ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 368 เสแสร้งแกล้งว่าทำลายได้
ศิษย์ที่มีจิตใจไม่ดีของหุบเขาหมอเทวดาเหล่านี้ มู่เฉียนซีเลือกหนทางให้พวกเขาแล้วนั่นก็คือความตาย
แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ไม่อาจลงมือฆ่าสังหารได้โดยตรงเหมือนสามกลุ่มแรกที่ผ่านมา นางต้องอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาไว้แล้วค่อยจับปลาใหญ่ จากนั้นก็ค่อย ๆ คิดหาวิธีฉวยเอาม้วนไม้ไผ่โบราณม้วนที่สามนั้นมาให้ได้
มู่เฉียนซีได้ยินข่าวสำคัญมาข่าวหนึ่ง ศิษย์พี่สี่ก็ได้ยินข่าวนี้มาเช่นกัน
“มู่ซี ข้าได้ยินมาว่าที่หน้าผาสูงชันทางทะเลมีเกาะอัคคีลึกลับอยู่เกาะหนึ่ง ที่นั่นมีผลเก้าอัคคีที่กำลังจะเจริญเติบโตอยู่ ผลเก้าอัคคีนี้ไม่จำเป็นต้องนำมาหลอมเป็นยาวิญญาณก็สามารถกินได้เลย สรรพคุณของมันช่วยเลื่อนระดับพลังวิญญาณไปเป็นขั้นราชาได้ ช่างพอดีจริง ๆ เวลานี้เจ้าเป็นปรมาจารย์ภูตระดับเก้า เหมาะที่จะใช้ผลเก้าอัคคีนี้ที่สุด” ศิษย์พี่สี่กล่าว
“ได้ เช่นนั้นเรารีบออกเดินทางไปเก็บเอาผลเก้าอัคคีที่นั่นกันเถอะ” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความตื่นเต้น นางไม่รอช้า เรียกให้พวกเขาออกเดินทาง
การกระทำนี้เป็นการทำให้เหล่าบรรดาศิษย์ของหุบเขาหมอเทวดาผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือผู้ใดกรุ่นโกรธแทบกระอักเลือด เขาเป็นเพียงแค่เด็กเมื่อวานซืนผู้หนึ่งเท่านั้น มีสิทธิ์อะไรมาชี้นิ้วสั่งพวกเขาเช่นนี้
โอหังนัก!
ศิษย์พี่สี่นามว่าไป๋เหรินกัดฟันกล่าว “ได้ เช่นนั้นพวกเราออกเดินทาง”
การที่เขาไปเกาะอัคคี แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะผลเก้าอัคคี แต่เป็นเพราะท่านอาจารย์ได้บอกกับเขาว่าเกาะอัคคีลึกลับแห่งนี้เป็นสถานที่ลึกลับควรค่าแก่การไปสำรวจดูสักหน่อย บางทีหม้อเทพนิรันดร์อาจจะอยู่ในที่แห่งนั้นก็เป็นได้
ข่าวเรื่องผลอัคคีกำลังจะเจริญเติบโตขึ้นในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่มู่เฉียนซีกับพวกเขาเท่านั้นที่รู้ ผู้แข็งแกร่งหลาย ๆ คนก็รับรู้เช่นเดียวกัน เหล่าคนที่รู้ข่าวรีบพากันออกเดินทางไปที่เกาะอัคคีทันทีด้วยเพราะหวังจะได้ผลเก้าอัคคีนั้นมาครอง
กลุ่มของมู่เฉียนซีกล้าหาญและแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นอกจากมู่เฉียนซีที่เป็นปรมาจารย์ภูต คนอื่น ๆ ในกลุ่มทั้งหมดล้วนแต่เป็นจักรพรรดิแห่งภูตกันทั้งสิ้น รอบ ๆ กายพวกเขาไม่มีผู้ใดกล้ามาล่วงเกินพวกเขาเลย
ทว่าตลอดการเดินทาง มู่เฉียนซีใช้อำนาจบาตรใหญ่ อาศัยความแข็งแกร่งของเหล่าบรรดาศิษย์ของหุบเขาหมอเทวดานี้ล่วงเกินคนอื่น ๆ หลายคนจนทำให้พวกเขาเกิดความขุ่นเคืองใจ
เหล่าบรรดาศิษย์หุบเขาหมอเทวดาโกรธเกรี้ยวจนใบหน้าเขียวปั้ด เจ้าเด็กบ้าผู้นี้เห็นพวกเขาเป็นผู้ติดตามหรืออย่างไร เที่ยวคุยโวโอ้อวดไปทั่ว ทำตัวไร้เหตุผลน่าฆ่าให้ตายเสียจริง!
มู่เฉียนซีทำตัวหยิ่งยโสไม่รู้จักวางตัวเอาเสียเลย ทำให้ไป๋เหรินผู้เป็นศิษย์พี่สี่ที่แสร้งทำตัวดีมาโดยตลอดแทบจะทนฝืนไว้ไม่ไหว เขาตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้วว่าหลังจากที่สำรวจเกาะอัคคีลึกลับนี้เสร็จสิ้น เขาจะต้องควบคุมเจ้าเด็กบ้าผู้นี้ จะต้องบีบบังคับถามความเป็นมาของกระบี่เล่มนั้นและเอากระบี่สนิมเล่มนั้นมาครอบครองให้จงได้
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงเกาะอัคคีลึกลับได้อย่างราบรื่น ในขณะเดียวกันก็ได้เห็นว่ามีผู้คนมากมายอยู่รอบ ๆ เกาะ พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้เลือกที่จะเข้าไปในเกาะอัคคีลึกลับทันทีที่มาถึง แต่เลือกที่จะดูลาดเลาก่อน
มู่เฉียนซี “เหตุใดพวกเจ้ายังมัวแต่ยืนซื่อบื้ออยู่เล่า ? รีบเข้าไปเซ่!”
ไป๋เหริน “เกาะอัคคีแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเปลวไฟ หากพรวดพราดเข้าไปตอนกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ ผู้ที่ไม่มีพลังวิญญาณถึงขั้นจักรพรรดิมีหวังโดนกลิ่นอายเปลวไฟกลืนกินและต้องตายอย่างน่าสังเวช มีเพียงยามราตรีเท่านั้นที่เปลวไฟจะอ่อนลง ตอนนั้นจึงจะเป็นเวลาเหมาะที่จะเข้าไป”
ต่อให้อยู่ในระดับจักรพรรดิ หากเข้าไปกลางวันแสก ๆ ก็สามารถโดนกลิ่นอายของเปลวไฟแผดเผาจนสูญเสียพลังวิญญาณไปมากได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะเข้าไปในตอนกลางคืน
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าวขึ้น “เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“มู่ซี เจ้าโชคดีที่มากับพวกข้า มิเช่นนั้นเจ้าคงได้ตายมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านดินไปแล้ว” ศิษย์ผู้หนึ่งของหุบเขาหมอเทวดากล่าวเย้ยหยันอย่างไม่ไว้หน้า
มู่เฉียนซี “พวกเจ้าเป็นผู้ติดตามข้าก็ต้องรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ ข้ามีหน้าที่เพียงแค่เอาของล้ำค่าเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเหตุใดข้าจะต้องให้พวกเจ้าติดตามข้ามาด้วยเล่า ?”
“เจ้าคิดว่าพวกข้าเต็มใจติดตามเจ้ารึ ?! หากไม่ใช่เพราะ…” ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวจุดประสงค์ของเขาออกมา ทันใดนั้นไป๋เหรินก็กล่าวแทรกขึ้น
“พอได้แล้ว มู่ซีเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา พวกเราได้พบกันรู้จักกันนับว่าเป็นสหายกัน ต้องปกป้องเขาให้ดี ๆ”
“ศิษย์พี่สี่กล่าวถูกต้องแล้ว”
มู่เฉียนซีลอบคิดในใจ ‘มู่ซีเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา เหอะ! เจ้าคนผู้นี้ก็กล้ากล่าวโป้ปดได้เต็มปาก ความจริงจากก้นบึ้งหัวใจคงจะคิดว่าข้าเป็นคนโง่งมกระมัง ?!’
พวกเขาพักผ่อนกันที่ชายหาด แสงจันทร์สาดทอลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน ในที่สุดยามรัตติกาลที่รอคอยก็มาถึง
— ฟึ่บ! —
ร่างนับไม่ถ้วนพุ่งพรวดเข้าไปในเกาะอัคคีลึกลับ ทว่ามู่เฉียนซีกำลังอยู่ในท่วงท่าอาการที่เชื่องช้า
“มู่ซี เจ้าชักช้าอยู่ใย ? รีบไปสิ เจ้าไม่อยากได้ผลเก้าอัคคีเพื่อนเลื่อนเป็นระดับราชาแล้วรึ ?”
“อยาก ข้าต้องอยากเลื่อนขั้นแน่นอน” มู่เฉียนซีรีบพรวดเข้าไปในเกาะอัคคีลึกลับทันที
คนของหุบเขาหมอเทวดารีบตามไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกเขามองมู่เฉียนซีที่พุ่งเข้าไป พวกเขาก็กล่าวดูถูกเหยียดหยาม “เป็นเพียงปรมาจารย์ภูตแท้ ๆ รีบพรวดพราดไปเช่นนั้นไม่กลัวคนฆ่าตายรึ ? โง่เง่าโดยแท้”
ใบไม้ที่มีกลิ่นอายร้อนดั่งเปลวไฟพลิ้วไหวพัดไปตามสายลม ถึงแม้ว่าจะเป็นยามรัตติกาล แต่กลิ่นอายความร้อนของเปลวไฟนั้นก็ทำให้พวกเขาหนักใจอยู่มากเช่นกัน
ไป๋เหรินกับคนอื่น ๆ มีพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไปเป็นไร มู่เฉียนซีซึ่งเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์ภูต นางคงจะต้องเสแสร้งสักเล็กน้อย อันที่จริงแล้วกลิ่นอายเปลวไฟนี้ก็เป็นพิษชนิดหนึ่งนั่นเอง นางทราบดี…
พิษนี้นางสามารถกำจัดมันได้อย่างง่ายดาย และง่ายดายเสียยิ่งกว่าจักรพรรดิแห่งภูตเหล่านี้อีกด้วย
ไป๋เหรินเห็นเม็ดเหงื่อนับไม่ถ้วนผุดขึ้นบนหน้าผากของ ‘มู่ซี’ เขาจึงหยิบเอายาวิญญาณออกมาเม็ดหนึ่ง “มู่ซี นี่เป็นยาหนิงหาน ข้าให้เจ้ากิน จะช่วยทำให้เจ้ารู้สึกเย็นและสดชื่นขึ้น”
มู่เฉียนซี “อืม”
ยานี้เป็นยาวิญญาณระดับเจ็ด นางไม่คิดเลยว่าเขาจะลงทุนมอบยาล้ำค่านี้ให้ เหล่าบรรดาศิษย์น้องเห็นเช่นนี้แล้วก็อิจฉาริษยามู่เฉียนซีเป็นอย่างมาก ศิษย์พี่สี่ยังไม่เคยใจกว้างกับพวกเขาถึงเพียงนี้เลย
ในขณะที่มู่เฉียนซีกินยาหนิงหานนี้ นางก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขาทำอะไรบางอย่างไว้กับยาเม็ดนี้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับนาง
หลังจากที่มู่เฉียนซีกินยาระดับเจ็ดนี้ไป ไป๋เหรินท่าทางสบายใจมากขึ้น ดูเหมือนว่ามู่เฉียนยังคงเป็นอาหารมื้อใหญ่ของเขา เป็นเจ้าหนุ่มน้อย ๆ ที่ไร้ซึ่งทางหลบหนีจากเงื้อมมือของเขา
หลังจากที่กินยาระดับเจ็ดนี้ไป มู่เฉียนซีก็แสดงท่าทางสบาย ๆ แต่กลับมีบางอย่างเกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา
“ศิษย์พี่สี่ เหตุใดพวกเราถึงได้อยู่ที่เดิม ?” ศิษย์น้องผู้หนึ่งกล่าวถามด้วยความสงสัย
มู่เฉียนซีตกใจขึ้นมา สีหน้านางพลันเปลี่ยนไป “ข้าก็รู้สึกแปลกพิกลเช่นกัน พวกเราอยู่ที่เดิม หรือว่าพวกเราเจอผีสางเข้าให้แล้ว!” ท่าทางการแสดงออกของมู่เฉียนซียิ่งทำให้พวกเขาดูถูกดูแคลน เด็กหนุ่มผู้นี้ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เจอผีสาง! เขากล่าวออกมาได้อย่างไรกัน ?
“ศิษย์พี่สี่ ในเมื่อรู้แล้วว่านี่เป็นค่ายกล แล้วเราจะทำลายค่ายกลนี้อย่างไรกันดีรึ ?”
ศิษย์พี่สี่ “ให้ข้าศึกษาสักเล็กน้อย พวกเจ้าก็รู้ดีว่าข้าร่ำเรียนวิชาปรุงยามาโดยตลอด สำหรับค่ายกลนี้ ไม่มีอะไรที่เหนือไปกว่าการร่ำเรียนมาของข้า”
“พวกเราเชื่อว่าศิษย์พี่สี่ต้องมีวิธีแน่นอน”
รอยยิ้มบางของมู่เฉียนซีปรากฏขึ้นเล็กน้อย พวกเขายกย่องในความสามารถของศิษย์พี่สี่ผู้นี้มาก หากศิษย์พี่สี่ผู้นี้คิดหาวิธีทำลายค่ายกลนี้ไม่ได้ คงจะสนุกไม่น้อย
แน่นอนว่าไป๋เหรินทำอะไรค่ายกลนี้ไม่ได้ เขาเป็นนักปรุงยา ไม่ใช่นักแก้ค่ายกล เขาเริ่มกลัดกลุ้มใจขึ้นมาเล็กน้อย หากรู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาก็คงจะพานักค่ายกลออกมาด้วย
“ศิษย์พี่สี่ หากพวกเราถูกขังอยู่ในค่ายกลนี้ต่อไปจนถึงรุ่งสาง เราจะลำบากเอาได้นะขอรับ”
“ศิษย์พี่สี่ หรือว่าเราควรขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ ?”
ศิษย์พี่สี่ทอดถอนใจ “แต่ละคนย่อมมีด้านเก่งที่ไม่เหมือนกัน เวลานี้ข้ายังเข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลไม่มากพอ ข้าคิดว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อย่าไปรบกวนท่านอาจารย์จะดีกว่า ข้าจะหาทางทำลายค่ายกลนี้ให้ได้ด้วยตัวข้าเอง”
.
.
.
Related