ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1833 ต้องตั้งใจแน่ ๆ
สีหน้ามากเสน่ห์ของนิรันดร์มีความเย็นชาวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว “วิธีของพวกชั้นต่ำ”
ฟ่อ ฟ่อ!
บนพื้นรกมีงูขนาดเล็กสีแดงแกมดำโผล่ออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน
โม่ซวนได้ชักกระบี่ออกมาเตรียมจะจัดการกับงูเหล่านี้แล้ว มู่เฉียนซีโบกมือไปมาแล้วกล่าว “หากจะฆ่าทิ้งทั้งหมดก็น่าเสียดายไปสักหน่อย นี่มันงูจิ่วยินที่พวกเขาเลี้ยงดูฟูมฟักมาอย่างดีเชียวนะ!”
งูเหล่านี้ไม่ได้จัดการได้ง่าย ๆ พวกมันมีพิษร้ายแรงเป็นอย่างยิ่ง ทว่ามู่เฉียนซีก็ยังคงมีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ
นางหยิบขวดยาลูกกลอนออกมาจากมิติ แล้วสาดออกไปตามพื้นหญ้า
ซึบ ซึบ!
งูจิ่วยินที่คอยเลื้อยไปตามกอหญ้าเหล่านั้นก็รีบเลื้อยหนีไปอย่างรวดเร็ว
พวกมันเริ่มออกแย่งชิงยาลูกกลอนเหล่านั้นกันอย่างบ้าคลั่ง มู่เฉียนซีจึงอาศัยโอกาสนี้ใช้พลังวิญญาณเชื่อมต่อกับพวกมัน
“รออยู่ในสวนนี้กันให้ดี ๆ เมื่อถึงเวลาแล้วก็รีบกลับไปหาเจ้านายของพวกเจ้า”
ไม่นานนักงูจิ่วยินเหล่านี้ก็ได้กลับไปเร้นกายตามกอหญ้าในทันที
มุมปากของโม่ซวนกระตุกขึ้นเล็กน้อย “เจ้ายังจะให้มันรออยู่ที่นี่ต่อไปอีกหรือ”
โม่ซวนทราบดีว่ามู่เฉียนซีจะต้องทำอะไรสักอย่างอย่างแน่นอน นางไม่มีทางปล่อยผู้ที่อยู่หลังม่านผู้นั้นไปง่าย ๆ ทว่าการที่ให้งูจิ่วยินรออยู่ที่นี่ต่อไปนั้น…
มู่เฉียนซีกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “หรือว่าคุณชายไป๋เจ๋อผู้ทรงอิทธิพล อีกทั้งยังเป็นนักปรุงยายอดฝีมือจะกลัวสัตว์มีพิษเหล่านี้? ก็เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
“ราตรีสวัสดิ์! เป็นคนป่วยก็ควรกลับห้องไปพักผ่อนได้แล้ว!”
เมื่อมู่เฉียนซีปิดประตูแล้ว นางก็ได้เข้านอนโดยไม่ได้เก็บเรื่องเหล่านั้นกลับมารกสมองแม้แต่น้อย
ทว่าโม่ซวนกลับนอนไม่หลับทั้งคืน เขากล่าวขึ้นด้วยท่าทางจนปัญญา “ต้องตั้งใจแน่ ๆ”
…
เช้าวันถัดมา หมอกควันสีแดงแกมดำที่ลอยคลุ้งอยู่ด้านนอกสวนก็ได้หายลับไปจนหมดแล้ว งูจิ่วยินก็ได้กลับไปแล้วเช่นกัน
“เสี่ยวเยว่ สำเร็จแล้ว!”
“สำเร็จแล้วก็ดี วันนี้มีงิ้วน้ำดีให้ดูเสียที”
เช้าตรู่มู่เฉียนซีได้ทอดมองไปยังโม่ซวน พลางกล่าววาจาหยอกเย้า “ขอบตาดำเชียว เมื่อคืนนอนไม่หลับล่ะสิ !ให้ข้าหลอมยาให้เจ้าทาสักหน่อยดีหรือไม่!”
โม่ซวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่เป็นไร อย่างไรข้าก็สวมหน้ากากอยู่ดี ไม่มีใครมองเห็นหรอก”
“เพื่อเป็นการชดเชยที่เมื่อคืนเจ้านอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ วันนี้ข้าจะให้เจ้าดูงิ้วน้ำดีแบบไม่คิดเงินเลยเป็นอย่างไร!”
“ข้าไม่ค่อยสนใจเท่าไร”
ทั้งสองได้เดินขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์อีกครา แน่นอนว่าการประชุมแลกเปลี่ยนของผู้มากฝีมือในวันนี้ จะต้องเป็นการประลองอันแสนดุเดือดของกลุ่มศิษย์แนวหน้าของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
การประลองในช่วงแรกเริ่มเป็นการประลองของศิษย์รุ่นแรกของสำนัก แน่นอนว่านี่เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
ร่างสีดำได้วาบขึ้นไปบนแท่นประลองอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าก็มิปาน ทุก ๆ คนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในทันที
“ศิษย์เอกจากห้าสำนักใหญ่ ในที่สุดก็ได้ออกมาแสดงฝีมือเสียที นั่นคือเหลยหลินจากสำนักเหลยถิงนี่”
การประชุมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ แม้ศิษย์เอกจากห้าสำนักใหญ่จะไม่เคยออกมาแสดงฝีมือเลยสักครั้ง ทว่าก็ไม่มีผู้ใดดูแคลนศักยภาพของพวกเขาแม้แต่น้อย
ขณะนั้นเองสายตาของเหลยหลินก็ได้จับจ้องไปยังคุณชายไป๋เจ๋อที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ เขากล่าว “แม่นางมู่ ข้าได้ชนะศิษย์จากสำนักต่าง ๆ มาสี่สำนักแล้ว ข้ารู้สึกสนใจในตัวเจ้าขึ้นมานิดหน่อย เรามาประลองกันสักหน่อยเป็นอย่างไร?”
“ไม่มีปัญหา!” มู่เฉียนซีรับคำท้าโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด ร่างสีม่วงทะยานขึ้นไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว แล้วจรดปลายเท้าลงบนแท่นประลองอย่างสง่างาม
“เริ่มได้เลย!” นางเผยรอยยิ้มบาง
“ได้!”
ภายในชั่วพริบตาค้อนเมฆาสายฟ้าก็ได้พุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซีไปอย่างรวดเร็ว เหลยหลินถูกสายฟ้าครอบคลุมไปทั่วทั้งร่าง ความเร็วของเขาไม่ต่างอันใดจากสายฟ้าฟาด เขาคิดจะโจมตีมู่เฉียนซีโดยที่นางยังไม่ทันตั้งตัว
เหลยหลินเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุอัสนี อีกทั้งยังเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเจ็ดขั้นสูงสุดอีกด้วย
ครานี้สายลมหรือสายฟ้าที่จะเร็วกว่ากัน?
ทุก ๆ คนล้วนจับจ้องไปยังคนทั้งสองที่ประลองกันอยู่บนแท่นประลองอย่างไม่ลดละ
ปัง!
เสียงอึกกระทึกครึกโครมดังสนั่นไปทั่ว มู่เฉียนซีปรากฎตัวขึ้นในอีกฝั่งของแท่นประลองโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด การโจมตีของเหลยหลินจึงกลายเป็นการโจมตีที่สูญเปล่า
สายลมเร็วกว่าสายฟ้าอย่างนั้นหรือ สีหน้าของเหลยหลินเริ่มเคร่งขรึมขึ้นในบัดดล
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ศิษย์อีกสี่สำนักใหญ่ต่างก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน
“ขีดจำกัดความเร็วของมู่เฉินซีอยู่ที่ใดกัน? นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ข้าได้เห็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวายุที่เคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนี้!”
คำตอบของคำถามนี้พวกเขาเองก็ไม่ทราบ แม้กระทั่งอาจารย์ของพวกเขาก็ไม่อาจให้คำตอบได้เช่นกัน
ขณะนั้นเองทางอัฒจันทร์ฝั่งของสำนักหลินเยว่ ศิษย์พี่หญิงเยว่ก็ได้จับตาดูมู่เฉินซีอย่างไม่ลดละ นางปรารถนาจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของมู่เฉินซี ทว่าน่าเสียดายที่นางไม่ได้เห็นผลลัพธ์ที่นางคาดเดาไว้แต่อย่างใด
เป็นไปได้อย่างไร? มู่เฉินซีใช้พลังวิญญาณไปแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงไม่เกิดอะไรขึ้นเลยล่ะ
การโจมตีได้สูญเปล่าไปอีกครั้ง เหลยหลินได้ทำการโจมตีมู่เฉียนซีอีกครา ค้อนเมฆาสายฟ้าโบกไปมา จากนั้นพลังสายฟ้าอันแสนแรงกล้าได้โอบล้อมทางหนีทีไล่ของมู่เฉียนซีไว้หมดทุกช่องทาง
ถึงแม้จะเร็วมากเพียงใด ทว่าเมื่อไร้ซึ่งทางหนีทีไล่แล้วก็ยากที่จะหลบหนีได้
สีหน้าของมู่เฉียนซียังเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ในมือของนางปรากฎพัดวิหคขึ้นมาหนึ่งเล่ม
ทุก ๆ คนจับจ้องไปยังพัดวิหคเล่มงามที่ราวกับเป็นงานศิลปะเล่มนั้นอย่างไม่วางตา “นั่นคงไม่ใช่อาวุธวิญญาณของมู่เฉินซีหรอกกระมัง?”
มู่เฉียนซีได้ประลองมาทั้งหมดสิบสนาม ทั้งสิบสนามล้วนไม่ได้นำอาวุธออกมาใช้แต่อย่างใด ทว่าในครานี้เหลยหลินสามารถบีบบังคับให้นางนำอาวุธออกมาใช้จนได้ ทว่าอาวุธวิญญาณชิ้นนี้มัน…
พรึ่บ!
พัดวิหคเฟิงหลิงคลี่ออกภายในชั่วพริบตา พวกเขาล้วนสัมผัสได้ถึงพลังของพัดวิหคที่ระเบิดออกมา ซึ่งเป็นพลังที่แข็งแกร่งกว่าค้อนเมฆาสายฟ้าเสียอีก
“เป็นไปไม่ได้! พัดเล่มนั้น อย่างน้อย ๆ ต้องเป็น…อาวุธวิญญาณระดับสูงสุด”
“เจ้าตาบอดหรืออย่างไร จากฝีมือการข้าหลอมอาวุธมาหลายร้อยปีของข้า พัดเล่มนั้นต้องเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพอย่างแน่นอน! มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพ”
“……”
ผู้ที่มาเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้คืออัจฉริยะผู้มากฝีมือของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แน่นอนว่าผู้ที่มาร่วมชมการประลองในครั้งนี้จำนวนไม่น้อยก็เป็นผู้มากฝีมือในรุ่นก่อน ๆ ของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นจึงมีผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมอยู่เป็นจำนวนมาก เพียงแวบเดียวก็สามารถมองออกว่าพัดของมู่เฉียนซีนั้นเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพ
“มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพ! สวรรค์!” มีคนอุทานขึ้นด้วยความตกตะลึง พวกเขาจับจ้องไปที่พัดเล่มงามเล่มนั้นอย่างไม่ละสายตา
“แม่นางน้อยผู้นั้นจะโชคดีมากเกินไปแล้ว เป็นเพียงศิษย์ไร้สำนักทว่ากลับมีอาวุธวิญญาณระดับสูงไว้ครอบครอง” ศิษย์จากสำนักหลินเยว่เหล่านั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาริษยา
พวกนางเป็นศิษย์หลักของสำนักกองกำลังระดับสี่ อย่างมากก็มีแค่เพียงอาวุธศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ยากนักที่จะได้พบเห็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพเช่นนี้
ขณะนั้นเองศิษย์พี่เยว่เองก็รู้สึกอิจฉาริษยาไม่แพ้กัน นางอยากจะยึดมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพนั้นมาครอบครองเป็นของตัวเองเสียเต็มประดา
“พลังวายุทำลายดับสูญ!”
สายฟ้าฟาดอันน่าเกรงขามโจมตีเข้าใส่มู่เฉียนซี ธาตุวายุเองก็ได้โจมตีกลับไปอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน
ครืน ครืน!
พลังอันแข็งแกร่งของคนทั้งสองได้เข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทุกสารทิศ
เมื่อได้โจมตีพลังใส่กันแล้ว คนทั้งสองก็ได้เข้าห้ำหั่นกันอีกครา
ปัง!
ภายในชั่วพริบตาพัดวิหคเฟิงหลิงเล่มนั้นก็ได้กลายเป็นกระบี่หยกไปอย่างรวดเร็ว ภายนอกอาจดูบอบบาง ทว่ามันก็สามารถต้านทานค้อนเมฆาสายฟ้าขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
กระบี่ได้ฟาดออกไปในแนวขวาง เหลยหลินจึงรีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว
แควก!
อาภรณ์บริเวณหน้าอกของเขาขาดวิ่นไปในทันที ร่างกายล่ำสันสีน้ำผึ้งปรากฏบาดแผลลากยาวเป็นทาง ตามมาด้วยเลือดที่ไหลซึมออกมา
“เป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพจริง ๆ ด้วย มิน่าถึงสามารถเปลี่ยนรูปแบบได้หลายรูปแบบ!”
หลังจากการปะทะกันหลายครั้งหลายครา ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บก่อนก็คือเหลยหลิน
เหลยหลินที่มุ่งหวังเป็นผู้ชนะ เมื่อพบเจอศัตรูที่แข็งแกร่งเขาก็ย่อมทำให้ตัวเองนั้นแข็งแกร่งกว่า ไม่นานนักการประลองยุทธ์ก็ได้ดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว สายฟ้าได้ฟาดลงมาจากท้องนภาอย่างบ้าคลั่ง มังกรสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนได้พุ่งจู่โจมใส่มู่เฉียนซีในทันที
ยามสายฟ้าฟาดลงมาที่ร่างของมู่เฉียนซี นางก็ไม่ได้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนแต่อย่างใด อย่างไรเสียนางก็เคยถูกสายฟ้าที่มีพลังแข็งแกร่งกว่านี้ฟาดใส่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ทว่านางก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยศักยภาพที่แท้จริงของนางให้ทุก ๆ คน ณ ที่แห่งนี้ได้ทราบ ดังนั้น…
หลบ!