ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1865 ป้อนข้า ป้อนข้า
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “มิน่า ทั้ง ๆ ที่พวกเราไปมาตั้งหลายที่ แต่ก็ไม่ยักจะเห็นคนของสำนักหลางซิงเลยสักคน แม้กระทั่งที่นี่ก็หาหมดแล้ว เช่นนั้นก็ลองไปดูที่เมืองโบราณซางหลันดูก็ได้”
เหยียนกล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง “หากเป็นไปได้ละก็ ข้าก็อยากให้พวกเขาอยู่ที่นี่ทุกคนก็ไม่เลว”
ดวงตาของเหยียนมีประกายความเย็นชาวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว นางรู้จุดประสงค์ของคนสำนักหลางซิงที่เข้ามายังที่แห่งนี้ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว
“ข้าเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน” สำหรับอิทธิพลและอำนาจของราชวงศ์ตงหวง มู่เฉียนซี ไป๋เจ๋อและจูเชว่พวกเขาต่างก็มีความคิดเห็นที่ตรงกัน
และคนของสำนักหลางซิงเหล่านี้ก็เหมือนกับสำนักหลินเยว่ไม่มีผิด ล้วนไม่ใช่คนดีอะไร
เหยียนกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ดูเหมือนน้องซีเอ๋อร์เตรียมที่จะมีศัตรูคนเดียวกันกับข้าสินะ!”
พวกเขาเดินทางไปยังเมืองโบราณซางหลัน ระหว่างทางก็พบเจอกับกลุ่มคนที่มีจุดเป้าหมายเดียวกันกลุ่มหนึ่ง ไม่มีผู้ใดกล้ามายั่วยุเหยียน และแน่นอนว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาก่อกวนแม้แต่คนเดียว
ทว่าเมื่อทุก ๆ คนเข้าใกล้เมืองโบราณซางหลันนั้น พวกเขาก็พบว่าเมืองโบราณแห่งนี้ถูกค่ายกลขนาดใหญ่ปิดกั้นไว้
ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ได้!
“ผู้ใดเป็นคนทำสิ่งนี้กัน? ไร้คุณธรรมเสียจริง” คนที่มาถึงทีหลังก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง
“นี่พวกเขาคิดจะยึดของล้ำค่าไปคนเดียวเลยสินะ น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!”
“ค่ายกลนี้เพิ่งสร้างขึ้นไม่นาน แต่กลับแข็งแกร่งมาก สำนักกองกำลังระดับห้าที่สามารถทำค่ายกลแบบนี้ขึ้นมาได้ก็น้อยจนนับได้ เช่นนั้นคนที่ยิ่งทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ก็มีเพียง…”
“สำนักหลางซิง!”
มีคนที่อยากทำลายค่ายกลนี้ลงเป็นอย่างยิ่ง ทว่าพวกเขาก็ไม่มีทางทำลายมันได้เลย
บางคนที่ไม่อยากเข้าไปยั่วยุคนของสำนักหลางซิง ก็ทำได้เพียงจากไปแล้วไปหาของล้ำค่าที่อื่นแทน
เหยียนกล่าว “เพื่อไม่ให้คนอื่น ๆ ได้เข้ามาแบ่งของล้ำค่าด้วย คนของสำนักหลางซิงก็เลยสร้างเล่ห์กลต่ำ ๆ แบบนี้ขึ้นมา พวกเขาไม่กลัวว่าออกมาแล้วจะถูกสังหารหมู่หรืออย่างไร?”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางเรียบเฉย “อย่างแรก บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาเข้าไปในนั้นนานเกินไป คนอื่น ๆ ไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ อย่างที่สองพวกเขาคงจะมั่นใจในพลังของพวกเขามากพอ”
“จะทำลายค่ายกลนี้ได้อย่างไร?” เหยียนทอดมองไปยังค่ายกลนั้น
“ทำลายลงยากมาก! แต่พวกเราจะทำลายมันลงทำไมล่ะ ช่วงไม่กี่วันนี้พวกเรามัวแต่ออกตามหาสมุนไพรวิญญาณ ไหนจะต้องรีบออกเดินทางอีก พวกเรามาพักผ่อนหาอะไรกินจิบชากันไปพลาง ๆ ก่อนเถอะ” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
สถานที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่จะสามารถมาผ่อนคลายได้ ทว่าเหยียนกลับกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “น้องซีเอ๋อร์ว่าอย่างไร ข้าก็ว่าอย่างนั้น?”
เมื่อคนของสำนักกองกำลังระดับสี่ที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟพบว่า พวกของมู่เฉียนซีกำลังนั่งดื่มชาปิ้งเป็ดย่างไก่กันอย่างสบายใจ มุมปากของพวกเขาก็กระตุกขึ้นอย่างบ้าคลั่งในทันที
“เหยียนเหลีนเจียชักจะกล้าหาญเกินไปแล้ว มากินอาหารตรงนี้ไม่กลัวถูกวางยาหรืออย่างไร?”
“หากเกิดอันตรายขึ้นแล้ว จะหนีก็คงหนีไม่รอด”
“……”
ทว่าหลังจากนั้น เมื่อพบว่าพวกเขากินกันอย่างเอร็ดอร่อย คนของสำนักกองกำลังระดับสี่เหล่านั้นก็อดทนอดกลั้นด้วยความหิวโหยเป็นอย่างยิ่ง แบบนี้มันรังแกกันชัด ๆ!
คนของสำนักหลางซิงทำงานกันด้วยความว่องไวเป็นอย่างยิ่ง ไม่นานนักค่ายกลนั้นก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว และมีคนกลุ่มหนึ่งกลับออกมาจากข้างใน
พวกเขาทุก ๆ คนคาดเดากันไม่ผิด คนกลุ่มนั้นเป็นคนของสำนักหลางซิงจริง ๆ
พวกเขาหัวเราะเยาะอย่างหน้าไม่อาย “ที่ทุกคนมารอพวกเราอยู่ตรงนี้ คือจะมาแสดงความยินดีที่พวกเราเปิดขุมสมบัติของเมืองโบราณซางหลันได้ใช่หรือไม่?”
“พวกเจ้าทำแบบนี้มันไร้คุณธรรมสิ้นดี ตะครุบไปกินคนเดียวเช่นนี้ไม่กลัวจุกอกตายหรือ!”
“สำนักหลางซิงของพวกเจ้าคิดว่ามีคนหนุนหลังอยู่แล้ว จะวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ได้หรือ พวกเจ้าก็เป็นเพียงสำนักกองกำลังระดับสี่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นได้ไม่นานก็เท่านั้น”
ของล้ำค่าเหล่านั้นจะต้องเป็นของพวกเขาส่วนหนึ่งเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วไม่ว่าคนที่หนุนหลังพวกเจ้าอยู่จะเป็นผู้ใด วันนี้พวกเราก็ไม่มีทางยอมถอยอย่างง่าย ๆ เป็นแน่
“พวกเจ้าที่เป็นเพียงขยะไร้ค่า ก็คิดจะมาต่อกรกับพวกเราอย่างนั้นรึ ฝันไปหรืออย่างไร!” คนของสำนักหลางซิงกล่าวเยาะเย้ย
“พวกเจ้ามันน่ารังเกียจ! จัดการพวกมัน พวกข้ากลัวพวกเจ้าเสียที่ไหนกัน!”
“จัดการพวกมันพร้อมกันเลย!”
“……”
คนของสำนักกองกำลังระดับสี่ที่รอรับผลประโยชน์อยู่ด้านนอกก็ได้เริ่มทำการโจมตีคนของสำนักหลางซิงแล้ว คนของสำนักหลางซิงเหล่านั้นก็ได้โจมตีกลับเช่นกัน
ครืน ครืน ครืน
เหยียนกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “น้องซีเอ๋อร์เจ้าดูพวกเขาสิ เริ่มต่อสู้กันแล้ว!”
“รอดูอยู่ตรงนี้ก่อน ถึงแม้คนสำนักหลางซิงจะไร้สมอง แต่พวกเขาก็ไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่ พวกเขาจะต้องมีไพ่ตายอันใดอยู่สักอย่างแน่นอน”
คนของสำนักหลางซิงที่ถูกโอบล้อมโจมตีก็ลำบากไม่น้อย ดังนั้นพวกเขาจึงงัดเอาไพ่ตายออกมาใช้ในที่สุด
ปัง!
พลังอันแรงกล้าได้ระเบิดออกมา ทุกคนรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง นี่มัน…
นี่มันพลังของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าขั้นสูงสุด!
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดมีพลังแบบนี้เลยสักคน
“มิน่าที่คนของสำนักหลางซิงกล้าวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ ที่แท้การมาเมืองโบราณซางหลันในครานี้ พวกเขาก็มีผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดอยู่ด้วยนี่เอง”
“รีบไป! พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา”
“……”
ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดผู้นั้นหัวเราะเยาะ “คิดจะหนีรึ ฝันไปเถอะ!”
“ฆ่าพวกมันให้หมด พวกมันดูถูกสำนักหลางซิงของพวกเรา รนหาที่ตายชัด ๆ!”
“ถึงแม้สำนักหลางซิงของพวกเราจะไม่ได้มีอายุเก่าแก่เป็นพันปีหมื่นปี แต่พวกเราก็จะปล่อยให้คนอื่นมาดูถูกสำนักของพวกเราไม่ได้”
“สั่งสอนให้พวกมันได้เห็นสักหน่อย ให้คนของราชวงศ์ตงหวงได้รู้ว่าสำนักหลางซิงของพวกเราแข็งแกร่งมากเพียงใด”
ครืน ครืน ครืน!
ผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดคนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างอันใดจากมดตัวเล็ก ๆ
พวกเขาเป็นฝ่ายถูกไล่ฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว!
เหยียนกล่าว “น้องซีเอ๋อร์ คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายจะพาพรรคพวกมามากมายขนาดนี้ ดูเหมือนพวกเราจะต้องถอยกลับไปก่อนแล้ว”
“จะถอยกลับไปก่อนทำไม? ศิษย์ที่รัก ข้าล่ะคันไม้คันมือจริง ๆ ข้าขอออกไปจัดการคนพวกนั้นได้หรือไม่?” ร่างสีขาวปรากฏขึ้น
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าอนุญาต!”
“ข้าอยากกินของที่ศิษย์ที่รักทำ เมื่อครู่ข้าทำได้เพียงมองดูแต่กินไม่ได้ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”
“ไม่มีปัญหา!”
เมื่อมู่เฉียนซีตระเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว นิรันดร์ก็ได้เข้ามาคลอเคลียแล้วกล่าว “ศิษย์ที่รักข้าอยากให้เจ้าป้อน! ถ้าให้ดีก็ใช้ปากป้อนเลยก็ได้!”
ใบหน้างามเย้าเสน่ห์ได้เข้ามาประชิดเบื้องหน้ามู่เฉียนซี ฉู่หลีจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นิรันดร์ เจ้าจะรู้จักอายบ้างได้หรือไม่!”
“เจ้านั่นมันไม่มีหน้าให้อายแล้ว อย่ามาหยอกเย้าน้องซีเอ๋อร์ของข้านะ” เหยียนกล่าวด้วยท่าทางหงุดหงิดเต็มประดา
มู่เฉียนซีอยากจะหยิบเนื้อย่างมาละเลงหน้าเขานัก นางกล่าว “นิรันดร์ เจ้ากวนใจข้าต่อไปเถอะ แต่ข้ากำลังรีบอยู่ ระวังข้าจะนำเรื่องของเจ้าไปรายงานคอยดู”
นิรันดร์น้อยอกน้อยใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงทำได้เพียงกินอาหารเหล่านั้นด้วยตนเองอย่างละเมียดละไม
ครืน ครืน ครืน!
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในอีกฝั่งหนึ่ง ได้กลายเป็นสงครามที่โหดร้ายทารุณเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวไร้ผู้ใดเทียบเทียมอยู่คนหนึ่ง
ทว่าอีกฝั่งหนึ่งกลับพูดคุยหยอกเย้ากันด้วยท่าทางผ่อนคลาย นั่นจึงทำให้คนของสำนักหลางซิงสังเกตเห็นพวกของมู่เฉียนซีได้ไม่ยาก
“นั่นเหยียนเหลียนเจียนี่ ฆ่าพวกมันให้หมด! คิดไม่ถึงว่านางยังจะกล้ามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่อีก”
“พวกเขายังมีกะจิตกะใจมานั่งกินอาหารอยู่ตรงนั้นอีก คงอยากจะกลายเป็นผีหิวโซล่ะสินะ?”
“……”
ผู้มากความสามารถของสำนักหลางซิงคนนั้นกำลังจัดการคนอื่น ๆ อยู่ ดังนั้นคนของสำนักหลางซิงกลุ่มหนึ่งจึงเตรียมที่จะพุ่งเข้ามาจัดการพวกของมู่เฉียนซี
พลังก็ธรรมดา จำนวนคนก็มีไม่กี่คน พวกเขาคิดหรือว่าการที่จะจัดการกับพวกเขาทั้งสี่คนนี้เป็นอะไรที่ง่ายดายราวกับการปลอกกล้วยเข้าปาก
ร่างสีแดงวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหยียนได้พุ่งขึ้นไปกลางท้องนภาในทันที
“กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง” เสียงกระดิ่งที่ไพเราะเสนาะหูดังขึ้น
เหยียนกระตุกยิ้มมุมปากเผยสีหน้าเย็นชาขึ้น “พวกเจ้าเพียงไม่กี่คนจะมาจัดการพวกข้ารึ พวกเจ้าดูถูกพวกข้ามากเกินไปแล้ว แค่ข้าเพียงคนเดียวก็สามารถจัดการพวกเจ้าได้แล้ว”
ภายในชั่วพริบตา กลิ่นอายของเหยียนก็แผ่ซ่านไปทั่ว!
ราวกับว่าคนเหล่านี้ถูกเหยียนสะกดไว้ก็มิปาน พวกเขาตกลงในหลุมพรางเสน่ห์ ไม่อาจถอนตัวขึ้นได้ เมื่อพวกเขาสามารถดึงสติกลับมาได้แล้วนั้น พวกเขาก็พบว่าร่างกายของพวกเขามีโลหิตไหลซึมออกมา
ปัง ปัง ปัง!
นิรันดร์กล่าวด้วยท่าทางไม่พอใจ “นางปีศาจจิ้งจอก เจ้าจัดการคนพวกนั้นแบบนี้ มือของเจ้าช่างเหม็นกลิ่นคาวเลือดนัก ทำให้ข้ากินไม่ลงไปด้วยเลย!”