ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 416 เจ้าสำนักในอนาคต
ในขณะที่มู่เฉียนซีเข้าไปใกล้ผลร้อยวิญญาณ นางรู้ดีว่าจะต้องเจอกับการโจมตีของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องผลร้อยวิญญาณนี้ แต่มู่เฉียนซีก็ได้เตรียมตัวรับมือเอาไว้แล้ว
นางโยนยาวิญญาณเม็ดสีขาวออกไปเม็ดหนึ่ง เมื่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้กลิ่นยานั้นมันก็เข้าไปกัดกินยาวิญญาณทันที จากนั้นมันก็ไม่สนใจมู่เฉียนซีเลยแม้แต่น้อย
นี่มัน……
ร่างชุดม่วงเดินเข้าไปเก็บผลร้อยวิญญาณผลนั้นมาอย่างง่ายดาย หลังจากที่นางเดินออกมาอย่างปลอดภัย อวิ๋นฮวา หนานเฉาและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจผงะกันไปครู่หนึ่ง
หนานเฉากล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า “แม่นางเฉียน ยาวิญญาณเม็ดนั้นของเจ้า……เอ่อ……ยาวิญญาณเม็ดนั้นของเจ้าอย่างน้อยก็คงจะเป็นยาวิญญาณระดับสูงใช่หรือไม่! ”
สรรพคุณดีเลิศเช่นนั้น ลักษณะของยาเม็ดนั้น อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมอบอวลเช่นนั้น เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะไม่ใช่ยาระดับสูง
มู่เฉียนซีกล่าว “ใช่! ยาระดับแปด สัตว์วิญญาณชอบของเหล่านี้”
“ยะ ยาระดับแปด! ” หนานเฉาได้ยินว่ายาระดับแปดก็ตกใจจนแทบจะเป็นลม ส่วนอวิ๋นฮวาก็ตกใจจนมุมปากกระตุกขึ้น เอายาระดับแปดมาให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กิน บ้าไปแล้ว!
เขามักจะคิดอยู่เสมอว่าสำนักอวิ๋นเยียนของเขานั้นเป็นสำนักนิกายระดับหนึ่ง หนึ่งเดียวในเซี่ยโจว อีกทั้งเขายังเป็นถึงหัวหน้าศิษย์แห่งสำนัก เขามีทรัพยากรที่ดีที่สุดในเซี่ยโจวและสามารถใจกว้างได้อย่างเชิดหน้าชูตาเสมอ แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับสาวน้อยผู้นี้แล้วช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
โดยปกติแล้ว ยาระดับแปด อวิ๋นฮวาไม่กล้าเอาออกมาใช้เองด้วยซ้ำเพราะความเสียดาย อย่าว่าแต่เอาให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลย แต่นางกลับทำได้เช่นนี้ อีกทั้งยังดูนิ่งสงบ ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
ส่วนหนานอินก็รู้สึกมีความทุกข์สุมทรวงอยู่บ้าง นี่มันยาระดับแปดเชียวนะ! ยาระดับแปดแม้แต่โอกาสที่จะสัมผัสมันนางยังไม่มีโอกาสนั้นเลย!
พฤติกรรมที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ของมู่เฉียนซีทำให้อวิ๋นฮวาต้องมองมู่เฉียนซีอย่างละเอียดถี่ถ้วนใหม่อีกครั้งแล้ว
อวิ๋นฮวาแอบคิดในใจ หรือว่าในเซี่ยโจวจะมีตระกูลที่แอบซ่อนตัวอยู่ ไม่ให้สำนักอวิ๋นเยียนของพวกเขารู้ แล้วสาวน้อยผู้นี้ก็น่าจะมาจากตระกูลนั้น มิเช่นนั้นนางไม่มีทางทำเรื่องฟุ่มเฟือยเช่นนี้ได้แน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเจ้ามองหน้าข้าทำไม? ข้าได้ผลร้อยวิญญาณที่ข้าตามหาเจอแล้ว ข้าจะกลับ งั้นเราแยกกันตรงนี้เลยก็แล้วกัน! ”
นางกำลังจะจากไป! จะจากไปง่าย ๆ เช่นนี้ได้ยังไง ตลอดการเดินทางมาเขาได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำดีกับนางเพื่อให้นางพอใจ ตอนนี้เขายังไม่ได้รับผลประโยชน์ใดใดเลยแล้วจะปล่อยให้นางจากไปเช่นนี้นะเหรอ ช่างเป็นการสูญเสียที่ใหญ่หลวงนัก
อวิ๋นฮวากล่าว “สาวน้อยซี ข้าได้ยินมาว่าในหุบเขามรณะแห่งนี้มีสมุนไพรล้ำค่าไม่น้อยเลย ไหน ๆ เราก็ลำบากลำบนมาถึงที่นี่แล้ว เราหาสมุนไพรวิญญาณอย่างอื่นเพิ่มอีกดีหรือไม่? หากปล่อยให้เจ้าเดินทางเพียงลำพังในหุบเขามรณะแห่งนี้ ข้าไม่สบายใจเอาซะเลย”
มู่เฉียนซีกล่าว “ถึงแม้ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะน่ากลัว แต่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ตะกละอย่างเช่นตัวนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย อีกอย่างข้าก็มีวิธีรับมือของข้า ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ากังวลใจ! ”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ถึงกับตกใจอีกครั้ง นางคงจะไม่ใช้ยาวิญญาณอันล้ำค่าป้อนให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กินอีกหรอกกระมัง!
อวิ๋นฮวากล่าว “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องผลร้อยวิญญาณค่อนข้างโอนอ่อนผ่อนตามก็เพราะยาวิญญาณเม็ดนั้นสามารถปลอบขวัญมันได้ ใช่ ก็จริง แต่ที่นี่คือหุบเขามรณะนะ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทุกตัวใช่ว่าจะเหมือนกันกับตัวนี้ ดังนั้นข้าว่าเรากลับไปพร้อมกันจะดีกว่า”
“ไม่! ข้าจะแยกกันตรงนี้”
สีหน้าของอวิ๋นฮวาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “สาวน้อยซี เจ้าหยุดหัวแข็งได้แล้ว เจ้าคงไม่อยากผิดบังพลังวิญญาณของตัวเองหรอกใช่ไหม”
ไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผลก็ต้องใช้ไม้แข็งแล้วหล่ะ มู่เฉียนซีแสดงท่าทางที่เฉยเมยเขามาก นางเริ่มจะหมดความอดทนกับอวิ๋นฮวาแล้ว เจ้าหมอนี่ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก!
แต่อดทนอยู่ต่ออีกสักหน่อยก็ได้! นางต้องหาวิธีสลัดออกจากพวกเขาได้แน่ มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าว “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้แล้วข้าจะทำอะไรได้อีกล่ะ”
“สาวน้อยซี แบบนี้สิถึงจะถูก” สีหน้าของอวิ๋นฮวากลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง
“เชอะ! ” หนานอินไม่พอใจเล็กน้อย
“พี่ใหญ่อวิ๋นเป็นห่วงเจ้า เจ้ายังจะวางมาดใหญ่โตอีก พี่ใหญ่อวิ๋นเป็นถึงหัวหน้าศิษย์สำนักอวิ๋นเยียน ในอนาคตอาจจะได้เป็นถึงเจ้าสำนักอวิ๋นเยียน มีผู้หญิงมาชอบพี่ใหญ่อวิ๋นตั้งมากมายเท่าไหร่ คนอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร”
เจ้าสำนัก เมื่ออวิ๋นฮวาได้ยินคำนี้เข้าก็ดูเหมือนว่าเขาจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ และทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หนานเฉากล่าวดุน้องสาวตัวเองว่า “อินอิน หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้ เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจพูดซี้ซั้วออกไปได้”
หนานอินรู้สึกน้อยใจจนดวงตาแดงก่ำ “ฮือ! ข้าพูดอะไรผิด? ก็มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ! อวิ๋นเฟิ้งผู้นั้นต่อให้เก่งกาจแค่ไหนแต่นางก็เป็นหญิงอยู่ดี ต่อไปนางก็ต้องออกเรือน นางจะสืบทอดรับตำแหน่งเจ้าสำนักได้ยังไงกัน? ”
สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสแห่งสำนักอวิ๋นเยียนแตกต่างกันไป แต่อวิ๋นฮวาในตอนนี้กำหมัดแน่นจนมือสั่น
หนานเฉาได้ยินคำพูดนี้ก็จ้องมองไปที่น้องสาวตัวเองด้วยสายตาที่ดุดัน มีเรื่องมากมายให้พูดไม่ยอมพูด ดันมาพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดออกมา!
อวิ๋นฮวาพยายามเก็บอารมณ์และความรู้สึกนั้นเอาไว้ จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “ศิษย์น้องเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถสูงมาก อีกทั้งยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอาจารย์ นางต้องเป็นคนที่เจ้าสำนักเลือกอยู่แล้ว อีกอย่างในใต้หล้านี้ ไม่มีบุรุษคนใดที่เหมาะสมและคู่ควรที่จะได้แต่งกับนาง”
หญิงสาวผู้นั้นนิสัยก็เหมือนกับชื่อของนางนั่นแหละ เป็นหงส์ที่หยิ่งยโส ไม่ว่าชายใดก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเลย
เขาก็เป็นคนหนึ่งที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้ใจนาง หวังเพื่อตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่เขากลับถูกนางทำให้อับอายขายหน้าต่อหน้าคนในสำนักอย่างไร้ความปรานี เมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้น อวิ๋นฮวาก็โกรธจนหน้าดำคล้ำเขียว
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มมุมปากขึ้น ดูเหมือนว่าเรื่องมันชักจะสนุกขึ้นเรื่อย ๆ แล้วหล่ะ หัวหน้าศิษย์แห่งสำนักอวิ๋นเยียนผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกกับอวิ๋นเฟิ้งสักเท่าไหร่! เสือสองตัวย่อมอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เขาเป็นถึงหัวหน้าศิษย์ในสำนักแต่กลับถูกอวิ๋นเฟิ้งกดหัวอยู่ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้อวิ๋นเฟิ้งทะลวงพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตได้ก่อนอายุสามสิบด้วยแล้ว ความหวังในการได้เป็นเจ้าสำนักของเขาก็คงจะพังทลายลงแล้ว
มิน่าล่ะว่าทำไมเขาถึงได้ดันทุรังจะไปเจดีย์เทพของตระกูลเทพหนานอู้ให้ได้ ก็เพราะว่าพลังของเจดีย์เทพนั้นสามารถเพิ่มพลังวิญญาณให้เขาได้อย่างรวดเร็วที่สุด วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ความพ่ายแพ้ของเขากลับมาชนะได้อีกครั้ง
ศัตรูของศัตรูก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นมิตรทั้งหมด อย่างเช่นคนอย่างอวิ๋นฮวาผู้นี้ เขามีความคิดที่ลึกซึ้งเกินไปไม่ต่างอะไรกับคนอย่างอวิ๋นเฟิ้ง เพราะฉะนั้นอยู่ห่าง ๆ เขาไว้จะดีกว่า
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ข้าได้ยินชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นเยียนมานานว่านางเป็นคนดีเลิศ แม้แต่อวิ๋นฮวาเองก็ยังกล่าวเช่นนี้ ดูเหมือนว่านางคงจะเก่งกาจสมคำร่ำลือจริง ๆ! ”
อวิ๋นฮวายิ้มพลางกล่าว “ศิษย์น้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงมาก แต่จะว่าไป สาวน้อย พรสวรรค์เจ้าก็ไม่ได้อ่อนด้อยเลยนะ อีกอย่างสาวน้อยก็หน้าตาดีกว่านางซะด้วย ความสามารถก็ดีกว่า เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องอิจฉาใครไปหรอกนะ”
อวิ๋นฮวามองหน้ามู่เฉียนซี อวิ๋นเฟิ้งจะเก่งกาจสักแค่ไหน? คอยดูเอาเถอะ สักวันหนึ่งเขาจะต้องเหยียบนางให้ได้ ให้นางมาเป็นทาสรับใช้ เป็นนางบำเรอ ให้นางเป็น……
ดวงตาของอวิ๋นฮวาเผยให้เห็นความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด เขายังไม่รู้จักนางดีพอ แต่ตอนนี้เขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังมีไพ่เด็ดอยู่ในมือ!
และไพ่เด็ดที่เขาหมายถึงนั้น แน่นอนว่าคืออัจฉริยะอย่างมู่เฉียนซีนั่นเอง
หนานอินรู้สึกว่าตอนนี้นั้นอวิ๋นฮวาดูน่ากลัวมาก ส่วนหนานเฉานั้นคุ้นชินไปแล้ว เขามีความสามารถเป็นถึงหัวหน้าศิษย์ของสำนักเช่นนี้ เขาไม่ใช่คนอ่อนโยนอย่างที่กำลังแสดงอยู่ตอนนี้แน่นอน
และตราบใดที่แคว้นหนานเถิงช่วยสนับสนุนให้อวิ๋นฮวาได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก แคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเซี่ยโจวก็ไม่ใช่แคว้นเฉียนเซี่ยอีกต่อไป แต่เป็นแคว้นหนานเถิงต่างหาก
พวกเขาแต่ละคนนั้นมีความทะเยอทะยานมาก มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ในเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจจะไปหาสมุนไพรวิญญาณอื่นอีก งั้นก็รีบไปกันเถอะ! รีบหาข้าจะได้รีบกลับ! ”
หนานอินกล่าว “เจ้าคิดว่ามีแค่เจ้าคนเดียวเหรอที่อยากกลับ? แต่เพื่อพี่ใหญ่อวิ๋นแล้ว ต่อให้ลำบากลำบนมากกว่านี้ข้าก็เต็มใจจะออกเดินทางต่อ ไม่เหมือนเจ้าหรอก! ”