ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1853 ยังคงบำเพ็ญตบะ
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ได้มุ่งหน้าไปยังเมืองหนานหวังด้วยกัน ทว่าเมืองหนานอู่และเมืองหนานหวังนั้นห่างไกลกันไม่น้อย ดังนั้นระหว่างทางพวกเขาจึงหยุดพักที่ใจกลางเมืองแห่งหนึ่งก่อน
หอสุราที่เต็มไปด้วยความครึกครื้นย่อมเป็นสถานที่รวบรวมข่าวสารชั้นดี ขณะนี้พวกเขากำลังพูดคุยถึงเรื่องราวที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“พวกเจ้ารู้แล้วหรือยังว่าสำนักหลิงหลงถูกโค่นล้มลงแล้ว?”
“ไม่รู้ว่าพวกเขาไปยั่วยุผู้ใดเข้า อยู่ ๆ ทั้งสำนักก็ถูกทำลายราบเป็นหน้ากองภายในคืนเดียว”
“ได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อนพวกเขาได้ไปทำเรื่องเรื่องหนึ่งเข้า เดิมทีพวกเขาก็กลบเกลื่อนได้ดีมาโดยตลอด คาดไม่ถึงว่าจะถูกผู้อื่นแพร่งพรายความลับออกไปจนทำให้ศัตรูบุกมาหาถึงที่”
เมื่อสำนักหลิงหลงกองกำลังระดับสี่ถูกโค่นล้มลง มู่เฉียนซีก็ได้เหลือบมองไปยังเหยียนเหลียนเจีย
เหยียนเหลียนเจียกล่าว “พวกเขาทำตัวชั่วช้าต่ำตมเอง ไม่ควรมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!”
“เจ้าเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่าหรอก ข้าเพียงแค่บอกเรื่องที่ข้ารู้กับคนอื่นก็เท่านั้น” เหยียนเหลียนเจียกล่าวด่วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ครานี้มู่เฉียนซีจึงจะทราบว่า เหตุใดผู้ที่มีหัวคิดของดินแดนทางทิศใต้จึงไม่กล้ายั่วโทสะนางปีศาจผู้นี้ เพราะไม่เพียงแต่นางจะมีพลังโจมตีทางจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่นางยังรู้ความลับอีกมากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว
แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ทำเรื่องน่าละอายใจใด ๆ แล้ว แต่ความลับก่อนหน้านี้กลับถูกเอาไปเปิดเผย เช่นนั้นก็คงจะเป็นจุดจบที่น่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง
นางปีศาจเหยียนนับได้ว่าเป็นผู้หญิงที่อันตรายที่สุดคนหนึ่ง
…
“น้องซีเอ๋อร์ คุณชายจูเชว่ได้ส่งคนมาบอกข่าวคราวกับเจ้าด้วย! ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่’” เหยียนเหลียนเจียเคาะประตูพลางกล่าว
“เข้ามาสิ!”
เมื่อเหยียนเหลียนเจียรายงานข่าวคราวทั้งหมดแล้ว มู่เฉียนซีที่ไม่ได้รับข่าวคราวที่ตนเองต้องการ ก็เห็นชัดว่านางดูหงุดหงิดไม่น้อย
“น้องซีเอ๋อร์ คุณชายจูเชว่ทำสุดความสามารถแล้ว เจ้าอย่าได้กล่าวโทษเขาเลยนะ!” เหยียนเหลียนเจียพยายามพูดแทนจูเชว่
ไม่ว่าจะเป็นข่าวคราวของมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ กระดูกมังกรของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง หรือจะเป็นไม้เทพแห่งชีวิตก็ไม่มีข่าวคราวอันใด กระทั่งข่าวคราวของบิดาก็ยังไร้วี่แวว
มีเพียงข่าวคราวเดียวเท่านั้นที่นางทราบอย่างชัดเจน นั่นก็คือข่าวคราวของเป่ยกงจั๋ว ทว่าเจ้านั่นได้ปลีกวิเวกไปบำเพ็ญตบะในสถานที่ลับ ตั้งแต่นางสืบข่าวคราวของเขา เขาก็ปลีกวิเวกบำเพ็ญตบะมาโดยตลอด นางอยากจะลากตัวเขาออกมา แล้วฟาดแส้ใส่เป็นร้อยครั้งพันครั้งจริง ๆ
“ยังแก้ต่างแทนจูเชว่อีกนะ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของเจ้ากับจูเชว่จะดีไม่น้อย นี่เจ้าไม่ได้ชอบเขาหรอกหรือ?” มู่เฉียนซีกล่าวพลางทอดมองไปยังเหยียนเหลียนเจีย
“ข้าชอบผู้หญิง ข้าชอบผู้หญิงจริง ๆ นะ อีกอย่างข้าก็ชอบแค่น้องซีเอ๋อร์คนเดียวเท่านั้น” เหยียนเหลียนเจียรีบสารภาพรักด้วยท่าทางกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนของข้าแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ไปล่อลวงเป่ยกงจั๋วให้ข้าเป็นอย่างไร? เจ้านั่นวัน ๆ เอาแต่ปลีกวิเวกบำเพ็ญตบะ แบบนี้จะไม่ว่างเกินไปหน่อยหรือ?”
“น้องซีเอ๋อร์ องค์รัชทายาทเป่ยกงมีคู่หมั้นแล้วนะ! ข้าเองก็มีหลักการของข้า ข้าจะไม่หลอกล่อคนที่มีภรรยาหรือคู่หมั้นแล้วอย่างแน่นอน” ส่วนบุรุษที่เมื่อได้เห็นนางแล้วไม่อาจควบคุมตัวเองได้ นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“ข้าเย้าเจ้าเล่นเท่านั้น ข้าเองก็ไม่อยากจะให้เจ้าไปเสี่ยงอันตราย เจ้านั่นไม่ใช่คนที่จะสนใจหญิงงามเลยสักนิด” มู่เฉียนซีกล่าว
เมื่อได้ปะทะกับเป่ยกงจั๋วมาหลายครั้งหลายครา นางก็พอจะรู้จักเขาอยู่บ้างว่าเขาเป็นคนเช่นไร
เขาเป็นคนใจทราม ชั่วร้าย ไร้คุณธรรมที่ต้องการเสพสุขกับตำแหน่งอันสูงส่ง และปรารถนาในความยิ่งใหญ่และอำนาจเป็นอย่างยิ่ง
“ดูเหมือนน้องซีเอ๋อร์จะสนใจองค์รัชทายาทเป่ยกงไม่น้อยเลยนะ ที่สุดแล้วเป็นเพราะอะไรกัน ข้าสามารถให้คำแนะนำออกความคิดเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เจ้าได้นะ”
แม้ว่าในใจจะเชื่อเหลือเกินว่าเสี่ยวไป๋จะไม่มีทางแพ้ให้กับเป่ยกงจั๋วได้ง่าย ๆ ทว่าวันเวลาก็ผ่านมานานแล้วแต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวใด ๆ นางจึงรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ ซ้ำร้ายยังระบายออกมาไม่ได้อีกด้วย
“สหายคนสำคัญของข้าคนหนึ่งถูกเป่ยกงจั๋วจับตัวไป และมีเพียงเป่ยกงจั๋วเท่านั้นที่ทราบว่าเขาอยู่ที่ใด เขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นข้าจึงให้ความสนใจกับข่าวคราวของเป่ยกงจั๋วมาโดยตลอด” มู่เฉียนซีกล่าว
เหยียนเหลียนเจียสัมผัสถึงความกังวลของมู่เฉียนซีได้อย่างชัดเจน นางขยันหมั่นเพียรฝึกฝน อีกทั้งยังออกมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์และฝึกตนอย่างขยันขันแข็ง งานประชุมแลกเปลี่ยนของผู้มากฝีมือก็ทำได้ดีและเป็นที่โดดเด่น นางที่เป็นที่จับตามองของผู้คนก็มีเรื่องให้หนักใจไม่น้อยเช่นกัน เพียงแต่ไม่อาจเปิดเผยออกมาได้ก็เท่านั้น
เหยียนเหลียนเจียที่อยากจะแบ่งเบาภาระของมู่เฉียนซีจึงกล่าว “น้องซีเอ๋อร์จะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเขาคือใคร? เป็นคนแบบไหน? นามว่าอะไร? ตราบใดที่ราชวงศ์เป่ยกงยังมีคนผู้นี้อยู่ ข้าจะพยายามสืบให้อย่างสุดความสามารถ”
“เพียงแค่คอยจับตาเป่ยกงจั๋วไว้ก็พอ”
นางปีศาจเหยียนเป็นสหายของโม่ซวน และเป็นลูกสมุนของจูเชว่ พฤติกรรมและการกระทำของนางตลอดการเดินทางได้ทำให้มู่เฉียนซีไว้วางใจนาง ทว่าเรื่องของเสี่ยวไป๋ก็เป็นอะไรที่ซับซ้อนจนเกินไป
เนื่องจากคนที่นางต้องตามหานั้นคือเป่ยกงจั๋ว
“น้องซีเอ๋อร์คงจะไม่ได้รอให้เป่ยกงจั๋วกลับออกมาจากการบำเพ็ญตบะ แล้วเข้าไปปะทะกับเขาซึ่ง ๆ หน้าหรอกนะ?”
“ข้าดูโง่เง่าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” การที่เข้าไปปะทะกับเป่ยกงจั๋วโดยตรงนั้น นอกจากจะไม่สามารถช่วยเสี่ยวไป๋ได้แล้ว ยังเป็นการเดินเข้าไปติดกับเองอีกด้วย
“อืม! เมื่อมีข้าอยู่ ข้าก็ไม่ปล่อยให้น้องซีเอ๋อร์ทำเรื่องโง่ ๆอยู่แล้ว! น่าอิจฉาคนที่ทำให้น้องซีเอ๋อร์ต้องเป็นห่วงจนไม่กลัวที่จะต้องเป็นศัตรูกับองค์รัชทายาทเป่ยกงจริง ๆ เลย คนผู้นั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ?” เหยียนกล่าวด้วยท่าทางสงสัยเต็มประดา
“ผู้ชาย!” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
“งามสู้ข้าได้หรือไม่?”
“งามกว่าเป่ยกงจั๋วเสียอีก แล้วเจ้าคิดว่าหากเทียบกับเจ้าแล้วจะเป็นอย่างไรล่ะ?”
ถึงแม้คนทั้งสองจะงามไม่แพ้กัน ทว่ามู่เฉียนซีก็คิดว่าเสี่ยวไป๋หน้าตางามกว่าอยู่ดี
แววตาของเหยียนดูเคร่งขรึมขึ้นมาในบัดดล เป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจไม่เบา!
ต้องทราบด้วยว่าองค์รัชทายาทเป่ยกงนั้นเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งของแดนซวนเทียนเชียวนะ!
มู่เฉียนซีกล่าว “พอได้แล้ว! เจ้ากลับไปได้แล้ว แล้วไปบอกคุณชายจูเชว่เจ้านายของเจ้าด้วยว่า ล้างคอรอข้าไว้ได้เลย! ข่าวคราวที่เขาสืบมาได้ไม่ได้ทำให้ข้าพอใจเลยสักนิด!”
เหยียนกล่าว “ได้ ได้ ได้! เช่นนั้นข้าขอไม่รบกวนน้องซีเอ๋อร์แล้ว”
ครานี้เหยียนเหลียนเจียไม่ยึกยักให้เสียเวลาอีก นางรีบกลับไปอย่างรวดเร็ว
ครั้นมู่เฉียนซีเบี่ยงหน้ากลับไป นางก็พบว่ามีดวงตาสีดำนิลกำลังจับจ้องมาที่นางอยู่ ฉู่หลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ศิษย์น้อง!”
“อืม!”
“ศิษย์น้องหงุดหงิดใจ ข้าไม่อยากให้ศิษย์น้องไม่สบายใจ เป่ยกงจั๋ว เป่ยกงจั๋ว…”
ดวงตาสีดำทมิฬคู่นั้นพลันเย็นชาขึ้นมาในบัดดล องค์รัชทายาทเป่ยกงชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแดนซวนเทียน เป็นผู้ที่หนุ่มสาวและผู้มากความสามารถให้ความเคารพนับถือ ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่หลีจำชื่อของเขาได้
นิรันดร์ทรุดตัวลงนั่งข้างกายมู่เฉียนซีด้วยท่าทางเกียจคร้านแล้วกล่าว “กู้ไป๋อีหรือ!”
“ศิษย์ที่รักเชื่อข้าสิ ตราบใดที่เจ้านั่นไม่อ่อนแอจนถึงขั้นถูกผู้อื่นทำให้อกสั่นขวัญแขวน หากจะช่วยกลับมาก็ไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน! ศิษย์ที่รักเองก็รู้ดีว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นถึงหม้อเทพนิรันดร์เชียวนะ”
เขาอ้าแขนทั้งสองข้างออกพลางกล่าว “หากศิษย์ที่รักยังไม่วางใจ ก็เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของข้าสักประเดี๋ยวสิ แล้วเจ้าจะรู้สึกสบายใจขึ้น รีบมาเร็วเข้า!”
ปัง!
มวลพลังมวลหนึ่งได้ผลักนิรันดร์จนถอยกลับไปในทันที
“อย่าฉวยโอกาสตอนที่ศิษย์น้องอ่อนแอมาเอาเปรียบศิษย์น้องนะ ทำราวกับข้าไม่มีตัวตนอย่างนั้นแหละ”
“เจ้าเด็กน้อย รนหาที่ตายรึ!”
“……”
แววตาที่มู่เฉียนซีทอดมองไปยังพวกเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ใช่คนนี่นา!
หากเขาอยู่ ไม่ว่าจะไม่สบายใจเช่นไรก็สามารถกลับมาสบายใจได้อย่างรวดเร็ว
บางคราการที่ไม่ได้รับข่าวสารใด ๆ ก็อาจเป็นข่าวดีที่สุดก็ได้ หากไม่ใช่เพราะเป่ยกงจั๋วไม่อาจข่มวิญญาณของเสี่ยวไป๋ได้สำเร็จ เขาก็คงไม่ปลีกวิเวกบำเพ็ญตบะมาตลอดจนถึงตอนนี้
เมื่อมีพวกเขาอยู่ นางก็สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แข็งแกร่งขึ้นจนสามารถงัดข้อกับเป่ยกงจั๋วได้
ขณะที่ทั้งสองตั้งท่าเตรียมจะเปิดศึกกันนั้น มู่เฉียนซีก็ได้กลับไปพักผ่อนแล้ว
นิรันดร์กล่าว “ข้าไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า แต่เจ้าเป็นใครกันแน่? ข้าคุ้นหน้าคุ้นตาเจ้านัก แต่ก็เหมือนไม่คุ้นเลยสักนิด?”
ฉู่หลีกล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่…ข้าน่าจะรู้ในอีกไม่ช้าแล้ว…” เขารู้สึกปรารถนาในพลังที่แข็งแกร่งขึ้นมาทีละน้อย ดังนั้นดูเหมือนความทรงจำของเขาก็เริ่มจะชัดเจนขึ้นไปทุกที