ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1836 ปฏิเสธหลินเยว่
“เช่นนั้นการเคารพก็ไม่เทียบเท่าการทำตามคำสั่ง” หลินเลี่ยกล่าว
การต่อสู้ได้หยุดชะงักลงครู่หนึ่ง และได้เริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง
ทุก ๆ คนล้วนสัมผัสได้ว่าหลังจากหลินเลี่ยบรรลุระดับขั้นแล้ว พลังของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าทวี ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจรับมือได้ง่าย ๆ
เปลวไฟนั้นโหมกระหน่ำขึ้นอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังส่งเสียงคำรามที่สุดแสนจะน่ากลัวออกมาดังลั่น พวกเขาพบว่าครานี้มู่เฉินซีได้ตกอยู่สถานะของผู้ถูกกระทำแล้ว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างรุนแรง มู่เฉียนซีก็เลือกที่จะหลบหลีกการโจมตีอันแสนดุเดือดนั้น ด้วยความเร็วของนางทำให้นางสามารถหลบหลีกการโจมตีของหลินเลี่ยได้
“มู่เฉินซีเคลื่อนไหวเร็วเกินไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดก็คงจะทำอะไรนางไม่ได้ง่าย ๆ”
“เป็นทักษะวิญญาณที่รวดเร็วมากจริง ๆ”
“……”
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!
มู่เฉียนซีหลบหลีกการโจมตีของหลินเลี่ยได้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นทำให้หลินเลี่ยเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทีละน้อย
ธาตุอัคคีส่องแสงประกายวาววับจับตาได้เข้าโอบล้อมมู่เฉียนซีไว้ ไม่นานความเร็วของหลินเลี่ยก็ได้เพิ่มพูนขึ้นภายใต้เครื่องลางธาตุอัคคี
“สังหารพลังเดือด!”
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
ครืน ครืน!
ครืน ครืน!
เสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะ ๆ เจ้าสำนักเหยียนเยี่ยกล่าว “แม่สาวน้อยนั่นหลบหลีกเร็วกว่ากระต่ายเสียอีก หลินเลี่ยยังตามไม่ทันเลย!”
ปัง ปัง ปัง!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเร็วของมู่เฉียนซีที่ราวกับคนวิปริต การโจมตีของหลินเลี่ยในครานี้ก็กลับกลายเป็นการโจมตีที่สูญเปล่า
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ครั้นใกล้ถึงเวลาที่การประลองกำลังจะสิ้นสุดลง คนทั้งสองก็ยังไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้
ในขณะนั้นเองเจ้าสำนักหลินเยี่ยก็ได้ลุกขึ้นแล้วกล่าว “พอได้แล้ว! พวกเจ้าทั้งสองยังสู้กันไม่พออีกหรือ? ครั้งนี้ข้าจะเป็นผู้ตัดสินเอง พวกเจ้าทั้งสองเสมอกัน”
หากยังประลองกันต่อไปก็เป็นอะไรที่เสียเวลาและเสียพลังไปเปล่า ๆ ก็เท่านั้น ผู้ใดทำให้อีกฝ่ายสูญเสียพลังไปได้มากกว่ากัน ผู้นั้นก็เป็นฝ่ายชนะไป
การประลองในครั้งนี้ทำให้มู่เฉียนซีได้รับผลประโยชน์ไปไม่น้อย หากยังดันทุรังต่อไปนางก็สามารถเป็นฝ่ายชนะได้ อย่างไรเสียหลินเลี่ยก็ไม่มีทางเทียบเคียงจำนวนยาลูกกลอนกับนางได้ ทว่ามันก็ไม่ได้มีความหมายเท่าใดนัก
ในที่สุดนางก็สามารถบรรลุเป้าหมายที่นางวางไว้ได้ การประลองในครานี้นางจะต้องมีชื่อเสียงในดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างแน่นอน
การคว้าอันดับหนึ่งมาพร้อมกับหลินเลี่ยก็ไม่ได้มีความแตกต่างอันใดมากนัก
มู่เฉียนซีกล่าว “ได้!”
“อืม!” หลินเลี่ยพยักหน้า
การประชุมแลกเปลี่ยนของผู้มากฝีมือในดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้กำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่ช้า เกรงว่าผู้ที่มาเข้าชมการประลองในครานี้จะสามารถจดจำชื่อ ๆ หนึ่งได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ มู่เฉินซี
ขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะเดินลงมาจากแท่นการประลองนั้น อยู่ ๆ ศิษย์พี่เยว่จากสำนักหลินเยว่ก็ได้กล่าวขึ้น “แม่นางมู่ ช้าก่อน…”
มู่เฉียนซีกล่าว “มีธุระอันใดหรือ?”
ศิษย์พี่เยว่มองดูพิจารณามู่เฉียนซีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นางนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเหตุใดมู่เฉินซีจึงยังมีท่าทีปกติดีได้
“ศักยภาพของแม่นางมู่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แต่กลับเป็นศิษย์ไร้สำนัก สำนักหลินเยว่ของข้าก็อยากจะผูกมิตรกับเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ผู้คนที่อยู่รอบข้างต่างก็เงียบสงบลงในทันที เรื่องที่สำนักหลินเยว่ชักชวนสตรีที่มีศักยภาพยอดเยี่ยมมาเป็นศิษย์ในสำนักเป็นเรื่องที่มีมานมนานแล้ว และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชมในชื่อเสียงของสำนักและรับคำเชิญไปแต่โดยดี การที่พวกนางจะสนใจในตัวมู่เฉินซีจึงเป็นเรื่องปกติ
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าขอปฏิเสธ!”
ศิษย์พี่เยว่กล่าว “แม่นางมู่ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเช่นนี้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้าคงรู้สึกโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย! วันนี้ได้เห็นแม่นางขึ้นประลอง พวกเราก็อยากจะประลองฝีมือกับแม่นางมู่สักหน่อยเช่นกัน”
เจ้าสำนักเหยียนเยี่ยกล่าว “แม่นางเยว่ ที่นี่คือสำนักเหยียนเยี่ยของข้า พวกเจ้าที่เป็นเพียงเด็กน้อยจะมารังแกแม่หนูน้อยที่ยังเยาว์กว่าพวกเจ้าหลายปีในที่ของข้าเช่นนี้ไม่ได้!”
“เจ้าสำนักเหยียนเยี่ย ท่านจะลำเอียงเกินไปหน่อยแล้ว! พวกเราก็เพียงแค่ต้องการแลกเปลี่ยนทักษะกระบวนท่ากันสักหน่อยก็เท่านั้น ได้เจอแม่นางที่มีฝีมือแกร่งกล้าเป็นครั้งแรก พวกเราก็แค่รู้สึกไม่ยอมแพ้ก็เท่านั้นเอง” ศิษย์น้องที่อายุน้อยที่สุดของสำนักหลินเยว่กล่าว
เจ้าสำนักเหยียนเยี่ยทราบดีว่าพวกนางมาด้วยความไม่เป็นมิตร ไม่ได้ต้องการแลกเปลี่ยนความรู้อย่างที่กล่าวมาอย่างแน่นอน เขารู้สึกถูกชะตากับแม่นางน้อยมู่เฉินซีผู้นี้ ดังนั้นจึงไม่อยากให้นางถูกผู้อื่นรังแก
เขากำลังจะกล่าวบางสิ่งบางอย่างขึ้น ทว่ากลับถูกมู่เฉียนซีชิงกล่าวขึ้นเสียก่อน
“เจ้าสำนักเหยียนเยี่ย ขอบคุณในความหวังดีของท่านมาก! ข้าเองก็อยากลองประลองฝีมือกับศิษย์ของสำนักหลินเยว่เช่นกัน”
เจ้าสำนักเหยียนเยี่ยกล่าว “เจ้าอย่าก่อเรื่องวุ่นวายเลย เมื่อครู่เจ้าเพิ่งประลองกับหลินเลี่ยไป พลังวิญญาณก็ถูกใช้ไปไม่น้อยแล้ว เจ้าไม่ควรทำการประลองต่ออีก”
มู่เฉียนซีกินเม็ดยาลูกกลอนด้วยท่าทีสบาย ๆ แล้วกล่าว “ท่านดูสิ นี่ข้าก็กำลังกินยาลูกกลอนฟื้นฟูอยู่ไม่ใช่หรือ? ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“เจ้า…” เจ้าสำนักเหยียนเยี่ยจ้องเขม็งใส่มู่เฉียนซีด้วยสีหน้าท่าทางขุ่นเคือง
ศิษย์พี่เยว่กล่าว “ท่านเจ้าสำนักเหยียนเยี่ย แม่นางมู่รับคำท้าแล้ว ท่านอย่าได้มาสนใจเรื่องของเด็ก ๆ อย่างพวกเราอีกเลย”
เจ้าสำนักเหยียนเยี่ยรู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างยิ่ง
หลินเลี่ยกล่าว “อาจารย์ คู่ต่อสู้ของข้าไม่ใช่คนไร้สมองเช่นนั้น พวกเรารอดูกันไปก่อนเถิด หากเกิดอันตรายอันใดขึ้นก็ขอไหว้วานอาจารย์ด้วย”
หลินเลี่ยรู้สึกชื่นชมมู่เฉินซีเป็นอย่างยิ่ง หากเป็นกาลก่อน เพียงแค่ผู้บำเพ็ญภูติพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดคนหนึ่ง เขาคงไม่เก็บมาใส่ใจอย่างแน่นอน ทว่าผู้บำเพ็ญภูติพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดอย่างมู่เฉียนซี เป็นคนวิปริตอย่างไม่ต้องสงสัย
“ศิษย์น้อง เจ้าไปเถอะ!” ศิษย์พี่เยว่กล่าว
“ได้เลย! ศิษย์พี่หญิงเยว่ ข้าจะล้มผู้มากฝีมืออันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ผู้นี้ให้ได้ ศิษย์พี่รอฟังข่าวดีได้เลย”
ดรุณีน้อยดูท่าทางละอ่อนอ้อนแอ้นน่ารักน่าเอ็นดู ทว่าศักยภาพของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินเลี่ยแต่อย่างใด
ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูต!
ทุก ๆ คนต่างอดรู้สึกเป็นห่วงมู่เฉินซีเสียมิได้
ผลปรากฏว่ามู่เฉียนซีกล่าวเพียงว่า “แม่นางเยว่ เข้ามาประลองทีละคนแบบนี้มันวุ่นวายไปสักหน่อย! พวกเจ้าศิษย์สำนักหลินเยว่ขึ้นมาประลองพร้อมกันเลยเป็นอย่างไร!”
อะไรนะ? พร้อมกันเลยหรือ!
ทุก ๆ คนล้วนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พวกเขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่!
ศิษย์พี่เยว่กล่าว “แม่นางมู่ เจ้าว่าอะไรนะ?”
“เข้ามาพร้อม ๆ กันนี่แหละ หากล้มไปทีละคนมันออกจะวุ่นวายเกินไปสักหน่อย พวกเจ้าว่าหรือไม่?” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มบาง ๆ
ล้มไปทีละคนอย่างนั้นหรือ? เพียงแค่หลินเลี่ยที่เพิ่งบรรลุเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับแปดก็ยังล้มไม่ได้เลย แล้วเจ้าเด็กนี่ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด?
สีหน้าของสำนักหลินเยว่เหล่านี้ดูบูดบึ้งกว่าปกติเป็นเท่าทวี
ศิษย์น้องผู้นั้นกล่าว “ศิษย์พี่ พวกเราขึ้นมาจัดการนางพร้อม ๆ กันไปเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาด้วย”
“ใช่แล้ว! นางอยากรนหาที่ตายเอง พวกเราก็ทำให้ความปรารถนาของนางเป็นจริงเสียหน่อย! จัดการให้ตายไปเลย”
“……”
มู่เฉียนซียั่วโทสะถึงเพียงนี้ พวกนางก็ย่อมอดทนไม่ได้เป็นธรรมดา
ศิษย์พี่เยว่กล่าว “อย่าถึงขั้นต้องตายกันเลย อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นเขตของสำนักเหยียนเยี่ย เพียงแค่พิกลพิการไปสักหน่อยก็พอแล้ว”
“คิ คิ คิ! ศิษย์พี่ พวกเราเข้าใจแล้ว!”
“ในเมื่อแม่นางมู่มีเงื่อนไขมาเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ขึ้นไปประลองด้วยกันเถอะ!”
ศิษย์จากสำนักหลินเยว่ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์จำนวนหนึ่งก็ได้เหาะขึ้นไปบนแท่นประลองในทันที
ศิษย์ของสำนักหลางซิงเหล่านั้นก็เบ้ปากแล้วกล่าว “เดิมทีข้าก็รู้สึกว่าแม่นางมู่เฉินซีนั่นมีศักยภาพที่ไม่เลวเลยทีเดียว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีสติปัญญาที่บกพร่อง โง่เง่าเสียยิ่งกว่าพวกผู้หญิงขี้เหร่จากสำนักหลินเยว่นั่นเสียอีก!”
ไม่ต้องขึ้นประลองทุก ๆ คนก็ทราบถึงผลการประลองได้เป็นอย่างดี พวกเขาอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้มู่เฉินซีแสดงออกได้อย่างยอดเยี่ยมแท้ ๆ เหตุใดอยู่ ๆ ถึงได้หุนหันพลันแล่นเช่นนี้!
ถึงแม้ดรุณีน้อยของสำนักหลินเยว่จะรูปร่างหน้าตางดงาม ทว่าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน!
มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเป็นห่วงมู่เฉียนซี ทว่าโม่ซวนและฉู่หลีต่างก็ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงมู่เฉียนซีแต่อย่างใด
การต่อสู้ของมู่เฉียนซีกับศิษย์จากสำนักหลินเยว่จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดไม่น้อย เนื่องจากศิษย์จากสำนักหลินเยว่แต่ละคนล้วนมีศักยภาพในระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับแปด
พวกนางทราบว่าสิ่งที่มู่เฉินซีมีเหนือกว่าพวกนางก็คือความเร็วเท่านั้น ดังนั้นพวกนางจึงเริ่มทำการโอบล้อมโจมตีจากทั่วทุกสารทิศ
ถึงแม้ความเร็วของมู่เฉียนซีจะเหนือชั้น ทว่าก็ยากที่จะหลบหลีกการโจมตีจากพวกนางได้
ปัง!
ทั้งสองฝ่ายต่างเริ่มโจมตีซึ่งกันและกัน ร่างสีม่วงได้หลบหลีกการโจมตีของพวกนางด้วยความเร็วสูง ทว่าคนของสำนักหลินเยว่ได้ทำการโจมตีกลับไปด้วยพลังที่แข็งแกร่งกว่า
ในขณะเดียวกันนั้นมู่เฉียนซีก็ได้พุ่งเข้าหาศิษย์พี่เยว่ไปด้วยความรวดเร็ว ราวกับว่ามองไม่เห็นการโจมตีจากศิษย์พี่เยว่ก็มิปาน