ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 761 เจออารองอีกครั้ง
“พวกเจ้ารนหาที่ตายเอง ยังจะให้ข้าปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดไอกอย่างนั้นเหรอ ผู้นำจื่อ ความคิดของเจ้ามันช่างสวยงามเกินไปแล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวเย้ยหยัน
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้พวกข้ามีทางรอด เช่นนั้นข้าก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกัน” ใบหน้าของผู้นำจื่อโหดเหี้ยมขึ้น
ทั้งหมดนี้ก็เพราะนางที่เป็นคนก่อให้เกิด
ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง กองกำลังเจ็ดผู้นำอสูรกำลังจะพังทลายลง
ชีวิตของเขาก็คงจะรักษาเอาไว้ได้อีกไม่กี่วันแล้ว เช่นนั้นเขาก็จะลากตัวการสำคัญผู้นี้ลงนรกไปด้วยกันเลย
ใบหน้าของผู้นำจื่อเผยความดุร้ายออกมา คิดจะทำให้มู่เฉียนซีพินาศลงไปพร้อมกับเขา
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าคิดว่าเฟิงอวิ๋นซิวและพวกไม่อยู่ แล้วเจ้าจะสามารถลากข้าไปตายพร้อมกับเจ้าได้อย่างนั้นเหรอ เจ้าประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว”
ผู้นำจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าก็เป็นแค่จักรพรรดิแห่งภูตระดับสอง เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าลากเจ้าตายไปพร้อมข้าไม่ได้หรือไง ?”
มู่เฉียนซีค่อย ๆ พยักหน้าเบา ๆ พลางกล่าว “อืม! เจ้าทำไม่ได้”
ผู้นำจื่อตกใจตัวแข็งทื่อไป เขามองมู่เฉียนซีด้วยความประหลาดใจ “เจ้า……”
เขารู้สึกว่าพลังวิญญาณของตนเองนั้นไม่อาจใช้ได้ ทั่วทั้งร่างกายไม่มีพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย
อย่าว่าแต่มู่เฉียนซีที่มีพลังวิญญาณแค่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตเลย ต่อให้เป็นหญิงสาวที่ไม่เคยฝึกฝนพลังวิญญาณมาก่อน ก็สามารถฆ่าเขาได้
“นี่เจ้าวางยาพิษข้า”
“แน่นอนว่าข้าไม่ได้อยู่ในกองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรของพวกเจ้าไปวัน ๆ ในเมื่อมีโอกาสตีหมาลงน้ำได้ ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าหาโอกาสเอาชนะได้อย่างไรกันเล่า”
“นี่เจ้า……เจ้า……”
เดิมทีคิดว่ามู่เฉียนซีมียอดฝีมือปกป้องอยู่นางจะไม่ค่อยระมัดระวังตัวจากพวกเขามากนัก แต่นึกไม่ถึงว่าตั้งแต่ต้นจนจบนางระวังพวกเขามาโดยตลอด
แสงสีเขียวร่างหนึ่งสว่างวาบขึ้น และได้เตะร่างของผู้นำจื่อออกไปทันที
ร่างของเขาปรากฏขึ้นตรงหน้ามู่เฉียนซี เมื่อเห็นนางปลอดภัยทุกประการเช่นนี้เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง และกล่าวขึ้นเบา ๆ ว่า “เฉียน!”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ชิงอิ่ง เจ้าฟื้นขึ้นมาได้ทันเวลาพอดี พวกเราไปดูสถานการณ์ที่พื้นที่ต้องการของกองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรกันเถอะ!”
“ได้!”
ตอนนี้ประตูทางออกของสนามรบโบราณที่หกได้เปิดขึ้นแล้ว และเฟิงอวิ๋นซิวกับพวกก็แอบซุ่มอยู่เตรียมพร้อมที่จะลงมือ
ในที่สุดก็มีคนเดินออกมาจากประจูทางออกนั้น เดิมทีมู่เฉียนซีนั้นคิดว่าจะมีการสู้รบครั้งใหญ่ให้ได้ชม แต่เมื่อนางได้เห็นใบหน้าของคนผู้นั้นที่เดินออกมา มู่เฉียนซีก็ตกใจนิ่งอึ้งไป
อารอง!
ใบหน้าอันหล่อเหลาเป็นมิตินั้นรวกับบุรุษผู้เป็นเทพแห่งสงครามที่กวาดล้างทัพทหารนับพันก็มิปาน หากไม่ใช่อารองของนางแล้วจะเป็นใครไปได้เล่า
คู่อาฆาตแค้นของเฟิงอวิ๋นซิวคืออารอง และดูเหมือนว่านางจะช่วยชีวิตเฟิงอวิ๋นซิวผู้เป็นคู่อาฆาตแค้นของอารองไว้
จะบอกว่านางเป็นผู้เนรคุณก็ได้ เผชิญหน้าระหว่างผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้กับญาติของตนเองเช่นนี้ นางก็จะยืนอยู่ข้างญาติของนางอย่างไร้ซึ่งความลังเลใจ
ขวั่บ! คมธนูของซวนอีตัดผ่านอากาศพุ่งไปที่หลิง
สิ่งนี้ทำให้มู่เฉียนซีเห็นแล้วถึงกับรู้สึกอกสั่นขวัญหาย อยากจะปักเข็มยาเข้าที่แขนของซวนอีมาก
แต่โชคดีที่มู่เฉียนซีเห็นอารองของตนเองนั้นหลบคมธนูนี้ได้
ทว่า ตอนนี้ร่างสีดำร่างหนึ่งพุ่งออกไป และเป้าหมายก็คือหลิง
ปัง! ทั้งสองได้ต่อสู้กันไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
ผู้นำกับผู้นำ ทหารกับทหาร ต่อสู้กันไปมาอย่างไร้ท่าทีจะสิ้นสุด
ตูม ปัง ปัง! การต่อสู้ระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่มู่เฉียนซีควรจะเข้าร่วมด้วย แต่นางกลับจ้องมองสนามรบนี้อย่างใจจดใจจ่อโดยไม่กะพริบตาเลย
หากมีอันตรายเกิดขึ้นกับอารอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมนั่งดูอยู่เฉยเป็นแน่
ทหารม้าที่พวกเขานำมานั้นล้วนแต่เป็นทหารม้าชั้นยอดทั้งสิ้น ส่วนฝ่ายตรงข้ามมีเพียงแค่สามสี่คนเท่านั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกลอบโจมตี แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ห่างชั้นกันมากนัก
“นายน้อยเฟิงอวิ๋นซิวของตำหนักตงจี๋ ฝีมือไม่เลวเลยจริง ๆ!” หลิงจ้องมองชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์หน้าตางดงาม ลงมืออย่างรวดเร็วและดุดันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
“องครักษ์ซ้ายหลิงของตำหนักเป่ยหาน กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ พวกข้าตำหนักตงจี๋จะไม่ยอมให้ใครไปเด็ดขาด” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวอย่างเย็นชา
“กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ จะต้องเป็นของตำหนักเป่ยหานของพวกข้า” กล่าวจบแต่ละกระบวนท่าล้วนแต่เป็นกระบวนท่าคร่าชีวิตทั้งสิ้น
มู่เฉียนซีที่ซุ่มดูอยู่พึมพำขึ้นว่า “ข้าเดาไม่ผิดจริง ๆ เป้าหมายของอารองกับเฟิงอวิ๋นซิวนั้นเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ กระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณจริง ๆ”
ตำหนักตงจี๋ เป็นกองกำลังระดับสามเพียงหนึ่งเดียวแห่งแดนตะวันออกที่ควบคุมแดนตะวันออก
ตำหนักเป่ยหาน เป็นกองกำลังระดับสามเพียงหนึ่งเดียวแห่งแดนเหนือที่ควบคุมแดนเหนือ
กองกำลังระดับสาม สองกองกำลังแห่งดินแดนสี่ทิศต่างก็จับจ้องกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ เหลือก็เพียงแต่แคว้นเทพฟ้านอินแล้ว
ดูเหมือนว่าการที่จะเอาตัวกระบี่มังกรเพลิงมาได้นั้น ยากกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก
ตูม! การต่อสู้ของตำหนักตงจี๋กับตำหนักเป่ยหานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองฝ่ายล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่ มู่เฉียนซีจ้องมองไปที่อารองของนาง
ในขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กันอย่างไร้ทีท่าที่จะสิ้นสุดนั้น กลิ่นอายอันแข็งแกร่งอื่นก็ใกล้เมาแล้ว
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “กำลังเสริมของตำหนักตงจี๋มากันแล้ว พวกเราถอยก่อน พวกมันยังไม่ได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มา”
หากได้มาแล้ว ก็คงจะไม่ต่อสู้พัวพันกับพวกเขามากมาย และคงจะรีบจากไปแล้ว
ในที่สุดพวกเขาก็หยุดต่อสู้ ส่วนมู่เฉียนวีก็ถอยออกไปเช่นกัน
เมื่อมู่เฉียนซีออกไปจากกองกำลังผู้นำเจ็ดอสูร ทั่วทั้งกองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรก็ถูกเปลวไฟแผดเผาไปทันที
“องครักษ์ซ้าย ท่านผู้อาวุโสสุดได้บอกเอาไว้แล้วว่าอย่าให้พวกเราทำสิ่งใดโอ่อ่าจนเกินไป ทำลายกองกำลังระดับสองไปเช่นนี้ ได้จริง ๆ เหรอ ?”
“สนามรบโบราณแห่งนี้ของพวกมันไม่มีกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ แล้วมีประโยชน์อันใดที่จะปล่อยพวกมันไว้” หลิงกล่าวอย่างเย็นชา น้ำเสียงเต็มไปด้วยจิตสังหารอย่างเลือดเย็น ทำให้คนอื่นไม่กล้าเอ่ยปากแสดงความคิดเห็นออกมาอีก
ถึงแม้ว่าเขาจะใช้คำพูดนี้ตอบพวกเขาไป แต่ก้นบึ้งในหัวใจของหลิงจริง ๆ นั้นก็คือ คนพวกนี้กล้ารังแกหลานสาวของเขา การเผาพวกเช่นนี้ยังนับว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
ภายในเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่วัน กองกำลังผู้นำเจ็ดอสูรก็ถูกลบล้างไปจากดินแดนสี่ทิศอย่างสมบูรณ์
เมื่อได้รู้ข่าวนี้ หุบเขาหมอเทวดาก็ตกตะลึงพรึงเพริดจนต้องเปิดค่ายกลปกป้องหุบเขา และไม่อนุญาตให้ทุกคนออกไปจากหุบเขาโดยเด็ดขาด
“นับจากนี้ต่อไปห้ามลงมือกับมู่เฉียนซีอีก” ถึงแม้ว่าท่านผู้เฒ่าแห่งหุบเขาหมอเทวดาจะไม่สบายใจ แต่ก็ต้องจำใจทำเช่นนี้
เฟิงอวิ๋นซิวและพวกก็จากไป แต่เมื่อได้เห็นเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นบนท้องฟ้าจากกองกำลังผู้นำเจ็ดอสูร สีหน้าของเฟิงอวิ๋นซิวพลันเปลี่ยนไปทันที
“เฉียนซี!”
“รีบไปช่วยนางเร็วเข้า!” เฟิงอวิ๋นซิวสั่ง
ซวนอีกล่าวว่า “นายน้อยวางใจเถอะขอรับ สาวน้อยผู้นั้นดวงแข็งจะตาย บางทีนางอาจจะออกไปก่อนที่ไฟจะไหม้แล้วก็ได้ องครักษ์ซ้ายหลิงของตำหนักเป่ยหานผู้นั้นเลือดเย็นไร้ความปรานีสมคำร่ำลือจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าจะเผากองกำลังระดับสองจนมอดไหม้เช่นนี้ ช่างไร้ซึ่งมนุษยธรรมสิ้นดี”
“แต่ข้าคิดว่าผู้ที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรมนั้น คงจะเป็นองครักษ์ซวนอีมากกว่า” น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้น
มู่เฉียนซีต่อสู้กับความอยุติธรรมให้กับอารองของตนเอง นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะกล้าว่าอารองของนางไร้ซึ่งมนุษยธรรม!
ดวงตาสีอำพันคู่นั้นของเฟิงอวิ๋นซิวเปล่งประกายขึ้น “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!”
มู่เฉียนซีมองไปที่เฟิงอวิ๋นซิวและกล่าวว่า “พวกเราหาที่พูดคุยกันเถอะ”
“ได้!”
เมืองที่อยู่ไม่ไกลห่างจากนี้มีเรือนที่ตำหนักตงจี๋ได้เตรียมเอาไว้ มู่เฉียนซีคิดในใจว่า ‘สมกับที่เป็นกองกำลังระดับสามจริง ๆ เปิดเรือนเอาไว้ทุกที่’
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตอนที่พวกเจ้าต่อสู้กันเมื่อครู่ ข้าได้ซุ่มดูอยู่และได้ยินทุกอย่างแล้ว ตัวตนของเจ้า และเป้าหมายของพวกเจ้า”
“อะไรนะ ?” สีหน้าของซวนอีพลันเปลี่ยนไปทันที และคันธนูก็ได้เอาออกมาแล้ว
มู่เฉียนซียังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “สวัสดีอย่างเป็นทางการ เฟิงอวิ๋นซิว นายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋”
แววตาของเฟิงอวิ๋นซิวเผยความตะลึงงันขึ้น ถึงแม้ว่านางจะรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว แต่ดวงตาของนางกลับสดใสเป็นปกติอยู่เช่นนี้ ไม่ได้ประจบประแจง ทำดี หรือหวาดกลัวเหมือนคนอื่น ๆ เลย!