ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 871 เข้าพักในตระกูลเย่
เหยียนเซี่ยฉีตะลึงค้าง “นี่…นี่ยังเป็นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สามอยู่หรือเปล่า? ข้ามิได้มองผิดไปกระมัง!”
เย่เฉินกล่าว “นางใช้พิษ!”
คนพวกนั้นล้มลงกับพื้นและมิอาจลุกยืนขึ้นมาได้ แต่เมื่อดูจากสีหน้าแล้วมันไม่มีสัญญาณของพิษบ่งบอกเลยแม้แต่น้อย
แต่เขากลับมองออก มู่เฉียนซีเหลือบมองไปยังเย่เฉินที่อยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มที่ดูเหมือนบัณฑิตที่อ่อนแอผู้นี้กลับมีสายตาที่ไม่เลวเลย
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเขาต้องพิษเข้าแล้ว ข้าว่าพวกเจ้าคงจะมีสิ่งที่อยากถามพวกเขาใช่หรือไม่?”
เย่เฉินตะลึงงัน เขากล่าวขึ้น “เจ้าพูดมิผิด ข้ามีคำถามที่อยากจะถาม?”
“เป็นใครกัน ที่ส่งพวกเจ้ามา?”
“เราจะไม่ทรยศผู้จ้างวาน!”
“ใช่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราจะไม่ขายความผู้จ้างวาน!”
คนเหล่านี้ปากแข็งนัก
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ต้องการให้ข้าเพิ่มส่วนผสมให้พวกเขาอีกหรือไม่? หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าคงจะแงะปากพวกเขาให้เปิดออกมิได้!”
เย่เฉินกล่าว “ข้าจะเพิ่มเอง”
ชายหนุ่มผู้ที่ดูเหมือนบัณฑิตที่อ่อนแอผู้นี้ได้นำยาพิษออกมาสองสามเม็ดแล้วยัดเข้าไปในปากของพวกเขา
ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววตกตะลึงออกมา ชายผู้นี้มิใช่ผู้ที่มีความเมตตา!
พิษนั้นไม่ธรรมดา!
“อ๊าก!” ทันใดนั้น หนึ่งในคนเหล่านั้นก็ร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด
“เอายาถอนพิษให้ข้า รีบเอายาถอนพิษให้ข้า ข้าพูดแล้ว ข้ายอมพูด….”
“เป็น….เป็นตระกูลเหลยที่ให้พวกเรามาลงมือ ขอแค่เพียงให้พวกเจ้าทั้งสองคนตายอยู่ที่นี่ เมื่อถึงตอนนั้นท่านเจ้าเมืองก็จะพาลโกรธไปถึงตระกูลเย่ของพวกเจ้า พวกเจ้าตระกูลเย่จะต้องจบเห่เป็นแน่แล้ว”
“ตระกูลเหลย….”
เย่เฉินถามขึ้นต่อ “แต่ตระกูลเหลยรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมาพบกับฉีเอ๋อร์ในที่นี้?”
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้ นายจ้างเป็นผู้บอกแก่พวกเรา ข้า…อ๊าก!”
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของทุกคน ใบหน้าของเหยียนเซี่ยฉีเองก็ซีดเผือด นางตกใจกลัวเสียจนไปหลบอยู่ที่ด้านหลังของเย่เฉิน
ถึงแม้ดวงตาของเย่เฉินจะเผยแววอันเย็นยะเยือกออกมา แต่ทว่าเขาก็มิได้ลงมือฆ่าคนเหล่านั้น แต่การไม่ถอนรากถอนโคนนั้น…..
ในตอนนี้เอง มู่เฉียนซีก็ได้ลงมือเสีย
เมื่อสะบัดข้อมือเบา ๆ เข็มยาจำนวนหลายเข็มก็ได้ปักเข้าไปบนคอของพวกเขา พวกเขาเบิกตากว้างโพลงมองที่มู่เฉียนซี แต่กลับมิอาจที่จะส่งเสียงร้องใด ๆ ออกมาได้ จากนั้นก็ล้มกองกันลงไปบนพื้น
ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก พวกเขาก็จะกลายเป็นโครงกระดูกสีขาวอยู่ในพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้
เหยียนเซี่ยฉีกล่าว “พวกเขา….พวกเขาตายแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ถ้าหากพวกเขาไม่ตาย ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คราวนี้พวกเจ้าโชคดีที่ได้พบคนเข้ามาช่วยเอาไว้ แต่ครั้งหน้าและครั้งต่อ ๆ ไปเล่า?”
“พวกเจ้าเลือกที่จะให้ตัวพวกเจ้าต้องตายหรือจะให้ผู้อื่นตาย!”
เหยียนเซี่ยฉีกล่าว “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ยอมให้พี่ชายเย่ตาย”
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว พวกเจ้ายังจะอยู่ด้วยกันต่อหรือไม่ หากจะอยู่ด้วยกันก็อยู่ต่อไป ข้าไปแล้ว”
มู่เฉียนซีโบกมือลาและจะจากไปจริง ๆ สีหน้าของเหยียนเซี่ยฉีกับเย่เฉินมืดครึ้ม ล้วนได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้ว นางยังคิดว่าพวกเขาจะมีกะใจมาสาธยายความรักความรู้สึกกันอีกหรือ!
เหยียนเซี่ยฉีกล่าว “รอด้วย พวกเรา พวกเรากลับไปเมืองเหยียนด้วยกันเถิด!”
เหยียนเซี่ยฉีเป็นเด็กสาวที่ไร้เดียงสา นางเป็นบุตรีของเจ้าเมืองเหยียน ในขณะเดียวกันนางก็เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองเหยียนด้วย
นางอายุเพียงสิบเจ็ดปีแต่กลับมีพลังความสามารถระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สี่ ทั่วทั้งแดนตะวันออกเองก็หาพบได้ยากยิ่ง หลังจากได้รู้อายุของมู่เฉียนซีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางก็ได้ใช้ศักดิ์เป็นพี่สาวกับมู่เฉียนซีเสีย
“ในเมืองเหยียนนี้มีข้าอยู่ ไม่มีใครสามารถที่จะรังแกเจ้าได้” นางกล่าวพลางตบอก
เย่เฉินรู้สึกจนปัญญา ด้วยความสามารถของแม่นางผู้นี้ เกรงว่าคงจะมิใช่ผู้อื่นมารังแกนาง หากแต่เป็นนางจะไปรังแกผู้อื่นเสียให้ตายมากกว่ากระมัง!
มู่เฉียนซีถามขึ้น “เมืองเหยียนเฉิงไม่มีค่ายกลส่งระยะไกลไปยังเมืองตงจี๋หรือ?”
เหยียนเซี่ยฉีกล่าวด้วยอาการเขินอายอยู่บ้าง “เมืองเหยียนเป็นแค่เพียงสำนักนิกายระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่มีค่ายกลส่งระยะไกล ที่ที่มีค่ายกลส่งระยะไกลของทั้งแดนตะวันออกนั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นสำนักนิกายระดับสอง ซึ่งทั้งแดนตะวันออกนั้นเหมือนจะมี…..”
“มีทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบแห่งที่เป็นเมืองระดับสำนักนิกายระดับสอง แต่ทว่าหนทางที่ไปยังที่แห่งนั้นช่างยาวไกลนัก แล้วก็ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นกับเจ้า เจ้าจงพักผ่อนอยู่ที่เมืองเหยียนก่อนแล้วค่อยว่ากัน มิเช่นนั้นแล้วหากเจ้าเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารเพียงตัวคนเดียว เกรงว่าจะมีอันตรายได้”
ความสามารถของมู่เฉียนซีนั้นไม่เลว แต่ทว่านางก็เพียงจักรพรรดิแห่งภูตขึ้นที่สามผู้หนึ่งเท่านั้น ความอันตรายของพื้นที่ทุรกันดารนี้ มันเกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้
เมืองเหยียนเป็นเมืองที่ธรรมดายิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีความชำรุดทรุดโทรมอยู่บ้าง
เมื่อพวกเขาเพิ่งเดินเข้าไปในเมือง ก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งแห่กันเข้ามา
“คุณหนูใหญ่!”
“คุณหนูใหญ่ ท่านไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
“นางลูกเนรคุณ มานี่!”
ผู้รับใช้กลุ่มหนึ่งพร้อมด้วยชายวัยกลางคนที่เป็นระดับมหาจักรพรรดิผู้หนึ่งได้เดินเข้ามาด้วยท่าทีดุดัน
สีหน้าของเหยียนเซี่ยฉีซีดเผือด นางมองไปยังชายวัยกลางคนที่กำลังเดินเข้ามาผู้นั้นแล้วกล่าวขึ้น “ท่านพ่อ!”
เจ้าเมืองเหยียนถลึงตาใส่นางด้วยความโกรธ “เจ้ายังรู้อยู่รึว่ามีข้าที่เป็นบิดาผู้นี้อยู่? เจ้ากลับไปพบกันเป็นการส่วนตัวกับไอ้หนุ่มนี่”
หนังหน้าของเหยียนเซี่ยฉีค่อนข้างบอบบาง เมื่อถูกบิดากล่าวเช่นนี้ออกมาใบหน้าของนางก็แดงไปทั้งใบและกล่าวอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เจ้าเมืองเหยียนมองไปทางเย่เฉินด้วยสายตาที่แฝงจิตของการฆ่าฟัน “ไอ้หนูตระกูลเย่ เจ้าเป็นผู้พิการไร้ค่าที่ไม่สามารถฝึกบำเพ็ญได้ อย่างไรเสียอย่าได้คิดเพ้อฝัน จากนี้ไปหากเจ้ากล้าที่จะมาเจอหน้าบุตรสาวของข้าแม้เพียงครั้งเดียว ข้าจะไม่เห็นแก่หน้าของผู้เฒ่าแห่งตระกูลเย่และฆ่าเจ้าในทันทีแน่นอน!”
“ท่านพ่อ!” เหยียนเซี่ยฉีร้อนรนใจเสียจนร้องไห้ออกมา “ข้า…ข้านั้นจริงจัง…”
“หุบปาก พาตัวฉีเอ๋อร์กลับไป!” เจ้าเมืองเหยียนกล่าวขึ้น
“พี่ชายเย่….ข้ายังไม่อยากกลับจวน ข้ายังมิได้ต้อนรับสหายของข้า” เหยียนเซี่ยฉีกล่าวขัดขืนขึ้น
“ในตอนนี้อย่าได้คิดอะไรทั้งสิ้น กลับจวน!”
เย่เฉินมองดูเหยียนเซี่ยฉีถูกบังคับนำกลับจวนไป เขากำหมัดเอาไว้แน่นแต่กลับมิได้มีจุดยืนใด ๆ และก็ไม่มีกำลังใดที่จะไปห้ามปรามหยุดยั้งเรื่องทั้งหมดนี้ได้
เจ้าเมืองเหยียนมองไปที่มู่เฉียนซีแล้วกล่าวขึ้น “มองดูแล้วแม่นางนั้นแปลกหน้ายิ่งนัก!”
ในฐานะเจ้าเมือง สายตาของเจ้าเมืองเหยียนนั้นเฉียบคมนัก เด็กสาวผู้นี้จะต้องมิใช่คนของตระกูลเย่เป็นแน่แท้
มู่เฉียนซียิ้มบาง ๆ แล้วกล่าว “เดินทางผ่านเมืองเหยียนมาแล้วบังเอิญได้พบเข้ากับเซี่ยฉี ดังนั้นจึงได้เข้าเมืองมาด้วยกัน ท่านเจ้าเมืองเหยียนยังมีเรื่องราววุ่นวาย ท่านไปจัดการเสียก่อนเถิด! ข้านั้นเป็นเพียงแค่บุคคลธรรมดาทั่วไป”
“ข้าจะกลับไปสั่งสอนเจ้าลูกสาวนั่น สาวน้อย ในเมื่อเจ้ารู้จักกับเย่เฉินก็จงกล่าวโน้มน้าวมันให้ดี นั่นจะดีต่อตัวของเขาและฉีเอ๋อร์” เมื่อเจ้าเมืองเหยียนกล่าวจบก็ได้กลับไป
เย่เฉินมองตามเงาหลังนั้นไป แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นล้ำลึกแต่ก็กลับแฝงแววของความจนปัญญาและไม่ยอมใจระคนเอาไว้ด้วยกัน
มู่เฉียนซีกล่าว “ฉีเอ๋อร์ไปแล้ว คุณชายสามารถช่วยอะไรข้าสักอย่างได้หรือไม่?”
“อะไรนะ?” เย่เฉินถามขึ้น
“พาข้าไปโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองเหยียน ข้าต้องการพักผ่อน”
ดวงตาของเย่เฉินทอประกายส่องสว่างออมา “ถึงแม้ว่าจวนตระกูลเย่ของข้านั้นจะเล็ก แต่ก็มีห้องรับรองแขก ถ้าหากแม่นางไม่รังเกียจสามารถไปพักที่จวนตระกูลเย่ของข้าได้ อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้มีพระคุณในการช่วยชีวิตข้ากับฉีเอ๋อร์”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “ได้สิ!”
ตระกูลเย่เป็นสำนักนิกายครึ่งระดับในเมืองเหยียน ซึ่งสร้างขึ้นโดยท่านผู้เฒ่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
ถึงแม้จะเป็นถึงสำนักนิกายครึ่งระดับ แต่ทว่าในบรรดาเหล่ากลุ่มกองลังต่าง ๆ ในเมืองเหยียนนั้นกลับนับว่าเป็นสำนักนิกายที่ธรรมดา
ยิ่งบวกเข้ากับหลานชายของผู้นำตระกูลเย่ที่อ่อนแอมาตั้งแต่ยังเยาว์ ซึ่งไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้ นั่นทำให้ตระกูลเย่ยิ่งแย่ลงไปทุกวี่วัน
แต่ทว่าเย่เฉินต้องการที่จะจัดจวนที่เงียบสงบแห่งหนึ่งให้แก่มู่เฉียนซีก็มิใช่เรื่องยากอะไร เพราะตระกูลเย่นั้นมิได้มีคนอยู่มากมายนัก
มู่เฉียนซีถามขึ้น “คุณชายเย่ ข้อมูลของแดนตะวันออกของพวกเจ้าและเรื่องเกี่ยวกับพื้นที่ทุรกันดารนั้น สามารถส่งมาให้ข้าได้หรือไม่?”
เย่เฉินกล่าว “ข่าวที่ตระกูลเย่รู้มาทั้งหมด ข้าจะให้คนส่งมาให้เจ้า”
มู่เฉียนซีพลิกอ่านข้อมูล และนางก็ได้พบสิ่งที่ตนเองสนใจเข้าบนกระดาษแผ่นหนึ่ง