ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 622 กลายเป็นศัตรูในหมู่คน
“เจ้าเป็นใคร ?” มู่เฉียนซีหรี่ตาถาม
“สหายมู่เฉียนซี ข้านั้นเป็นนักเรียนห้องเรียนระดับกลางเช่นเดียวกับเจ้า ชื่อว่าซู่ซินเซี่ย ข้าอายุมากกว่าเจ้า เจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวซู่ก็ได้” ซู่ซินเซี่ยนั้นทำเหมือนกับว่านางเป็นพี่สาวที่น่ารักใจดีผู้หนึ่ง นางกล่าวพร้อมยิ้มให้มู่เฉียนซีอย่างอ่อนโยน
“ศิษย์พี่ พ่อของข้ามีลูกเพียงคนเดียวคือข้า ข้าไม่มีความเคยชินที่จะเรียกผู้อื่นว่าพี่สาว ต้องขอโทษด้วย”
ซู่ซินเซี่ยยังคงกล่าวกับมู่เฉียนซีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไรสหายมู่ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
นางยกกล่องขึ้นมากล่องหนึ่งแล้วกล่าว “นี่เป็นขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ข้าทำมา สหายมู่นำมันไปให้อาจารย์หวงได้หรือไม่ ? ขนมนี้เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า”
มู่เฉียนซีมองดูซู่ซินเซี่ยอย่างพิจารณา “ศิษย์พี่ ข้านั้นไม่ได้สนิทสนมกับท่าน อาจารย์หวงจิ่วเยี่ยของข้าก็ยิ่งไม่ได้สนิทสนมกับท่าน ขนมเหล่านี้นำกลับไปไว้กินเองเถิด”
ซู่ซินเซี่ยรู้สึกประหม่าอย่างที่สุด “ข้า… คือว่าข้าชอบในตัวท่านอาจารย์หวงจิ่วเยี่ยอย่างมากจริง ๆ ข้าไม่แย่งเขาไปจากสหายมู่หรอก แต่ข้าเพียงแค่อยาก…”
“สหายมู่เฉียนซีรับขนมเอาไว้เถอะนะ”
ซู่ซินเซี่ยพยายามยัดเยียดนำกล่องขนมใส่ในมือมู่เฉียนซี ทว่ามู่เฉียนซีหลบออกไป
— ตุบ! —
กล่องขนมนั้นร่วงไปบนพื้นอย่างน่าเวทนา ขนมที่ทำอย่างประณีตด้านในกล่องกลิ้งหลุน ๆ ออกมา หยาดน้ำตาใสกลมสว่างเหมือนดั่งไข่มุกก็ได้ไหลพรากออกมาจากหางตาซู่ซินเซี่ยทันที
“ฮือ ๆ ๆ สหายมู่เฉียนซี ข้าแค่อยากให้เจ้าเอาขนมไปส่งให้ก็เท่านั้นเอง ทำไมเจ้าถึงได้โกรธและทำให้กล่องขนมของข้าตกแตกกระจายเช่นนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าทำตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืนเชียวนะ”
“แต่สหายมู่เฉียนซี เจ้าอย่าได้โทษตัวเองเลย ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้าคนเดียว ฮือ ๆ ๆ”
ซู่ซินเซี่ยทำท่าทางน่าสงสาร นางร้องไห้ปนสะอึกสะอื้นจนหายใจไม่สะดวก ในตอนนี้เอง เสียงโกรธเกรี้ยวเสียงหนึ่งดังลอยมา
“มู่เฉียนซี จะมากเกินไปแล้ว ห้องเรียนระดับกลางมิใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาทำตัวโอหังได้ แต่เจ้ากลับมารังแกแม่นางซู่”
“เจ้ากล้าทำลายเจตนาดีของแม่นางซู่ถึงเพียงนี้ รนหาที่ตายชัด ๆ”
“เอ่อ…” มู่เฉียนซีนิ่งอึ้งไป ‘อะไรกัน แม่นี่เป็นสตรีคนโปรดของเหล่าผู้คนงั้นรึ ? นางวิเศษวิโสมาจากไหนทำไมข้าถึงรังแกไม่ได้ ?’
ซู่ซินเซี่ยร้องไห้อย่างน่าสังเวช พอดีกับที่จังหวะนั้นมีเหล่าคนที่ตั้งตนเสมือนเป็นองครักษ์คอยปกป้องนางโผล่มาพอดี แน่นอนว่าผู้ที่ก้าวออกมาจะได้เล่นบทเป็นวีรบุรุษผู้พิทักษ์สาวงาม
ซู่ซินเซี่ยได้ทีรีบกล่าว ทำตัวเป็นนางเอกน่าสงสาร “ไม่เป็นไร ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้าเอง”
“แม่นางซู่จิตใจดีเกินไป เห็นชัด ๆ ว่านางเด็กมู่เฉียนซีทำให้ขนมที่แม่นางซู่ตั้งใจทำมาทั้งวันทั้งคืนหล่นเสียหายเช่นนั้น แล้วยังจะไปแก้ตัวแทนนางอีกทำไมกัน ?”
“ยังไงพวกเราก็ต้องจัดการหญิงโหดร้ายหยิ่งยโสที่ไม่เห็นหัวใครในสายตานางนี้ให้ได้” “ใช่ ๆ ๆ”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “จัดการเรอะ ? ไม่ทราบว่าเจ้าจะจัดการกับข้ายังไงดีล่ะ ? จะเอาสิบมารุมหนึ่งในที่แห่งนี้รึยังไง ?”
“พวกเราเป็นบุรุษ มิชอบวิธีการอย่างเช่นรุมโจมตีเจ้าเพียงผู้เดียวให้เสียศักดิ์ศรีอยู่แล้ว เจอกันที่เวทีประลองขั้นปฐพี เจ้ากล้าไปไหมล่ะ ?”
“เจ้าเพิ่งได้มาอยู่ที่ห้องเรียนระดับกลางนี้เพราะโชคดีได้มีอาจารย์พิเศษส่วนตัว พวกเรายังไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับเจ้าดี ๆ เลย เช่นนั้นมาทำความรู้จักกันด้วยการประลองยุทธ์หน่อยเป็นไง ?”
มู่เฉียนซีพยักหน้า ดวงตานางไม่มีความกลัวแฝงอยู่เลยก็ว่าได้ “ได้ ข้ายินดีเป็นคู่ต่อสู้ให้อยู่แล้ว” ตอนนี้นางทะลวงพลังเข้าขั้นจักรพรรดิแล้ว ทักษะเทียนซวนอันทรงพลังนั้นก็สมบูรณ์มากขึ้นทุกทีเพราะมีจิ่วเยี่ยคอยชี้แนะให้อย่างดี นางไปลานประลองเพื่อลองประมือกับพวกนี้ จะได้ทำให้อันดับมั่นคงสักหน่อยก็เป็นเรื่องไม่เลว
ในตอนนี้เอง ซู่ซินเซี่ยที่กำลังก้มหน้าอยู่เผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมาพลางคิดร้ายในใจ ‘เจ้าโง่มู่เฉียนซี ในเมื่อพูดดี ๆ ไม่ยอมต้องให้ใช้กำลังรุนแรงเข้าว่า เช่นนั้นก็อย่าได้หาว่าข้ามิเกรงใจ’
เมื่อมาถึงเวทีประลองระดับปฐพี หนึ่งในพวกเขาถามขึ้นว่า “สหายมู่เฉียนซี ในบรรดาหมู่พวกเราเจ้าอยากเลือกประลองกับผู้ใดในครั้งนี้ ?”
มู่เฉียนซีตอบแทบไม่ต้องคิด “ยังจะถามอีก แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ของพวกเจ้าสิ ส่งออกมาได้เลย”
ชายร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินออกมากล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง “เจ้านี่โอหังอย่างที่นึกไว้เลยเชียว ดี! เช่นนั้นข้าจะสู้กับเจ้าสักครา ให้เจ้าได้รู้ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงมันเป็นยังไง” ในบรรดาผู้ตั้งตนเป็นองครักษ์พิทักษ์สาวงามกลุ่มนี้ของซู่ซินเซี่ย ผู้แข็งแกร่งที่สุดจัดอยู่ในอันดับที่เก้าสิบเก้าของการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ พลังความสามารถของเขาคือจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับสี่ นามของเขาคือ—เย่อี้
ข่าวสารที่ว่าทั้งสองตกลงประลองกันกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
มีผู้กล่าวถึงเรื่องของเย่อี้และมู่เฉียนซีว่า “นั่นมิใช่ว่าเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งขึ้นมาจากห้องเรียนระดับล่างด้วยการได้อันดับที่หนึ่งหรอกรึ ?”
“เข้ามาเรียนอยู่เพียงเดือนเดียวกลับสามารถเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นนักเรียนของห้องเรียนระดับกลางได้ พลังความสามรถของศิษย์น้องผู้นี้จะต้องไม่เลวแน่ ๆ”
“แต่ทำไมจู่ ๆ เย่อี้ถึงไปตกลงประลองกับนางได้เล่า”
“เรื่องนี้เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว ได้ยินมาว่าเจ้าเด็กใหม่นั่นอาศัยว่าตนมีหน้าตาอันสวยงามและมีพรสวรรค์สูงส่ง ตอนนั้นนางยังมิได้ขึ้นไปเรียนห้องเรียนระดับกลางด้วยซ้ำ แต่ก็ผลักแม่นางซู่ตกลงมาจากชั้นหกของห้องตำรา มาวันนี้ยิ่งโอหังมากขึ้นกว่าเก่า นางโยนขนมที่แม่นางซู่ทำขึ้นมาตกพื้นเละเทะไปหมด”
“แม่นางซู่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในห้องเรียนระดับกลางของพวกเรา นางเด็กใหม่นั่นกล้าดียังไงมาทำเช่นนั้น เย่อี้เจ้าไสหัวลงมานี่เลย ข้าต้องการเป็นผู้แก้แค้นให้กับแม่นางซู่ของพวกเราเอง”
“ข้าเองก็อยากแก้แค้นให้แม่นางซู่ด้วยเช่นกัน”
เพราะมีคนคอยตีน้ำให้กระเพื่อมอยู่หลังม่านว่ามู่เฉียนซีนั้นเป็นผู้ร้ายที่คอยรังแกหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งห้องเรียนระดับกลาง จึงทำให้ศิษย์ชายหลายคนที่อยู่รอบสนามประลองล้วนแต่โกรธเกรี้ยวขึ้นมา
ความเป็นที่นิยมของซู่ซินเซี่ยนั้นสูงยิ่งนัก กอปรกับนางเป็นผู้มีนิสัยอ่อนโยนและจิตใจดีเสมอมาในสายตาของผู้อื่นอีก
แม้ว่ารูปลักษณ์ของมู่เฉียนซีจะดีกว่านาง ก็กลับมิได้ได้ใจผู้อื่นเช่นนาง อีกทั้งมู่เฉียนซียังเพิ่งได้ขึ้นมาเรียนห้องเรียนระดับกลางแห่งนี้จึงไม่สนิทกับใคร ทำให้ทุกคนล้วนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและเลือกอยู่ฝั่งซู่ซินเซี่ยเป็นธรรมดา
บัดนี้มู่เฉียนซีและเย่อี้ก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เริ่มการประลองได้แล้วกระมัง” มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น
ผู้ทำหน้าที่ตัดสินประจำเวทีประลองจึงได้กล่าวขึ้น “ได้! เริ่มการประลองได้”
เย่อี้แค่นเสียงเย็นชา พลังกดดันของจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับสี่พลันแผ่ออกมา
มู่เฉียนซีเองก็ลงมือในทันใด “ผนึกมังกรวารี!”
“จักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่ง แค่เพียงระดับที่หนึ่งเท่านั้นเอง กระจอกมาก!”
“อัจฉริยะที่หมื่นปีจะพบได้สักคนหนึ่งของห้องเรียนระดับต่ำ นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีขั้นพลังแค่เพียงระดับหนึ่งเท่านั้นเอง”
“ระดับหนึ่ง เป็นเพียงจักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่งแต่กลับกล้าโอหังขนาดนี้ ตอนนี้แม่นางซู่ได้เป็นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่ไปแล้ว เด็กนั่นเทียบกับแม่นางซู่แล้วห่างชั้นกันยิ่งนัก”
“จักรพรรดิแห่งภูตระดับหนึ่งสามารถผ่านการทดสอบได้เลื่อนขึ้นมาเรียนที่ห้องเรียนระดับกลางของพวกเราได้ ในตอนนี้พวกที่เหลืออยู่ในห้องเรียนระดับต่ำล้วนแต่เป็นพวกไร้ความสามารถจนไม่ไหวหรือยังไง ?!”
เมื่อได้เห็นพลังความแข็งแกร่งที่มู่เฉียนซีมีอยู่ก็เกิดคำถามขึ้นในหมู่ผู้คนอย่างมิขาดสาย
“เจ้าเป็นผู้มีพลังภูตธาตุวารีรึ ? แต่พลังวิญญาณของเจ้ามันอ่อนจริง ๆ” เย่อี้กล่าว เขาป้องกันการโจมตีของมู่เฉียนซีได้อย่างง่ายดายแล้วรีบพุ่งตรงไปที่นาง
แต่ทว่ามู่เฉียนซีเร็วกว่าเขา นางเปล่งเสียงเย็นชา “มังกรวารีพิฆาต!”
พลังความเย็นยะเยือกแผ่กระจายออกมาด้วยเพราะพลังวิญญาณถูกใช้เพิ่มมากขึ้น การโจมตีในครั้งนี้จึงรุนแรงกว่าท่าก่อนหน้านี้มาก
เย่อี้หรี่ตาลงมอง เขาหลบไปอย่างรวดเร็ว การโจมตีในครั้งนี้กลับมีพลังมากกว่าคราวก่อน เกรงว่าหากเป็นผู้ที่ระดับต่ำกว่าสี่คงยากที่จะรับมือได้ หากเขาประมาทไป เกรงว่าคงต้องรับกระบวนท่านั้นเข้าไปอย่างจังเป็นแน่
เย่อี้ “เหอะ ดูเหมือนว่าข้าจะดูเบาเจ้าไปหน่อย เจ้ามีความสามารถขนาดไหนกันแน่ การโจมตีแต่ละกระบวนท่าของเจ้าถึงได้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ” “แต่ว่าข้าก็มิได้เป็นผู้ที่กินมังสวิรัติ” เย่อี้ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ หยิบเอาดาบยาวออกมาเล่มหนึ่ง และดาบเล่มนั้นพุ่งตรงไปทางมู่เฉียนซี
เมื่อปราณของดาบนั้นพุ่งเข้ามา มู่เฉียนซีใช้โล่วิญญาณวารีป้องกันเอาไว้ และต่อสู้พัวพันกับเย่อี้
เกิดเสียงฮือฮาในหมู่คนที่กำลังดูอยู่ทันที
“ถึงแม้พลังวิญญาณนางจะอ่อนแอ แต่ความรวดเร็วและทักษะวิญญาณไม่แพ้ใคร”
“นางต่อสู้กับเย่อี้ไปหลายสิบกระบวนท่ายังไม่พ่ายแพ้เลย”
“ดูเหมือนว่าเมื่อครู่พวกเราจะด่วนตัดสินกันเกินไปหน่อย ศิษย์น้องผู้นี้มิอาจรับมือได้ง่าย ๆ”
“ก็ไม่มีอะไรเก่งกาจนี่! ในเมื่อเย่อี้อยู่ในอันดับของการจัดอันดับที่เก้าสิบเก้าเท่านั้น ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็นข้าขึ้นไปละก็ จะต้องฆ่านางผู้หญิงนั่นได้ในพริบตาแน่ เพื่อที่จะแก้แค้นให้แก่แม่นางซู่”