ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 640 คุ้นเคยและคล้ายคลึง
แกร่ก! เสียงแกร่กดังขึ้น ข้อมือของมู่เฉียนซีถูกแบบแน่น หากไม่ใช่เป็นเพราะคนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหมดสติไป มีหวังกระดูกนางคงแตกเป็นเสี่ยง ๆ แน่
ตอนนี้นางอยากจะปักเข็มพิษให้เขาจริง ๆ อยากจะจัดการกับเจ้าคนเนรคุณผู้นี้ไปซะ
ทว่า สุดท้ายแล้วมู่เฉียนซีก็ยังอดกลั้นเอาไว้ได้ เข็มยาช่วยชีวิตในมือนางปักตรงหัวใจของเขา จากนั้นนางก็ฉีดยาสลบไสลให้เข็มหนึ่ง ต่อให้เขามีความรู้สึกจะป้องกันตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็สลบไสลไปด้วยเข็มยานี้ ครั้นแล้วมู่เฉียนซีถึงจะเป็นอิสระ
ต่อมาคนผู้นั้นก็ถูกปักด้วยเข็มยาราวกับเม่น มู่เฉียนซีถึงจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
กว่าคนผู้นี้จะฟื้นขึ้นมาก็คงจะเป็นเวลาอีกช่วงหนึ่ง มู่เฉียนซีให้อู๋ตี้ไปหาถ้ำถ้ำหนึ่งและลากเขาเข้าไป
หากจากไปดื้อ ๆ เช่นนี้แล้วเกิดเขาโดนสัตว์วิญญาณกัดกินเข้า ยาของนางก็คงจะเสียเปล่า ดังนั้นมู่เฉียนซีทำได้เพียงแค่รอ
ไม่นานนักอัสดงก็ได้อับแสงลง มู่เฉียนซีให้อู๋ตี้ไปล่าสัตว์กลับมา จากนั้นก็เริ่มย่างเนื้อกิน
เมื่อกลิ่นหอมหวนของเนื้อย่างลอยโชยออกมา มู่เฉียนซีก็รู้สึกว่าเขาได้ฟื้นแล้ว ยังไม่ทันได้ลิ้มรสของเนื้อย่างสักคำเลย นางก็รู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งราวกับสัตว์ร้ายกำลังจ้องมองมาที่นาง
มู่เฉียนซียังไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้แต่อย่างใด เขาก็พรวดเข้ามาที่มู่เฉียนซี และบีบคอนางไว้แน่น
“บัดซบ ปล่อยนายท่านข้าเดี๋ยวนี้นะ” อู๋ตี้กับเสี่ยวหงโกรธเกรี้ยวขึ้นแล้ว
มู่เฉียนซีรู้สึกหายใจลำบากมาก ถูกบีบคอแน่นเช่นนี้ ความตายอยู่ใกล้กับนางมากแล้วจริง ๆ
คนผู้นี้เห็นชีวิตคนเป็นเพียงแค่มดปลวกเท่านั้น การฆ่าสังหารสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงแค่เรื่องธรรมดาเท่านั้น
มู่เฉียนซีเตรียมที่จะปลุกอาถิงให้ลงมือ หนีก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังจะลงมือนั้น เขากลับจ้องมองใบหน้าของมู่เฉียนซี
แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกแปลกประหลาด จากนั้นสองมือก็ค่อย ๆ คลายออก
จู่ ๆ เขาก็ปล่อยมือออกทำให้มู่เฉียนซีประหลาดใจ คนผู้นี้ดูไม่เหมือนผู้ที่มีความเมตตาปรานีเลย
เขามองมู่เฉียนซีด้วยสายตาที่ซับซ้อน และรู้สึกแปลกประหลาดอย่างอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ก็เหมือนกับที่มู่เฉียนซียื่นมือช่วยเขาอย่างที่มิอาจอธิบายได้
“เจ้าเป็นใคร ?”
“นึกไม่ถึงเลยว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” เขาเอ่ยปากกล่าว
มู่เฉียนซีตอบ “ข้าชื่อมู่เฉียนซี ข้าก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมข้าถึงช่วยเจ้าไว้”
แต่ไหนแต่ไรมาหมอปีศาจไม่เคยช่วยใครมั่วซั่วไปทั่ว ส่วนเขาก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยใครไปง่าย ๆ เช่นกัน
“เฉียน ซี……” เขากล่าวคำสองคำนี้ออกมาอย่างช้า ๆ ชั่วครู่หนึ่งก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
อ๊า! จู่ ๆ เขาก็กรีดร้องขึ้น
มู่เฉียนซีจับเขาไว้และกล่าวว่า “ข้าเป็นนักปรุงยา ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าเป็นอะไรกันแน่ ?”
ฝ่ายตรงข้ามไม่ฆ่านาง เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาไม่ใช่ศัตรู
ทั้งสองมีความเข้าใจที่สื่อถึงกันอย่างแปลกประหลาด มากจนกระทั่งรู้สึกถึงความใกล้ชิดของฝ่ายตรงข้าม
ครั้งนี้เขากลับไปปฏิเสธการสัมผัสของมู่เฉียนซี
เพราะว่าทั้งสองต่างฝ่ายต่างก็มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหมือนกัน คนตรงหน้าผู้นี้เลิกฆ่านาง และไม่แม้แต่จะคิดฆ่านาง มู่เฉียนซีก็ไม่คิดว่าเขาเป็นศัตรูแล้ว
เมื่อครู่นางก็เพียงแค่คิดว่าเขาคือคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ช่วยชีวิตเขาเอาไว้แค่ผ่าน ๆ ไม่ได้ตรวจร่างกายของเขาเลย
ทว่า ตอนนี้ทันทีที่ตรวจร่างกายเขา ทำให้มู่เฉียนซีตกใจอกตกใจเป็นอย่างมาก
คนผู้นี้เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการทำลายล้าง สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้เช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก
การใช้ชีวิตทั้งหมดของเขาล้วนแต่ถูกทักษะลับหรือคำสาปต้องห้ามประคองชีวิตเอาไว้เพื่อให้อยู่รอด และศีรษะของเขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส หรือจะกล่าวได้ว่าเขาถูกลบล้างความทรงจำ
ในสถานการณ์เช่นนี้หากเขาพยายามที่จะฟื้นคืนความทรงจำ การที่เขาปวดหัวมากเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
คำสาปต้องห้ามเช่นนี้มู่เฉียนซีนั้นไม่เข้าใจ คงต้องรอให้นิรันดร์ตื่นขึ้นมาก่อนถึงจะรู้ได้
ตอนนี้นางไม่อาจช่วยใครมั่วซั่วได้ รักษาบาดแผลก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
“รีบกินยารักษาบาดแผลซะ!” มู่เฉียนซีหยิบเอายาวิญญาณออกมาขวดหนึ่งและยื่นให้กับเขา
เขารับขวดยานั้นมา แต่กลับไม่คิดจะกินมัน
มู่เฉียนซีกล่าว “หากข้าคิดจะวางยาพิษให้เจ้าตาย ข้าทำไปนานแล้ว”
“อืม!”
ครั้นแล้วเขาก็ยาเม็ดยานั้นเข้าไป มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “ข้าช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ แล้วเจ้าก็กินยาวิญญาณของข้าไปแล้วด้วย คราวนี้บอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าชื่ออะไร ?”
นางคิดว่าคนผู้นี้ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันกับนางแน่นอน!
เดิมทีแล้วนางไม่มีความทรงจำของสามปีก่อน หรือจะบอกได้ว่ามู่เฉียนซีไม่มีความทรงจำสามปีก่อนเลย
ความแข็งแกร่งของนางยังไม่ถึงมาตรฐานที่ท่านอาต้องการ ท่านอาก็ได้ไปแดนภูตเสียแล้ว ทิ้งความสงสัยต่าง ๆ นานาให้นางไว้มากมาย
นางมองคนตรงหน้าผู้นี้อย่างพิจารณา หากจะบอกว่าเป็นท่านพ่อหรืออารอง แต่พวกเขาดูไม่เหมือนท่านอาสามเลยสักนิด
ไม่น่าจะเป็นท่านพี่ เพราะดูแล้วเขาน่าจะอายุมากกว่าท่านพี่ด้วยซ้ำ
แต่หากสิ่งที่คิดมาล้วนแต่ไม่ใช่แล้วล่ะก็ บางทีอาจจะมีเคยคบหาสมาคมกับมู่เฉียนซีคนก่อนมาก่อนก็ได้ มิเช่นนั้นแล้วความรู้สึกใกล้ชิดอันแปลกประหลาดนี้ มันช่างรู้สึกเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
“หลิง!”
“หลิง!” มู่เฉียนซีตกใจผงะไปครูหนึ่ง
“ก็จริง เจ้าสูญเสียความทรงจำไปแล้ว คาดว่าเจ้าก็คงจะลืมชื่อเมื่อก่อนของเจ้าไปแล้ว”
“เจ้ารู้ว่าข้าสูญเสียความทรงจำไปแล้วงั้นเหรอ ?” หลิงกล่าวถาม
“รู้สิ ก็ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็นนักปรุงยา มิเช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าได้ยังไงหล่ะ” มู่เฉียนซีกล่าว
เขาเป็นคนที่พูดน้อยมาโดยตลอด เขารู้ว่าไม่อาจฆ่าคนตรงหน้าผู้นี้ มีความรู้สึกใกล้ชิดกับนาง แต่ก็นึกเช่นไรก็นึกไม่ออกเลยต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เจ้ารู้จักมู่เฟิงอวิ๋น มู่เฟิงหลิงหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“มู่ เฟิงอวิ๋น……”
“มู่ เฟิงหลิง……”
เขาเอ่ยชื่อทั้งสองออกมาอย่างช้า ๆ พลางครุ่นคิด เส้นเลือดทั่วทั้งร่างของเขาก็กระตุกขึ้นอย่างรุนแรง และดูเหมือนว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
การตอบสนองเช่นนี้ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันแน่นอน
“ไม่ต้องคิดแล้ว!” มู่เฉียนซีรีบห้าม
หากคนผู้นี้มีเป็นญาติของนางจริง ๆ หรือจะเป็นสหายคนสำคัญหรือลูกน้องของญาติ การที่ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่
เรื่องบางเรื่องก็ต้องค่อย ๆ ตรวจสอบ เขาผู้นี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้
มู่เฉียนซีฉีดยากล่อมประสาทให้เขาเพื่อให้เขาสงบลง
“ไม่ต้องคิดแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น!”
เขาพยักหน้าและรักษาอาการอยู่ในมุมมุมหนึ่ง จากนั้นก็นิ่งเงียบไปอีกครั้ง
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหนล่ะ แล้วถ้าเราจากกันข้าจะตามหาเจ้าได้ที่ไหน ?”
หากบีบบังคับให้คนผู้นี้อยู่ข้างกายก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากคิดหาวิธีฟื้นความทรงจำให้เขาได้แล้วไปหาเขา เช่นนี้สิถึงจะถูก
“มันเป็นคำสั่ง พูดออกไปให้คนนอกฟังไม่ได้เด็ดขาด!” เขากล่าวเสียงแข็ง
แสงประกายเย็นวาบผ่านดวงตาของมู่เฉียนซี คำสาปต้องห้ามที่อยู่ในร่างกายของเขาไม่ใช่สิ่งดีแน่ ตกลงแล้วใครกันแน่ที่เป็นคนควบคุมเขา ?
“ตกลง เช่นนั้นข้าก็จะไม่ถาม” มู่เฉียนซีก็ไม่ได้ฝืนใจเขา
ตั้งแต่ท่านอาได้จากไป ข้างกายนางก็ไม่มีญาติสนิทเหลืออยู่เลย จู่ ๆ ก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาและทำให้นางรู้สึกว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะถูกเขาทำให้บาดเจ็บ เกือบจะถูกเขาฆ่าตาย แต่มู่เฉียนซีก็ไม่ได้คิดแค้นอะไรเขา
นางได้โยนขากระต่ายให้กับเขาและกล่าวว่า “เจ้าคงจะหิวแล้ว ชิมดูหน่อยเถอะ! ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นยอดฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิ แต่ก็ต้องกินนะ”
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังกินอาหารอันโอชะที่หาได้ยาก แต่เขากลับไม่เปล่งเสียงอันใดออกมาเลย
เขากินเสร็จด้วยท่าทางที่สง่างาม การกินอาหารด้วยท่าทางที่สง่างามเช่นนี้เป็นความเคยชินของเขา ถึงแม้ว่าจะกินอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ แต่ก็เผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ของเขา
ในขณะนี้มู่เฉียนซีรู้สึกเหมือนกับว่าเห็นท่านอาอยู่ตรงหน้านางก็มิปาน
มู่เฉียนซีพึมพำเสียงเบาว่า “ท่านอา……”
เขาไปแดนภูตแต่เพียงผู้เดียว ในดินแดนนั้นเป็นดินแดนที่นางไม่เข้าใจอะไรเลย ในเมื่อสายตาของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว พิษโบราณนั่นก็แก้ได้แล้ว สามารถเดินเหินได้แล้ว แต่นางก็ยังเป็นกังวลใจอยู่ดี
ท่านอาบอกว่า สักวันหนึ่งตระกูลมู่จะกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง เพราะฉะนั้นนางเชื่อว่าท่านอาต้องอยู่อย่างปลอดภัย “ซีเอ๋อร์!” เสียงต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น