู่หรือ? แบบเป็นหรือตายล่ะ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “สิ่งที่ข้าต้องการคือกระดูกของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย แต่เจ้านั่นก็ได้ไปยั่วยุเผ่าปีศาจเข้า เกรงว่าคงจะหาได้เพียงซากของมันเท่านั้น”
ฉู่หลีรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างวาบผ่านเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว คิ้วกระบี่ของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย มู่เฉียนซียื่นมือออกไปจับชีพจรของเขาแล้วกล่าว “ศิษย์พี่ไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่?”
ร่างกายของศิษย์พี่แข็งแรงมาก ๆ ทว่าทันใดนั้นร่างสีขาวก็ได้ปรากฎตัวขึ้นเบื้องหน้าของฉู่หลีอย่างรวดเร็ว ใบหน้าคมมากล้นด้วยเสน่ห์ได้เข้าประชิดเบื้องหน้าฉู่หลี
“เห้! จิตวิญญาณแตกซ่าน ความทรงจำไม่สมบูรณ์ ศิษย์ที่รัก ศิษย์พี่ของเจ้าดูแปลกไปนะ!” นิรันดร์กล่าว
เมื่อนิรันดร์ขยับเข้าไปใกล้ ฉู่หลีก็ได้กระเถิบเข้าไปข้างกายมู่เฉียนซีด้วยท่าทางรังเกียจนิรันดร์ แล้วกล่าว “เจ้าคือหม้อวิญญาณนิรันดร์”
“ทั้ง ๆ ที่ความทรงจำไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังจำข้าได้ เจ้ารักข้า รักข้าเสียจนโงหัวไม่ขึ้นเลยใช่หรือไม่!” นิรันดร์กล่าวหยอกเย้า
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยท่าทางเหนื่อยอกเหนื่อยใจ “นิรันดร์ ชายหญิงเจ้าก็ไม่เลือกกินเลยหรือ!”
“เดิมทีข้าก็กินทั้งชายหญิงอยู่แล้วนี่! แต่น่าเสียดายที่ข้าสนใจเพียงผู้หญิงเท่านั้น ไม่รู้ว่าข้าได้ทำให้บุรุษหนุ่มรูปงามอกหักไปแล้วกี่คน”
ฉู่หลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอยู่ให้ห่างศิษย์น้องของข้าด้วย”
“วาจานี้ควรเป็นข้าที่บอกเจ้าต่างหาก! หัวนอนปลายเท้าเจ้าเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ อยู่ให้ห่าง ๆ ศิษย์ที่รักของข้าไว้ ข้าเป็นผู้ทำพันธสัญญาและอาจารย์ของศิษย์ที่รัก ความสัมพันธ์ของข้ากับศิษย์ที่รักใกล้ชิดสนิทสนมกันที่สุด” นิรันดร์นั่งลงด้วยท่าทางสุขุม
ผู้ที่เห็นเขาในแวบแรกแล้วสามารถจำเขาได้ ก็ล้วนเป็นผู้ที่อยู่มาตั้งแต่โบราณกาลแล้วกระมัง นอกจากพวกเขาทั้งเก้าแล้วก็ไม่มีใครรู้จักเขาอีก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถคาดเดาศักดิ์สถานะของฉู่หลีผู้นี้ได้
ฉู่หลีทอดมองไปยังมู่เฉียนซี เขาเรียบเรียงคำพูดอยู่ในใจก่อนจะกล่าวออกมา “ศิษย์น้องไม่ชอบผู้ชายหลายใจ”
นิรันดร์โกรธเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ข้าพูดความจริง!”
“หวงจิ่วเยี่ยไปแล้ว นี่ยังจะมีตัวก่อกวนเพิ่มมาอีกตัวอย่างนั้นรึ ช่างน่าชังเสียจริง”
“ศิษย์น้องต้องเชื่อฟังศิษย์พี่!”
“ศิษย์พี่มันยอดเยี่ยมมากนักหรือไง! ข้านี่เป็นถึงอาจารย์!”
“……”
“ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าเจ้าเป็นผู้ใด หรือไม่เรามาประลองกันสักหน่อยเป็นอย่างไร”
“ข้าเองก็อยากคืนความทรงจำที่มีประโยชน์ต่อศิษย์น้องเช่นกัน มาสิ!” ฉู่หลีรับคำท้าอย่างไม่เกรงกลัว
หากความทรงจำของเขาไม่ได้มีประโยชน์อันใดต่อศิษย์น้องละก็ เขาก็คร้านที่จะฟื้นคืนความจำจริง ๆ แล้วนับประสาอะไรกับการจัดการหม้อวิญญาณนิรันดร์เล่า
นิรันดร์ส่งจูบให้กับมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “ศิษย์ที่รัก รอข่าวดีจากข้าก็แล้วกัน!”
“ศิษย์น้อง แล้วข้าจะรีบกลับมา!” ฉู่หลีกล่าว
ไม่นานพวกเขาก็ได้กลับมาแล้ว นิรันดร์อึดอัดคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง “เจ้านี่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งก็เท่านั้น เป็นเพียงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังกระจ้อยร่อย มองไม่ออกเลยว่ามีอะไรวิเศษวิโส คงจะเสแสร้งเก่งไปสักหน่อยกระมัง!”
มู่เฉียนซีกล่าว “นิรันดร์ ศิษย์พี่ไม่มีทางเป็นศัตรูหรอกนะ”
“ไม่ใช่ศัตรู แต่จิตใจก็ไม่ได้ดีเด่อะไรหรอก! หึ!” นิรันดร์กล่าวด้วยท่าทางไม่พึงพอใจ
เขาไม่ได้สัมผัสถึงความเป็นศัตรูในตัวฉู่หลีจริง ๆ ถึงแม้ฉู่หลีจะทราบว่าเขาเป็นหม้อวิญญาณนิรันดร์ ทว่าจิตใจของเจ้าเด็กนั่นก็สงบนิ่งจนน่าเหลือเชื่อ
ราวกับว่าไม่ว่าจะเป็นอาวุธทั่วไปหรือมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไม่รู้สึกสนใจก็มิปาน
ฉู่หลีกล่าว “ศิษย์น้อง ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ข้าไปส่งเจ้าเอง”
“มีข้าที่เป็นผู้พิทักษ์ดอกไม้งามอยู่ทั้งคน คงไม่ต้องให้เจ้าไปส่งหรอก” นิรันดร์กล่าวด้วยความไม่พึงพอใจเท่าใดนัก เมื่อมีเจ้านิรันดร์อยู่ เขาจึงจะยิ่งรู้สึกไม่วางใจ ที่ฉู่หลียังไม่ยอมกลับไป ก็เพราะต้องการส่งศิษย์น้องกลับที่พักในยามวิกาลอย่างปลอดภัยอย่างไรล่ะ