ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 9 ผู้บำเพ็ญภูตธาตุน้ำ
ข้ามู่เฉียนซี เป็นผู้นำตระกูลมู่ จะแต่งกับใครก็ต้องให้หญิงรับใช้เห็นด้วยอย่างนั้นหรือ หลี่อ๋องนับว่าวันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว มู่เฉียนซีเอ่ยเหน็บแนมขึ้นหลังจากฟังคำต่อรองของคู่หมั้นที่นางไม่นึกอยากแต่งงานด้วย
แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้นำตระกูลมู่ แต่หญิงที่ข้ารักมีเพียงอวิ๋นเอ๋อร์เพียงผู้เดียวเท่านั้น
เมื่อได้ฟังท่านอ๋องผู้มีความรักลึกล้ำดั่งมหาสมุทรต่อมู่หรูอวิ๋นกล่าวเช่นนั้น ทำเอามู่เฉียนซีอดไม่ได้ที่จะเหยียดยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า…
ในเมื่อท่านหลี่อ๋องมีใจรักมั่นเช่นนี้… ข้าก็ไม่อาจใจดำแยกพวกท่านออกจากกันได้ แต่ว่าหลี่อ๋อง… เพื่อสตรีที่ท่านรัก ท่านจะยอมเดิมพันกับข้าสักตั้งหรือไม่
เดิมพันรึ เดิมพันอย่างไร ?
เมื่อครู่นี้หญิงที่ท่านรักเดิมพันกับข้าอย่างไร คราวนี้ข้าก็จะเดิมพันกับท่านอย่างนั้น หากว่าข้าแพ้ ข้าจะทูลขอให้ฮ่องเต้ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายครั้งนี้ของเรา แล้วท่านอยากจะแต่งกับใครก็แต่ง แต่หากท่านแพ้ก็ช่วยยกโลงศพของ ‘ท่าน’ กลับตำหนักหลี่อ๋องไปเสีย
นี่… เจ้า…
ซวนหยวนหลี่เทียนอุทานขึ้นด้วยความตกตะลึงกับวาจาโอหังของสตรีไม่เอาไหนตรงหน้า แต่ถึงแม้จะโมโหอย่างไร เขาก็คิดขึ้นได้ว่าหากตนเป็นฝ่ายชนะก็จะได้ผลประโยชน์อย่างคุ้มค่า ทั้งยังรอดพ้นจากสตรีผู้นี้อีกด้วย
ถึงแม้ท่าทีของมู่เฉียนซีจะดูแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้บ้าง แต่ซวนหยวนหลี่เทียนก็ปักใจเชื่อว่านางยังรักเขายิ่งชีพ จึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะเปลี่ยนใจ ทว่าที่คนตรงหน้าต้องเดิมพันเช่นนี้ คงเป็นเพราะนางรู้ว่าเขารักอวิ๋นเอ๋อร์สุดหัวใจ ถึงเลือกใช้วิธีนี้เพื่อช่วยให้บุรุษที่ตนรักได้สมหวัง …‘ช่างเป็นความคิดที่น่ายกย่องเหลือเกิน เมื่อเขาแต่งอวิ๋นเอ๋อร์เข้าวังแล้ว จะไม่ลืมกลับมาตอบแทนนางเป็นอย่างดี’
‘ส่วนเรื่องเดิมพันน่ะหรือ… ผู้บำเพ็ญภูตระดับห้าแห่งแคว้นจื่อเยี่ยจะพ่ายแพ้ให้แก่คนไร้ความสามารถหาค่ามิได้เช่นนางได้อย่างไรกัน’
หลังจากนึกเพ้อเจ้อจนเสร็จสิ้น ซวนหยวนหลี่เทียนก็รีบตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
ได้ ข้ารับปาก
ได้ฟังดังนั้น มู่เฉียนซีจึงป่าวประกาศให้ได้ยินทั่วกันพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผู้เฒ่าทุกท่าน พวกท่านก็ได้ยินกันแล้ว หากถึงเวลานั้นมีคนผิดสัญญา พวกท่านจะต้องเป็นพยานให้ข้าด้วย ไม่เช่นนั้นสกุลมู่ก็นับว่าเลี้ยงคนเสียข้าวสุก
ใช่แล้ว เมื่อผลแพ้ชนะออกมา ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจผิดสัญญาได้ ซวนหยวนหลี่เทียนกล่าวสำทับ
แน่นอนอยู่แล้ว ท่านผู้เฒ่าทั้งสามตอบรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เริ่มกันเถอะ!
ซวนหยวนหลี่เทียนเร่งเร้า เขานึกอยากจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นโดยไว
ได้
เชิญเจ้าลงมือก่อน ข้าไม่อยากขึ้นชื่อว่ารังแกสตรี
ถ้าอย่างนั้น…
เงาร่างในชุดคลุมสีม่วงแวบผ่านทันทีรวดเร็วดั่งภูตผี มู่เฉียนซีจู่โจมจุดตายว่องไวไม่ไว้หน้า ซวนหยวนหลี่เทียนตื่นตะลึงจนแทบหยุดหายใจไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ระเบิดพลังออกมาเพื่อเลี่ยงการโจมตีจากมู่เฉียนซี
ท่านผู้เฒ่าที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างก็อุทานกันอย่างตกใจ
ผู้บำเพ็ญภูตระดับห้า! หลี่อ๋องผู้นี้สมแล้วที่เป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะแห่งแคว้นจื่อเยี่ยของเรา ยังเยาว์วัยอยู่แท้ ๆ แต่กลับฝึกถึงขั้นนี้แล้ว
แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ มู่เฉียนซีถึงมีความเร็วระดับนั้น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงแล้ว นางย่อมพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
ท่านผู้เฒ่าที่สูงวัยที่สุดเอ่ยเป็นเชิงเยินยอบุรุษฝ่ายตรงข้ามแทนที่จะเป็นผู้นำตระกูลมู่ของพวกตน แม้จะเป็นท่านผู้เฒ่าแห่งสกุลมู่ แต่เขาก็นึกชังผู้นำตระกูลที่น่าขายหน้าผู้นี้มานานแล้ว และยิ่งรังเกียจที่ต้องมาอดทนอยู่ใต้อำนาจของคนไม่เอาไหนเช่นนี้ ต้องคอยฟังคำสั่งจากนาง เป็นวัวเป็นควายให้นางใช้งาน
ภายในสนามประลอง ซวนหยวนหลี่เทียนตามติดมู่เฉียนซีไม่ห่าง ทั้งสองฝ่ายต่างผลัดกันรุกเร้าผลัดกันตั้งรับอย่างไม่มีใครยอมใคร ขณะจู่โจมไปมา มู่เฉียนซีก็ได้แต่แอบบ่นในใจ
‘ตอนนี้ข้ามีพลังระดับสาม ยังห่างชั้นกับระดับห้าของซวนหยวนหลี่เทียนอยู่สองระดับ หนทางจะชนะได้นับว่าค่อนข้างลำบากนัก’
มู่เฉียนซีสะบัดมืออย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง พลันขวดใส่ผงแป้งในแขนเสื้อของนางก็ไถลลงมาสู่กลางฝ่ามือ นางยกมุมปากยิ้มเย็นยะเยือกอย่างผู้มีแผนการร้าย
ซวนหยวนหลี่เทียนมอบโลงศพมรกตให้นาง นางก็ไม่ถือสาหากจะต้องมอบของขวัญชิ้นโตนี้ให้เขาเช่นกัน
ขณะนั้นเองก็มีเสียงฮึดฮัดเบา ๆ ลอยมา
หึ! หญิงอัปลักษณ์คิดทำเรื่องน่ารังเกียจ! เจ้าเองก็สามารถเอาชนะเขาได้อย่างโปร่งใส เหตุใดจะต้องใช้เล่ห์กลกระจอกเช่นนี้ด้วยเล่า
เจ้าของเสียงน่ารำคาญนี้ ช่างน่าทุบตีนัก จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ทว่าก็มีเพียงมู่เฉียนซีเท่านั้นที่ได้ยิน
ชนะอย่างโปร่งใสหรือ ? ข้าเพิ่งจะฝึกแค่วันเดียว พลังยังน้อยกว่าเขาตั้งสองระดับ ไหนเจ้าว่ามาสิ ข้าจะเอาชนะเขาอย่างโปร่งใสได้อย่างไร ?
‘ก็ แหวนนิจนิรันดร์ ที่เจ้าได้รับมาวันนี้ แหวนมังกรเทพวารี นั่นยังไงเล่า หรือคิดแต่จะเก็บไว้เป็นสิ่งของแทนใจบุรุษไม่คิดจะนำออกมาใช้งาน’
มู่เฉียนซีได้ยินดังนั้น ใบหน้างดงามก็พลันขึ้นแดงระเรื่ออย่างไม่อาจควบคุมได้ ทว่าก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเอือมระอา
เจ้าหุบปากหน่า สิ่งของแทนใจอะไรกัน
เหอะ! เขินอายแล้วพาลโกรธ ข้าพูดเรื่องจริงเจ้ากลับไม่ยอมรับเสียนี่
คำค่อนแคะของเด็กหนุ่มทำเอามู่เฉียนซีพูดไม่ออก นางเกิดความประหม่าจนเสียอาการ ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่ทันระวังตัวและเกือบจะถูกซวนหยวนหลี่เทียนทำร้าย
— แควก ! —
ทว่าโชคดีที่นางหลบหลีกได้ทัน จึงมีเพียงชายเสื้อเท่านั้นที่ฉีกขาดไป
มู่เฉียนซีรีบตั้งสติแล้วเจรจากับอาถิงเจ้าของเสียงน่ารำคาญในหัว เจ้ามีวิธีก็รีบบอกมา อย่ามัวแต่อมพะนำไว้
ก็ได้ จากนี้ไปเจ้าต้องฟังข้า ใช้พลังวิญญาณสื่อสารกับแหวนมังกรเทพวารี จากนั้นเจ้าก็จะสามารถเรียกพลังวารีในแหวนออกมาใช้ได้ตามต้องการ ต่อให้ตอนนี้พลังเจ้าจะอยู่เพียงระดับสาม แต่หากเรียกพลังวารีได้สำเร็จ จอมยุทธ์ระดับห้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า
ซวนหยวนหลี่เทียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันอย่างผู้ที่เหนือกว่าขณะไล่ต้อนมู่เฉียนซีอย่างดุเดือด พลังระดับห้าแปรเปลี่ยนเป็นมีดคมกริบพุ่งเข้าใส่นาง
มู่เฉียนซีทำตามที่อาถิงบอก นางรวบรวมสมาธิแล้วเริ่มเรียกพลังวารีในแหวนมังกรเทพวารี
ทันใดนั้น คนโทน้ำสีฟ้าก็ปรากฏและแล่นเข้าปะทะกับมีดคมกริบที่ตรงเข้าหา ทันทีที่เผชิญหน้ากับคนโทน้ำ พลังของมีดก็ดูอ่อนลงไปถนัดตา และเพียงเสี้ยวลมหายใจมันก็ถูกคนโทน้ำทำลายไปได้อย่างง่ายดาย ครั้งนี้ทุกคนต่างก็พากันตื่นตะลึงเป็นที่สุด เสียงอุทานอย่างไม่อยากเชื่อดังระงม
โอ้สวรรค์! นั่นมันคืออะไร
มู่เฉียนซี ดูเหมือนนางจะมีพลังของผู้บำเพ็ญภูตระดับสาม ละ ละ และมันก็เป็น… ธาตุน้ำ!
สวรรค์!
มู่เฉียนซีผู้ไร้ความสามารถ กลับกลายเป็น ‘ผู้บำเพ็ญภูตธาตุน้ำระดับสาม’ นี่ข้ากำลังหลับฝันอยู่หรือเปล่า
ทั่วทั้งทวีปนี้ ผู้คนโดยส่วนมากแล้วจะเป็น ‘ผู้ฝึกยุทธ์’ ส่วนผู้ที่มีพรสวรรค์จนสามารถบรรลุเป็น ‘ผู้บำเพ็ญภูต’ ได้นั้นมีน้อยกว่ามากจนเรียกว่าแทบหาไม่ได้ และในจำนวนผู้บำเพ็ญภูตนับล้านทั่วทั้งทวีปนี้ มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นจึงจะปรากฏเป็น ‘จอมภูตที่มีพลังธาตุน้ำ’ ได้คนหนึ่ง นับได้ว่าเป็นสิ่งหายากยิ่งกว่ายาก
‘ผู้บำเพ็ญภูตที่มีพลังธาตุ’ นั้นจะแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญภูตทั่วไป และหากฝึกฝนจนเป็นจอมภูตพลังธาตุได้ ก็ย่อมแสดงว่าคนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่ก้าวข้ามความท้าทายระดับสูงมาแล้วทั้งสิ้น
นี่เจ้า…!
เมื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดเช่นนี้ขึ้น ซวนหยวนหลี่เทียนที่ลำพองว่าตนเป็นฝ่ายเหนือกว่ามาตลอดก็นิ่งอึ้ง เขาได้แต่ชะงักค้างอยู่กับที่จนลืมไปเสียสิ้นว่ายามนี้ ตนกำลังอยู่ระหว่างการประลองยุทธ์อยู่กับคู่หมั้นหญิง …สตรีผู้เคยไร้ค่า…….. ผู้นั้น!
.