ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1830 มอบให้พี่หน้าที่ของศิษย์พี่
ลูกศิษย์ของสำนักหลินเยว่เหล่านั้นกัดฟันแน่น และหนึ่งในหญิงสาวเหล่านั้นก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงเยว่ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นมู่เฉินซี”
มู่เฉินซี แน่นอนว่าเป็นคนที่ลูกศิษย์ของสำนักหลินเยว่ไม่น้อยต้องรับรู้ถึงการมีอยู่ของหญิงสาวผู้นี้อยู่แล้ว
ถึงอย่างไรเสียคนที่ทำให้สำนักหลินเยว่ต้องประสบพบเจอกับวิกฤตครั้งใหญ่ถึงสองครั้งแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้นานถึงเพียงนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และหนึ่งในนั้นก็คือมู่เฉินซีนั่นเอง
“ไม่คิดเลยว่านางจะกล้าออกมาปรากฏตัวที่นี่ คงคิดจริง ๆ ว่ามีคุณชายไป๋เจ๋อคุ้มครองนางอยู่ นางจึงไม่กลัว คงเพราะคิดว่ามีคนคอยหนุนหลังอยู่เช่นนั้นกระมัง?”
“คุณชายไป๋เจ๋อไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย เขาก็เป็นเพียงแค่ผู้ชายที่ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเท่านั้นเอง”
“……”
ศิษย์พี่หญิงเยว่ผู้นั้นกล่าวว่า “เอาล่ะ! เงียบซะ นี่เป็นโอกาศที่ดีในการจัดการกับมู่เฉินซี และเราจะต้องลบล้างความอัปยศกับนางอย่างแน่นอน”
“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่หญิง!”
การชุมนุนแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้ไม่มีการแบ่งลำดับชั้น ทุกสำนักสามารถที่จะแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระ ฉะนั้นอัจฉริยะทุกคนต่างก็สามารถเผยพลังของตนเองออกมาได้
เจ้าสำนักของสำนักเหยียนเยี่ยประกาศขึ้นมาด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งว่า การชุมนุนแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว มีลูกศิษย์บางส่วนไปยังแท่นประลองอย่างกระตือรือร้น และคนเหล่านั้นก็คือลูกศิษย์ของกองกำลังที่ด้อยกว่ากองกำลังระดับสี่
“ผู้ใดจะมารับคำท้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า! มาประลองสนามแรกกันให้สะเทือนเลื่อนลั่นไปเลยเถอะ”
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ชอบทำตัวเด่นจนออกนอกหน้า และมีคนที่ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใด กระโดดขึ้นไปบนแท่นประลองฉะนั้นการต่อสู้สนามแรกจึงได้เริ่มขึ้น
แน่นอนว่า สถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีแท่นประลองเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทำให้ในเวลาต่อมาได้มีผู้คนตรงมายังแท่นประลองอย่างไม่ขาดสาย
ตูมมม!
มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น การต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเริ่มดุเดือดขึ้นบนแท่นประลองหลายสิบสังเวียน
ทว่าคนของสำนักหลินเยว่และสำนักหลางซิงต่างก็ไม่มีความสนใจต่อผู้ใด เนื่องจากความสามารถของพวกเขานั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะให้ความสนใจได้
ราชวงศ์ตงหวงนั้นได้แบ่งตามทิศทางต่าง ๆ ออกเป็นเก้าดินแดน ซึ่งดินแดนทางตอนกลางเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงแห่งราชวงศ์ตงหวงที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุด
ภายในเขตศูนย์กลางของราชวงศ์ตงหวงนอกจากจะมีกองกำลังระดับห้าตั้งฐานที่มั่นอยู่แล้ว ก็ยังมีกองกำลังระดับสี่ชั้นแนวหน้าอยู่อีกมากมายด้วย
นอกจากจะมีดินแดนทางตอนกลางแล้ว ก็ยังมีดินแดนทางทิศตะวันออก ดินแดนทางทิศใต้ ดินแดนทางทิศตะวันตกและรองลงมาก็มีดินแดนทางทิศเหนือด้วย
และต่อมาก็ยังมีดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในบรรดาทั้งสี่ดินแดนนี้ ดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีกองกำลังที่สูงกว่าระดับสี่น้อยมากที่สุด เนื่องจากในหมู่พวกเขาคิดว่านั่นเป็นสถานที่ของคนระดับล่าง ฉะนั้นคนของสำนักหลินเยว่และสำนักหลางซิงย่อมดูถูกดูแคลนแน่นอนอยู่แล้ว
และแน่นอนว่า ถึงพวกเขาจะดูถูก แต่ทว่าดูเหมือนอัจฉริยะแห่งดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้จะสนุกสนานกับโอกาสอันดีที่ได้แลกเปลี่ยนกับเหล่าอัจฉริยะรุ่นเดียวกันเป็นอย่างมาก แต่ละคนต่างเผยไพ่ตายออกมาอย่างสุดกำลัง อีกทั้งยังพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อแสดงถึงความสามารถของตนเองอีกด้วย
ลูกศิษย์ทั้งสองของสำนักลั่วเยว่เหลือบมองไปยังศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขา ในฐานะที่เป็นกองกำลังระดับสามที่อยู่ในระดับล่าง และที่นั่งชมการประลองของพวกเขาก็อยู่ในชั้นที่ต่ำที่สุดเช่นกัน
เมื่อตระหนักรู้ถึงความสามารถของเหล่าโอรสแห่งสวรรค์เหล่านั้นก็ทำให้พวกเขานั้นตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก และได้รู้ว่าตนเองนั้นยากที่จะต่อกรได้ แต่ทว่าภายในจิตใจนั้นยังไม่ยอมพ่ายแพ้ เนื่องจากพวกเขามีแบบอย่างที่ดีอยู่ถึงสองคน
สำนักลั่วเยว่ของพวกเขามีทั้งศิษย์พี่ใหญ่และยังมีอัจฉริยะที่ชั่วร้ายอย่างศิษย์น้องมู่ผู้นั้นอีก ฉะนั้นพวกเขาจะไปเสียหน้าได้อย่างไรล่ะ?
“ศิษย์พี่ พวกเราขึ้นไปลองดูบ้าง ดีหรือไม่?”
“เอาสิ ศิษย์น้อง”
หลังจากที่การประลองผ่านไปแล้วสามรอบ ในที่สุดพวกเขาที่มาจากสำนักลั่วเยว่แห่งอาณาเขตหนานหลิงก็ได้ลงสนาม
ในการประลองของงามชุมนุมแลกเปลี่ยนอัจฉริยะครั้งใหญ่ของอาณาเขตหนานหลิงนั้นมู่เฉียนซีได้ทำให้สำนักลั่วเยว่โด่งดังไปทั่วอาณาเขตหนานหลิงเลยทีเดียว แต่ทว่าอาณาเขตหนานหลิงนั้นไม่ได้ควรค่าพอที่จะกล่าวถึงไปทั่วทั้งดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ได้ ฉะนั้นสำนักลั่วเยว่จึงยังไม่เป็นที่รู้จักนั่นเอง
แน่นอนว่ามู่เฉียนซีก็มีความสนใจต่อเรื่องที่ศิษย์พี่ของสำนักลั่วเยว่ลงสนามเช่นกัน และผู้ที่ก้าวมารับคำท้าก็เป็นลูกศิษย์จากกองกำลังระดับสามเช่นกัน เนื่องจากลูกศิษย์จากกองกำลังระดับสี่ไม่สนใจที่จะมาต่อสู้กับพวกเขาอยู่แล้ว
ตูมมมม!
ทั้งสองฝ่ายเริ่มต่อสู้กันแล้ว ถึงลูกศิษย์ของสำนักลั่วเยว่จะยังเทียบเท่าผู้อื่นไม่ได้ แต่ทว่าคิดที่จะเอาชนะก็ไม่ง่ายเช่นกัน
มู่เฉียนซีใช้จิตวิญญาณในการส่งกระแสจิตเพื่อกล่าวว่า “อีกฝ่ายเป็นจอมภูตพลังธาตุวายุ อย่ามัวแต่เทียบความเร็วกับเขา แต่ให้เข้าประชิดตัวด้วยเล่ห์เหลี่ยม… ”
ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนตัวตนไปแล้ว แต่ทว่านางก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์สำนักลั่วเยว่เช่นกัน แน่นอนว่าไม่อาจที่จะปล่อยให้ผู้อื่นมาดูถูกสำนักลั่วเยว่มากจนเกินไปได้
มู่เฉียนซีส่งเสียงผ่านกระแสจิตต่อหน้าผู้คนมากมายในสถานที่กว้างใหญ่เช่นนี้ มันทำให้ศิษย์พี่ผู้นั้นตื่นตะลึงมากเลยทีเดียว
“มัวแต่ตะลึงอะไรอยู่ได้! เจ้าอยากจะแพ้หรืออย่างไร!”
เมื่อฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าเขาไม่มีสติ จึงยังไม่ได้เริ่มลงมือโจมตี
“จดจ่ออยู่กับการต่อสู้เสีย อย่าได้ทำให้สำนักลั่วเยว่ต้องอับอายขายหน้า ข้ากล้าแนะนำการต่อสู้ให้ท่านผ่านกระแสจิต แน่นอนว่าไม่กลัวว่าจะถูกค้นพบอยู่แล้ว”
ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้คนรู้สึกน่าเหลือเชื่อ ถึงอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็ยังมียอดฝีมือระดับแนวหน้าของกองกำลังระดับสี่อยู่ด้วยนะ!
แต่ทว่าในเวลานี้เขากลับรู้สึกเชื่อนางอย่างอธิบายไม่ได้ และหลังจากนั้นก็จดจ่ออยู่กับการโต้กลับศัตรู
แน่นอนว่ามู่เฉียนซีจะต้องมีความมั่นใจอยู่แล้ว หากเทียบจากความแข็งแกร่งของเหล่าผู้เฒ่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้สามารถที่จะบดขยี้นางได้ แต่หากเทียบกับพลังจิตวิญญาณ ก็ทำให้พวกเขาค้นพบได้ไม่ยากเลย
มู่เฉียนซีมั่นใจว่าตนเองจะไม่ปล่อยให้สัตว์ประหลาดเฒ่าจากสำนักเหล่านั้นค้นพบได้อย่างง่ายดายเป็นแน่ แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกศิษย์พี่ของตนเองค้นพบเข้าเสียแล้ว
ฉู่หลีส่งกระแสจิตกล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “ศิษย์น้อง ข้าคือศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักลั่วเยว่ เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของศิษย์พี่เอง ศิษย์น้องพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมการประลองเถิด!”
หากเป็นช่วงเวลาปกติ ฉู่หลีคงขี้เกียจเกินกว่าที่จะสนใจมันด้วยซ้ำ แต่ทว่าเขาทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้ศิษย์น้องต้องมาสิ้นเปลืองสมองเช่นนี้ เขาจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องชี้แนะศิษย์น้องที่ไร้ประโยชน์ผู้นั้นด้วยตนเอง
ถึงฉู่หลียังดูอายุน้อย แต่ดูเหมือนว่าความเข้าใจในสถานการณ์การต่อสู้ของเขาจะเก่งกาจกว่ามู่เฉียนซีเสียอีก
และเขาก็ทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน นั่นก็คือแนะนำกลยุทธ์ในการโต้กลับที่ดีที่สุดให้แก่ศิษย์น้องทั้งสอง และหลังจากที่โต้ตอบกลับสองสามครั้ง ลูกศิษย์ทั้งสองของสำนักลั่วเยว่ก็ได้รับชัยชนะอย่างไม่คาดคิด
สิ่งนี้ทำให้พวกเขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม และหลังจากที่เอาชนะกองกำลังระดับสามมาได้หลายครั้งติดต่อกัน คนจากกองกำลังระดับสี่รู้สึกว่าทั้งสองมีความสามารถจึงเริ่มให้ความสนใจ และต่อมาก็รับคำท้าประลองของพวกเขา
สุดท้ายแล้วเนื่องจากความสามารถที่ต่างชั้นกันทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้ แต่ทว่ามีสำนักมากมายที่ไม่ได้ดูถูกว่าสำนักลั่วเยว่เป็นกองกำลังระดับสามที่ไม่เป็นที่รู้จักเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ชิงเสวียนกล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “กระบี่ปีศาจเริ่มมีความตั้งใจที่อยากจะสู้แล้ว ข้าก็จะเตรียมตัวเข้าร่วมการประลองแล้วเช่นกัน”
คุณชายไป๋เจ๋อเสนอไม่หยุดว่าให้ทั้งสองแยกตัวกันฝึกฝน คนอื่นได้ขึ้นสังเวียนไปเข้าร่วมการประลองกันหมดแล้ว เหลือก็เพียงแต่พวกเขาทั้งสองคนที่นั่งชมการประลองอย่างใจเย็นอยู่ตรงนี้
เมื่อต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับเหล่าอัจฉริยะที่มารวมตัวกัน และที่นี่ก็มีอัจฉริยะมากกว่าที่หอคอยซิงเหลยเสียอีก ซึ่งมันได้ทำให้เลือกในตัวของชิงเสวียนเดือดพล่าน จนอยากจะลองดูสักที
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เช่นนั้น พวกเราก็ไปกันเถอะ!
ทั้งสองได้แยกตัวกันออกไปฝึกฝน และตอนนี้พวกเขาก็ได้มาอยู่บนแท่นประลองแล้ว
ชายชราที่ดูไม่ได้เรื่องได้ราวคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า “ลูกศิษย์! แม่นางผู้นั้นดูแล้วเจริญตามากเลยทีเดียว เจ้าไม่ขึ้นไปเอาชนะนางแล้วอุ้มสาวงามกลับมาเสียหน่อยล่ะ!”
มุมปากของศิษย์คนนั้นกระตุกขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง “ท่านอาจารย์ ท่านกำลังพูดผิดหรือเปล่า! ท่านรู้หรือไม่ว่าแม่นางผู้นั้นเป็นใคร?”
“โอ้! หรือว่าเจ้าตั้งใจจะแอบไปทำเรื่องลับ ๆ ล่อ ๆ กับแม่สาวน้อยผู้งดงามเช่นนี้ลับหลังอาจารย์เช่นนั้นหรือ”
“ข้าจะไปมีโอกาสรู้จักนางได้อย่างไรกันล่ะ! นางก็คือมู่เฉินซี! มู่เฉินซีแห่งหอคอยซิงเหลย ครั้งแรกก็คือตอนที่ข้าได้เห็นนางกำลังประลองอยู่ที่หอคอยซิงเหลย นางสามารถทำสถิติชนะติดต่อกันหนึ่งร้อยครั้งของหอคอยซิงเหลยได้สำเร็จด้วยความสามารถของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหกเท่านั้น หลังจากนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นไปยังชั้นที่เจ็ดของหอคอยระดับขั้นปราชญ์แห่งภูตในหอคอยซิงเหลย และแม้แต่ไป๋จิ่งเยว่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง อาจารย์ท่านจะปล่อยให้ข้าไปหาเรื่องทรมานตนเองหรือ?”
เมื่อนึกไปถึงผลการต่อสู้ของมู่เฉียนซี เขาก็ไม่อยากที่จะขึ้นไปสู้เลยแม้แต่น้อย
“แม่นางน้อยผู้นี้จะเก่งกาจเกินไปแล้ว สามารถผ่านการต่อสู้ระดับนั้นมาได้มากมายถึงเพียงนี้ นางเป็นสัตว์ประหลาดชัด ๆ!” ชายชราผู้นั้นมองไปทางมู่เฉียนซีอย่างประหลาดใจ
ทันทีที่ชิงเสวียนขึ้นไปบนสังเวียน ก็ได้มีคนมากมายมาท้าประลองกับเขา
ทว่ามู่เฉียนซีกลับยืนอยู่บนเวทีมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดมาท้าประลองเสียที และสิ่งนี้ต่างก็ทำให้ผู้คนประหลาดใจเป็นที่สุด ซึ่งส่วนคนที่ไม่รู้ความจริงต่างก็คิดไปว่า อาจจะมีคนที่รู้สึกว่าแม่นางผู้นี้งดงามมากจนทนที่จะลงมือไม่ไหวก็เป็นได้