ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1834 น่าขายหน้าเกินไปแล้ว
“หลบรึ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าคิดอยากจะหลบก็หลบได้หรอกนะ” เหลยหลินกล่าว
“หลบไม่พ้น แล้วถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะ!” มู่เฉียนซีเอากระบี่หยกที่อยู่ในมือโยนขึ้นไปกลางอากาศ
“พัดวิหคสะบัดขน!”
ทันใดนั้นก็มีขนนกสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่กลางอากาศ ขนสีขาวเหล่านี้ได้ปิดกั้นการรับรู้ทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิง และเหลยหลินก็ค้นหาเป้าหมายของเขาไม่เจอ
ตูมมม!
การโจมตีของมังกรสีเงินล้มเหลว และก็ไม่รู้ว่ามู่เฉียนซีได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของเหลยหลินตั้งแต่เมื่อไร
ทันทีที่ขนนกเหล่านั้นหายไป มันก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นพัดวิหคเฟิงหลิงแล้วกลับมาอยู่ในมือของมู่เฉียนซี และในเวลานี้พัดวิหคเฟิงหลิงก็ได้พาดอยู่บนต้นคอของเหลยหลินแล้ว
เหลยหลินกล่าวว่า “ข้าแพ้แล้ว!”
มู่เฉินซีชนะแล้ว นางเอาชนะลูกศิษย์ของกองกำลังระดับสี่ที่มีระดับสูงกว่าได้แล้ว
ศิษย์น้องเล็กของเหลยหลินกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ศิษย์พี่จะพ่ายแพ้ได้อย่างไร จะต้องไม่มีทางแพ้อย่างแน่นอน หญิงสาวผู้นี้อาศัยมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพ เพราะมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพอันทรงพลังนี้นางถึงเอาชนะมาได้ต่างหาก”
หัวหน้าสำนักของสำนักเหลยถิงกล่าวขึ้นมาว่า “มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพนั้นทรงพลังมากก็จริง แต่เจ้าคิดว่าหากไม่มีความสามารถที่เพียงพอจะสามารถควบคุมมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพเช่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนั้นหรือ? นั่นมันเป็นไปไม่ได้เลย”
“แม่สาวน้อยผู้นี้เก่งกาจจริง ๆ! น่าเสียดายที่ไม่ใช่ลูกศิษย์สำนักเหลยถิงของพวกเรา”
ถึงเหลยหลินพ่ายแพ้แล้ว ทว่าคนอื่น ๆ จากสำนักใหญ่ทั้งห้าจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
“ข้าหูเตี๋ยศิษย์ลำดับที่หนึ่งของสำนักซิงหู มาขอคำชี้แนะจากแม่นางมู่”
หูเตี๋ยชักกระบี่ออกมาเล่มหนึ่ง และทุกคนก็ต้องชะงักงันไปทันที “กระบี่ซิงหู!”
“กระบี่ซิงหูเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพ และมันก็เป็นกระบี่ของเจ้าสำนักซิงหูด้วย ดูท่าแล้วเพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการเอาชนะมู่เฉินซีของหูเตี๋ย เจ้าสำนักซิงหูจึงได้เอามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพออกมาให้เขายืมเช่นนี้”
หูเตี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางมู่ อันที่จริงแล้วข้าไม่อยากมาเลย แต่ทว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพของเจ้านั้นรับมือยากเกินไป ฉะนั้นข้าจึงต้องระวังให้มาก”
“เจ้าระมัดระวังก็ถูกต้องแล้ว!”
กระบี่ของหูเตี๋ยได้ถูกชักออกมาจากฝัก พร้อมทั้งแรงกดดันของพลังแห่งกระบี่
ชิงเสวียนที่นั่งอยู่ในฝั่งของผู้ชมจ้องมองไปทางเขา แล้วกล่าวว่า “นี่คือยอดฝีมือด้านการใช้กระบี่สินะ”
ทันทีที่กวัดแกว่งกระบี่ พลังของกระบี่ไร้ทิศก็ปะทุออกมา และนี่ก็คือทักษะที่หายสาบสูญไปของสำนักซิงหู
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ยินดีกับท่านหัวหน้าสำนักซิงหู ที่หูเตี๋ยเข้าใจทักษะของพลังกระบี่ไร้ทิศที่รุนแรงเช่นนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ช่างยอดเยี่ยมไปเลยจริง ๆ!” จากนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไปแสดงความยินดีกับหัวหน้าสำนักซิงหูด้วยรอยยิ้ม
ทันทีที่ใช้พลังกระบี่ไร้ทิศ ก็มีสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้ และแน่นอนว่าต้องเป็นการหักล้างพรสวรรค์ด้านความรวดเร็วที่สุดแสนจะแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีอยู่แล้ว
เมื่อมาเผชิญหน้ากับพลังของกระบี่เช่นนี้ มู่เฉียนซีก็ผิดปกติไปเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็คือการที่นางไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด
พลังกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามแผ่ซ่านออกมาอย่างรุนแรง และนางก็โต้กลับด้วยพลังที่รุนแรงกว่าอย่างไร้กังวล
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
พลังกระบี่ที่พลุ่งพล่านนั้นหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ และหลังจากที่มันปะทะเข้ากับพลังธาตุวายุ มันก็แตกกระจายไปอย่างรุนแรง
ตูมม!
เสียงนั้นดังจนสะเทือนสวรรค์เขย่าโลกาเลยก็ว่าได้ ผู้ที่ได้ยินล้วนรู้สึกอื้ออึงไปหมด
“เป็นทักษะวิญญาณพลังธาตุวายุที่รุนแรงมากจริง ๆ”
“มีความเชี่ยวชาญในทักษะวิญญาณที่น่าหวาดกลัวนี้ได้ตั้งอายุยังน้อยเช่นนี้ แม่สาวน้อยผู้นี้จะผิดปกติเกินไปแล้ว”
“ด้วยความสามารถของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด แต่กลับสกัดกั้นการโจมตีของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเจ็ดได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเราไม่รู้เลยว่าทักษะวิญญาณที่แม่สาวน้อยผู้นี้ใช้แข็งแกร่งกว่าทักษะพิฆาตของสำนักซิงหูมากน้อยเพียงใด ช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ!”
หากพวกเขาได้รู้ว่าทักษะวิญญาณนี้เป็นสิ่งที่มู่เฉียนซีสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง คาดว่าคงจะต้องอ้าปากค้างด้วยความตื่นตกใจเป็นแน่
หัวหน้าสำนักของสำนักซิงหูกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เหนือเขาย่อมมีเขา เหนือโลกหล้าย่อมมีผู้คน ครั้งนี้หูเตี๋ยได้พบเจอกับคู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมือได้เสียแล้ว แม้ว่าจะเอาชนะไม่ได้ แต่ก็หวังว่าจะสามารถตีเสมอได้!”
“ท่านอาจารย์ ท่านกำลังจะบอกว่าศิษย์พี่เอาชนะไม่ได้เช่นนั้นหรือ ท่านจะไม่มั่นใจในตัวลูกศิษย์ที่ตนเองสั่งสอนมากับมือมากเกินไปแล้ว!” ศิษย์น้องของหูเตี๋ยกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
หัวหน้าสำนักของสำนักซิงหูกล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าไม่มั่นใจในตัวเขา เพียงแต่ว่าแม่สาวน้อยผู้นั้นวิปริตเกินไปต่างหาก”
นางเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก หูเตี๋ยแอบคิด
ด้วยเปลวเพลิงของจิตวิญญาณในการต่อสู้ที่ลุกโชติช่วง ทำให้เขากวัดแกว่งกระบี่ไปทางมู่เฉียนซีอีกครั้งหนึ่ง
พลังของกระบี่ที่ทรงพลังนั้นเหมือนกลายเป็นศีรษะของหมาป่านับไม่ถ้วนที่กำลังกระโจนเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังดูเหมือนกับว่าต้องการที่จะกัดกินร่างกายของมู่เฉียนซีให้ได้หลายคำก่อนถึงจะยอมหยุดลงด้วย
มู่เฉียนซีเหาะขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นพัดวิหคเฟิงหลิงก็กลายเป็นกระบี่หยก และพลังธาตุวายุก็ได้รวมตัวขึ้นมา
“พลังวายุทำลาย ดับสูญ!”
“พลังวายุทำลาย จันทราหนาวเหน็บ!”
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
ครานี้ ทันทีที่เขาเคลื่อนไหว กระบวนท่าทั้งสามก็ระเบิดออก และดูราวกับว่าจะเป็นในเวลาเดียวกันเสียด้วย
“อะไรน่ะ?” สีหน้าของหูเตี๋ยเผยความประหลาดใจออกมา
กระบวนท่าแรก เขาสามารถสกัดกั้นไว้ได้ กระบวนท่าที่สอง เขายังสามารถหลบหลีกได้ แต่กระบวนท่าที่สาม…
ตูม! ตูม! ตูม!
มีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวออกมา และพลังธาตุวายุก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจมหายลงไปใต้น้ำ
ปึก!
กระบี่ซิงหูตกลงไปบนแท่นประลอง ส่วนตัวของเขานั้นถูกกระแทกจนกระเด็นออกไป
เคร้ง!
“ศิษย์พี่ใหญ่!” ลูกศิษย์ของสำนักซิงหูร้องอุทานออกมา
หัวหน้าสำนักซิงหูกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะดูถูกแม่สาวน้อยผู้นี้มากเกินไป ลูกศิษย์สำนักซิงหูของข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง จากนี้คงต้องคอยดูลูกศิษย์จากอีกสามสำนักที่เหลือแล้ว”
ครั้งที่หนึ่งมู่เฉินซีเอาชนะเหลยหลินจากสำนักเหลยถิงได้ และครั้งที่สองก็เอาชนะหูเตี๋ยลูกศิษย์จากสำนักซิงหูได้ มันจึงทำให้ลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ที่เหลืออีกสามสำนักรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
แต่ถึงกระนั้น ความทะนงตนของพวกเขาก็ไม่อนุญาตให้พวกเขาล่าถอยโดยที่ปราศจากการต่อสู้
จำต้องขึ้นไปประลองให้ได้!
“ข้าไห่ซินจากสำนักไห่หลัน” สาวงามที่เย็นชาคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนแท่นประลอง
อีกฝ่ายเป็นจอมภูตพลังธาตุวารี ซึ่งมู่เฉียนซีก็คุ้นเคยกับพลังธาตุวารีเป็นอย่างดี
สาวงามทั้งสองประฝีมือกันอยู่บนแท่นประลอง พลังธาตุวายุและพลังธาตุวารีต่างเริงระบำอยู่กลางอากาศ ครั้นมองดูแล้วช่างงดงามยิ่งนัก
ฉากอันงดงามนี้ จะต้องเป็นความผาสุขแรกของงานชุมนุมแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้นี้อย่างแน่นอน!
“จันทราสมุทรพิฆาต!”
พลังธาตุวารีที่โค้งมนราวกับแสงของพระจันทร์เสี้ยวโจมตีเข้าที่ด้านหลังของมู่เฉียนซีอย่างรุนแรง มู่เฉียนซีหลบหลีกไปมา และนางก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“พลังวายุทำลาย จันทราหนาวเหน็บ!”
“พันจันทราถล่ม!”
“พลังวายุทำลาย ดับสูญ!”
ตูมมมม!
เพียงชั่วพริบตาทั้งสองก็ประมือกันมาหลายสิบรอบแล้ว การต่อสู้ในครั้งนี้มันช่างชื่นตาชื่นใจเสียเหลือเกิน และมันก็ทำให้พวกเขาแทบอยากจะให้สาวงามทั้งสองนี้ต่อสู้กันหลายร้อยรอบจนหาผู้ชนะออกมาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่าผลสุดท้ายก็ยังคงทำให้พวกเขาต้องผิดหวังเช่นเคย เนื่องจากไห่ซินถูกโจมตีจนล่าถอยออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งมุมปากของนางมีเลือดสดไหลรินออกมา และในเวลานี้กระบี่หยกเล่มนั้นก็ถูกจี้อยู่ที่หน้าอกของนางเสียแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าชนะแล้ว”
ไห่ซินกล่าวตอบว่า “เจ้าแข็งแกร่งมากจริง ๆ ข้าจำต้องฝึกฝนต่อไปอีก”
“ไอ้หยา! ถึงตาข้าแล้วหรือ ความจริงแล้วข้ากลัวมากเลยทีเดียว แม่นางคนงามโปรดออมมือให้ข้าด้วย!”
เงาร่างสีชมพูร่างหนึ่งลงมายืนอยู่บนแท่นประลอง ชายหนุ่มผู้นี้แต่งกายฉูดฉาดเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็แตกต่างจากภาพที่วาดไว้ของลูกศิษย์ทั้งสามคนนั้นอย่างสิ้นเชิง
“มู่เฉินซี ข้าคือหลิวจุ้ย! หากข้าพ่ายแพ้โดยไม่ทันระวัง เจ้าสามารถเลี้ยงข้าสักมื้อเพื่อชดเชยหัวใจที่บอบช้ำของข้าได้หรือไม่!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ต้องการให้ชดเชยเช่นนี้หรือ ไม่มีปัญหา!”
“จริงหรือ?” หลิวจุ้ยกล่าวอย่างตื่นเต้น
“เพียงแต่ว่าเรื่องการชดเชยนั้น คาดว่าน่าจะเป็นหน้าที่ของคุณชายไป๋เจ๋อ ส่วนข้ามีหน้าที่แค่เอาชนะเจ้าเท่านั้น!”
พัดวิหคเฟิงหลิงโบกสะบัดออกมา จากนั้นก็กวาดไปทางแขนของหลิวจุ้ย
หลิวจุ้ยรีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว เขากล่าวพลางคลี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “แม่นางคนงาม เจ้าโหดร้ายเกินไปแล้ว!”
เข็มเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าโจมตีมู่เฉียนซีราวกับพายุฝนของดอกสาลี่อย่างไรอย่างนั้น และร่างสีม่วงนั้นก็กลายเป็นภาพลวงตานับไม่ถ้วนไปในทันที
หัวหน้าหอของหอหลิวเซวียนกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “โธ่! เจ้าเด็กนี่ รู้วิธีที่จะทำให้ข้าต้องอับอายได้ตลอดเลยจริง ๆ”
ศิษย์พี่ใหญ่ของหอหลิวเซวียนบางทีอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเทียบเท่ากับศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักใหญ่อีกสี่สำนัก แต่ทว่าเขาก็เป็นเด็กที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากที่สุด ทั้งยังเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธลับมากที่สุดอีกด้วย
“ถึงมู่เฉินซีผู้นี้จะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่แน่ว่าบางที หากหลิวจุ้ยไม่ได้ใช้เส้นทางตามปกติ เขาอาจจะเอาชนะได้อย่างน่าประหลาดก็เป็นได้! มิฉะนั้นลูกศิษย์จากสำนักใหญ่ทั้งห้าของพวกเราจะต้องพ่ายแพ้ทั้งหมดเป็นแน่ ซึ่งนั่นมันก็น่าขายหน้าเกินไปแล้วจริง ๆ”