ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1835 นิสัยทางศีลธรรมที่ดี
หลิวจุ้ยมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธลับเป็นอย่างดี ทั้งยังร้ายกาจถึงเพียงนี้อีกด้วย
มุมปากของทุกคนกระตุกขึ้นอย่างบ้าคลั่งหลังจากที่ได้เห็นมัน หากเป็นเวลาอื่นคาดว่าจะต้องมีคนกรนด่าอย่างสาดเสียเทเสียเป็นแน่ ทว่าตอนนี้ไม่มีหนทางแล้ว เพื่อที่จะจัดการกับมู่เฉินซี พวกเขาก็ไม่สนว่าจะเป็นวิธีการแบบไหนทั้งนั้น
ขอเพียงแค่สามารถเอาชนะได้ นี่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น? เมื่อถึงเวลานั้นอย่างมากที่สุดก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จักก็สิ้นเรื่องแล้ว
แม้ว่าอาวุธลับของหลิวจุ้ยจะรวดเร็ว ทว่าความเร็วของมู่เฉียนซีก็ไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย
และไม่ว่าจะเล่นอย่างสกปรกหรือเล่นอย่างขาวสะอาด มู่เฉียนซีต่างก็ไม่กลัวทั้งนั้น
“หลบได้แล้ว!”
“หลบได้อีกแล้ว!”
“เช่นนี้แล้วจะโจมตีได้อย่างไร?”
มู่เฉียนซีควบคุมพลังธาตุวายุเหล่านี้ ทันใดนั้นพัดวิหคเฟิงหลิงก็ถูกแยกออกจากกัน และใบพัดจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่หลิวจุ้ย
หลิวจุ้ยอดที่จะตะโกนด่าขึ้นมาไม่ได้ “ให้ตายเถอะ! มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพนี้สามารถใช่สกัดกั้นอาวุธลับได้ด้วยรึ นี่มันรังแกคนอื่นชัด ๆ!”
เคร้ง เคร้ง…
อาวุธลับของหลิวจุ้ยต่างถูกสกัดกั้นไปทั้งหมด จากนั้นก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นมา และใบพัดเหล่านั้นมีหักมุมในการโจมตีเข้ามาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
ถึงหลิวจุ้ยจะหลบหลีกอย่างรวดเร็ว ทว่าแขนของเขาก็ยังคงถูกฟันอยู่ดี
แขนข้างหนึ่งของเขาได้รับบาดเจ็บ และเมื่อเขาอยากที่จะใช้อาวุธลับ ก็จะเห็นได้ชัดว่าระดับความเร็วของเขานั้นลดลงไปอย่างมาก ในเวลาต่อมาหลิวจุ้ยก็ต้องเจอกับเรื่องเศร้าสลดอย่างสมบูรณ์แบบ
โดนโจมตี! โดนโจมตี! แล้วก็โดนโจมตี!
หลิวจุ้ยกล่าวว่า “แม่นางมู่เหตุใดเจ้าถึงไม่เรียนวิชาเอกเป็นอาวุธลับเล่า หากเจ้าเรียนวิชาเอกเป็นอาวุธลับ เจ้าจะต้องเป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือระดับสูงไปแล้วแน่นอน ข้านับถือเจ้าเลยจริง ๆ ข้าไม่สามารถหันหลังกลับได้อีกแล้ว”
“ข้ายอมแพ้แล้ว! ข้ายอมแพ้ เจ้าหยุด…”
“อ๊ากกก!”
ถึงโจมตีมู่เฉียนซีอย่างขาวสะอาดก็ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่พอเล่นสกปรกเช่นนี้ก็ยังมาพ่ายแพ้อีก ช่างน่าเวทนายิ่งนัก ตอนนี้ภายในหัวใจของเหล่าอัจฉริยะของแต่ละสำนักแห่งดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็ราวกับกำลังจะพังทลายลง
หัวหน้าสำนักของสำนักเหยียนเยี่ยกล่าวว่า “เลี่ยเอ้อร์ ออกไปเถอะ! เจ้าไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ในครั้งนี้ได้ ฉะนั้นเจ้าก็พยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถก็เพียงพอแล้ว”
“ขอรับ! ท่านอาจารย์!”
ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งขึ้นมาบนแท่นประลอง หลินเลี่ยมองไปทางมู่เฉียนซีแล้วกล่าวว่า “เดิมทีข้าคิดว่าสุดท้ายแล้วคู่ต่อสู้ของข้าจะเป็นหลิวจุ้ยหรือไม่ก็ไห่ซิน ไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าจะเป็นเจ้า”
เปลวเพลิงที่ร้อนระอุได้ระเบิดออกมา หลินเลี่ยก็คือจอมภูตพลังธาตุอัคคีนั่นเอง
นี่เป็นการต่อสู้ของจอมภูตพลังธาตุวายุและพลังธาตุอัคคี พวกเขาต่อสู้กันจากแท่นประลองกลางอากาศ
“เปลวเพลิงอันน่าสระพรึงกลัวนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหลินเลี่ยระเบิดพลังธาตุอันแข็งแกร่งเช่นนี้ออกมา”
“แม่สาวน้อยมู่เฉินซีผู้นั้นพิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่อาจรู้ได้เลยว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายแพ้หรือผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะกันแน่”
“……”
หลินเลี่ยเป็นจอมภูตพลังธาตุอัคคีที่ยอดเยี่ยม และนี่ก็ทำให้มู่เฉียนซีคันไม้คันมือจนอยากที่จะหยิบเอากระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณออกมาต่อสู้เลยทีเดียว
ทว่านางเสแสร้งมาได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ก่อนหน้าที่จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นางไม่สามารถทำให้การทำงานที่ทำมาอย่างหนักของนางต้องเสียเปล่าได้ ดังนั้นนางจึงจำเป็นที่จะต้องต่อสู้ในฐานะจอมภูตพลังธาตุวายุเท่านั้น
อาวุธของหลินเลี่ยนั้นก็คือกระบองเหล็กยาวด้ามหนึ่ง และเมื่อคราที่เขาเหวี่ยงมันออกไป มันก็ได้มาพร้อมกับเปลวเพลิงอันน่าสระพรึงกลัวที่ราวกับจะเผาไหม้ทุกสรรพสิ่งก็มิปาน
พัดวิหคเฟิงหลิงได้กลายเป็นกระบี่หยกขาวเล่มยาวเล่มหนึ่ง และมู่เฉียนซีก็เหวี่ยงกระบี่ออกไปพร้อมพลังธาตุวายุที่รุนแรง
ตูมมม!
เสียงประมือของทั้งสองดังขึ้นมาอย่างรุนแรง และทั้งสองก็ได้ปะทะกันตัวต่อตัวอย่างดุเดือด
กระบองยาวหมุนอยู่กลางอากาศ พร้อมกันนั้นอากาศโดยรอบต่างก็ถูกบิดเบือนไปจนหมดสิ้น และหลินเลี่ยก็เหวี่ยงกระบองยาวในกระบวนท่าต่าง ๆ ออกไปอย่างต่อเนื่อง
ตูมมมม!
“พลังวายุทำลาย ดับสูญ!”
เปลวเพลิงที่ลุกโชนเผาไหม้อย่างบ้าคลั่ง และสายลมก็กำลังหวีดร้องอยู่บนแท่นประลอง
ผู้คนที่อยู่ในสถานที่จัดงานทั้งหมดต่างก็จ้องมองไปบนแท่นประลองอย่างจดจ่อ นี่จะต้องเป็นการต่อสู้ขั้นสุดยอดของอัจฉริยะวัยหนุ่มสาวทั้งสองที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน
ทว่าคนของสำนักหลินเยว่และสำนักหลางซิงยังคงมองพวกเขาทั้งสองคนอย่างดูถูก ที่มุมนี้มีคนที่เก่งกาจสองคนปรากฏตัวขึ้นมาแต่อันที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยความสามารถของพวกเขาทั้งสองยังเทียบกับรองเท้าขององค์หญิงหลินหลางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
ความเร็วของทั้งสองคนรวดเร็วขึ้นมาอีกครั้ง และคนที่มีความสามารถไม่มากก็ไม่อาจที่จะมองได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าจะมองไม่ค่อยชัดเจน แต่ทว่าพวกเขากลับรู้สึกได้ถึงพลังที่เดือดดาลอย่างที่สุด
เคร้ง!
กระบี่ที่บอบบางและกระบองยาวที่แข็งแกร่งปะทะเข้าด้วยกัน พลังธาตุวายุและพลังธาตุอัคคีครอบครองกันคนละครึ่งของแท่นประลอง และผู้คนก็สามารถเห็นถึงเส้นแบ่งของพลังวิญญาณธาตุทั้งสองชนิดได้อย่างชัดเจน
การพุ่งเข้าปะทะกันอย่างน่าสะพรึงกลัวนั้นระเบิดออกมาเป็นระลอก และบนแท่นประลองที่พวกเขาอยู่ก็เริ่มมีรอยแตกปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว
“ท่านหัวหน้าสำนัก เกรงว่าแท่นประลองนี้อาจจะรับมันไม่ไหวแล้ว”
หัวหน้าสำนักเหยียนเยี่ยกล่าว “หลินเลี่ยไม่เคยทำให้ข้าผู้นี้ต้องผิดหวังเลยจริง ๆ!”
ตูมมมม!
ทั้งสองคนปะทะฝีมือกันไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว และในระหว่างการต่อสู้กันมู่เฉียนซีก็สามารถสัมผัสได้ว่าพลังของหลินเลี่ยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลินเลี่ยเองก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน นี่…เขากำลังจะบรรลุแล้วอย่างนั้นหรือ
ในบรรดาคนรุ่นใหม่ทั่วทั้งดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ เขาถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นมากที่สุด ดังนั้นจึงมีน้อยครั้งมากที่จะได้เจอคู่ต่อสู้
แต่ในเวลานี้เมื่อได้มาเจอศัตรูที่แข็งแกร่ง ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะทำให้เขาสามารถทะลวงด่านคอขวดนั้นออกมาได้ และสามารถทำให้เขาได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดเสียที
เห็นได้ชัดว่า ในระหว่างที่กำลังการต่อสู้อยู่นี้ มันไม่ใช่เวลาที่ดีในการเลื่อนขั้นสักเท่าไรนัก ทว่าเขาก็ไม่อยากที่จะปล่อยโอกาสในการเลื่อนขั้นนี้ไป มันจึงทำให้หลินเลี่ยรู้สึกขัดแย้งเป็นอย่างมาก
หัวหน้าสำนักเหยียนเยี่ยก็เห็นถึงความผิดปกติของลูกศิษย์ตนเองเช่นนี้ นี่เขากำลังจะเลื่อนขั้นแล้วรึ
เขากำลังคิดว่าจะให้หลินเลี่ยยอมแพ้ประลองฝีมือในรอบนี้ไปเสีย แต่ไม่คาดคิดว่ามู่เฉียนซีที่เดิมแล้วจะต้องเปิดการโจมตีที่ดุเดือดทว่าในเวลานี้กลับลามือและถอยออกมา
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “หลินเลี่ย เจ้าจำเป็นต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะเลือนขั้นได้สำเร็จ”
หลินเลี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พลังวิญญาณที่อยู่ในร่างกายของเขาเวลานี้กำลังปั่นป่วน เขาจะปล่อยให้เสียเวลามากไม่ได้ จึงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “อย่างมากที่สุดก็ครึ่งชั่วยาม!”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา!”
มู่เฉียนซีลงมาอยู่บนแท่นประลอง ในขณะที่หลินเลี่ยก็นั่งสมาธิเพื่อเลื่อนขั้น
ผู้อื่นไม่ได้ฝึกฝนวิชาเคล็ดเทพต้านสวรรค์เหมือนอย่างมู่เฉียนซี ที่แม้จะต้องต่อสู้ไปด้วยและเลื่อนขั้นไปด้วยก็ไม่ใช่ปัญหาเลย
ผู้คนมากมายมักจะกล่าวว่าการเลื่อนขั้นนั้นสำคัญมากที่สุด และจำเป็นที่จะต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
การที่มู่เฉียนซีเลิกที่จะโจมตีและปล่อยให้หลินเลี่ยเลื่อนขั้นอย่างสบายใจนั้น ล้วนทำให้ผู้คนประหลาดใจเป็นอย่างมาก “หากมู่เฉินซีโจมตีเสียตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งเป็นตอนที่หลินเลี่ยไม่มีแรงในการโต้กลับ นางจะต้องชนะการประลองในครั้งนี้อย่างแน่นอน”
“แม่นางมู่ไม่ได้เป็นผู้ที่ต่ำช้าเช่นนั้น นางรอให้หลินเลี่ยได้เลื่อนขั้นเสียก่อน แล้วค่อยเริ่มการต่อสู้อย่างยุติธรรมต่างหาก”
“ในเมื่อหลินเลี่ยได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดแล้ว มู่เฉินซีจะยังมีโอกาสที่จะได้รับชัยชนะอยู่อีกอย่างนั้นหรือ? ข้าดูแล้วนางจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่”
คนของสำนักหลินเยว่กล่าวว่า “เดิมทีข้าคิดว่ามู่เฉินซีเป็นคนที่มีฝีมืออยู่บ้าง แต่ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นคนโง่เขลาถึงเพียงนี้! ไม่ยอมคว้าโอกาสที่ดีเช่นนี้เอาไว้ เดี๋ยวนางจะต้องเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน”
มีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นกังวลว่ามู่เฉียนซีตั้งใจฉวยโอกาสนี้ในการลอบโจมตีหลินเลี่ย แต่ทว่าสุดท้ายแล้วนางกลับรออยู่อีกด้านหนึ่งอย่างสงบตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
เหล่าผู้อาวุโสจากกองกำลังทั้งหลายต่างพากันพยักอย่างชื่นชมต่อมู่เฉินซี แม่สาวน้อยผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการต่อสู้ที่แปลกประหลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่มีนิสัยทางศีลธรรมที่หาได้ยากยิ่งด้วยเช่นกัน
เนื่องจากว่าไม่มีผู้ใดมารบกวน และเป็นเพราะว่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการต่อสู้กับมู่เฉียนซีมาก่อนหน้านี้ไปได้ไม่น้อย ทำให้การเลื่อนขั้นของหลินเลี่ยราบรื่นกว่าที่เขาได้คาดคิดเอาไว้มาก ฉะนั้นจึงใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามเขาก็สามารถเลื่อนขั้นได้สำเร็จแล้ว
เขาลุกยืนขึ้น จากนั้นความสามารถของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดก็ระเบิดออกมา และผู้คนต่างพากันยินดี
“หลินเลี่ยเลื่อนขั้นสำเร็จแล้ว! เป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดแล้ว!”
“หลินเลี่ย ยินดีด้วย!”
“……”
หลินเลี่ยมองไปทางมู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “ต่อรึ?”
“แน่นอนว่าต้องต่ออยู่แล้วสิ! ข้านั่งโง่รอเจ้าอยู่ตรงนี้มานานถึงขนาดนี้ หากไม่ยอมต่อสู้ต่อข้าจะโกรธมากเลยล่ะ”
“แม้ว่าข้าจะรู้สึกขอบคุณเจ้ามาก ทว่าในการประลองข้าไม่อาจออมมือให้เจ้าได้หรอกนะ!”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แน่จริงเจ้าก็เข้ามาเถอะ! ข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าออมมืออยู่แล้ว”