ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 910 ทั้งสองต่างรู้กัน
ยอดฝีมือเหล่านั้นที่พุ่งเข้ามาทางมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีมิเพียงแต่มิได้หวั่นกลัวเท่านั้น ซ้ำยังกลับยิ้มด้วยความตื่นเต้นแล้วกล่าว “พวกเจ้ามาได้พอดี ข้าสามารถเอาพวกเจ้ามาฝึกกระบี่ได้”
ตั้งแต่นางตั้งใจฝึกวิชากระบี่มานี้ คู่ต่อสู้ของนางก็มีเพียงแค่กู้ไป๋อี เมื่อเผชิญกับกู้ไป๋อีที่ไร้จุดบกพร่องแล้วนั้น ทำให้มันส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของนาง
มาตอนนี้มีเป้าอื่นมาเป็นคู่ต่อสู้ เช่นนั้นนางก็จะลงมือให้เต็มที่!
กระบี่ยาวธรรมดาเล่มหนึ่งได้กวาดออกไปเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ “เงาเหมันต์จันทรา!”
บึ้ม!
เมื่อกระบวนท่ากระบี่นี้ของมู่เฉียนซีได้ถูกปล่อยออกไป ทางกู้ไป๋อีเองก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
กระบวนท่าเดียวกันที่ล้ำลึกอย่างมิอาจคาดเดาได้ และการฆ่าล้างที่รุนแรงไปทั้งสี่ทิศที่เหมือนกัน
การเคลื่อนไหวของพวกเขาช่างไวยิ่งนัก ถึงแม้ว่าพลังความสามารถของพวกนั้นจะสูงกว่าพวกเขามาก แต่กลับไม่สามารถตามความรวดเร็วของพวกเขาได้เลย
เสียงอันเย็นชาเสียงหนึ่งได้ลอยมา “เงาจันทราคู่!”
กู้ไป๋อีเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีจากคนจำนวนมากมายเช่นนี้ กระบี่เฉียนหานในมือเขาราวกับมันได้แยกจากหนึ่งออกเป็นสอง วงล้อจันทร์เสี้ยวได้พุ่งไปทางศัตรู
มู่เฉียนซีพึมพำ เงาจันทราคู่ กระบวนท่านี้ข้ายังเรียนรู้มิได้สมบูรณ์ทั้งหมด!
แต่เพื่อที่จะตามจังหวะการต่อสู้ของกู้ไป๋อีให้ทัน และไม่อยากให้เขาทิ้งห่างไปมากนัก กระบี่ยาวของมู่เฉียนซีได้เริ่มขยับแล้วก็ออกกระบวนท่าไป
“เงาจันทราคู่!”
เป็นกระบวนท่าอันน่าตื่นตะลึงที่เหมือนกันไม่มีผิด นั่นทำให้ศัตรูตกอยู่ในความเชื่องช้า
ในตอนนี้ขวัญกำลังใจของคนจากตระกูลเย่ที่อยู่ทางนี้ก็พุ่งสูงขึ้นมาและกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างเป็นที่สุด “พวกเราลุย!”
“ฆ่ามัน!”
ตูม!
เลือดสดที่สาดกระเซ็น การต่อสู้อย่างสุดกำลัง
เมืองเหลยที่เดิมทีมีความได้เปรียบอยู่นั้นกลับมาพ่ายแพ้และถอยร่นไปในตอนนี้
“พรวด!”
“พรวด!”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันที่กระบี่ทั้งสองเล่มแทงเข้าไปที่ขั้วหัวใจของยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิแห่งเมืองเหลยทั้งสองคน นั่นเป็นที่รู้กันสำหรับทั้งสองคน
“พวก….พวกเจ้า…”
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะถูกจักรพรรดิยอดยุทธและจักรพรรดิแห่งภูตชั้นต่ำฆ่าเอา
ปัง!
ปัง!
มหาจักรพรรดิทั้งสองล้มลง การต่อสู้ต่อจากนี้ไปก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว
มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีได้จัดการกับสัตว์พิษเหล่านั้นเสียจนสิ้น จากนั้นก็ได้พุ่งเข้าไปทางกลุ่มคน
คนของเมืองเหลยเผชิญกับระดับจักรพรรดิทั้งสองคนที่พุ่งเข้ามา ราวกับว่าพวกเขาพบเข้ากับสัตว์ที่ดุร้ายหรือไม่ก็น้ำป่าไหลหลากก็มิปาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหี้ยมหาญอีกสองตัว
ผลลัพธ์ที่รอพวกเขาอยู่ก็มีแต่เพียงถูกทำลายสิ้นทั้งกระบวนทัพ!
ถูกทำลายสิ้นทั้งกระบวนทัพ!
ในการต่อสู้นี้กู้ไป๋อีได้โหดเหี้ยมจนถึงขั้นสุดแล้ว วิญญาณที่วายสิ้นไปไม่สามารถที่จะดิ้นรนได้และทำได้แต่เพียงสั่นระริกอยู่ภายใต้กระบี่อันเยือกเย็นเท่านั้น
เมื่อกระบี่นั้นได้ฟาดฟันลงมาอย่างไม่ขาดสาย จึงทำให้วิญญาณของคนขาดสะบั้นไปในที่แห่งนั้น
บึ้ม!
เมืองเหลยพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าเมืองเหลยกล่าวขึ้น “ถอย…..”
“ถอย….”
“กลับเมือง!”
มู่เฉียนซีกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นเข็มยาเข็มหนึ่งก็ได้พุ่งออกไป
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเมืองเหลย เจ้าคิดที่จะหนีไปตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะสายไปหน่อยเสียแล้ว”
ซึบ!
เข็มยาเข็มนั้นทิ่มทะลุแผ่นหลังของเขา
ตุบ!
ตัวของเขาชาไปทั้งตัวไร้ซึ่งความรู้สึกใดและล้มลงไปบนพื้นในทันที
“ท่านเจ้าเมือง!”
“ท่านเจ้าเมือง!”
สีหน้าองค์รักษ์ที่อยู่ข้างกายของเจ้าเมืองเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก แต่ทว่าในตอนนี้พวกเย่เฉินได้ฝ่าเข้ามาแล้ว
พวกเขาไม่สนใจตัวเจ้าเมืองของพวกเขาแล้ว พวกเขาทำได้แต่เพียงหนีเข้าเมืองไปอย่างรีบร้อน
เจ้าเมืองเหลยได้ถูกล้อมเอาไว้ เขากล่าว “จะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่เจ้า!”
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกล่าว “เจ้าไม่คิดหรือว่าฆ่าเจ้าไปเลยนั้นมันจะทำให้เจ้าสบายไปหน่อย? จะใส่พิษทั้งร้อยชนิดไปในตัวเจ้า จากนั้นก็เอาตัวเจ้าไปแขวนไว้บนกำแพงเมือง รสชาติเช่นนี้เจ้าจะต้องชอบเป็นอย่างมากแน่ใช่หรือไม่?”
ก้นบึ้งหัวใจของเจ้าเมืองเหลยรู้สึกเย็นวาบและสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว
พวกเย่เฉินเองก็แสยะมุมปาก ชอบ? รสชาติความน่ากลัวเช่นนี้หากชอบก็คงจะแปลกเสียแล้ว
“เจ้า….เจ้าอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม มิเช่นนั้นแล้วข้าจะฆ่าตัวตาย ข้า…”
เมื่อมู่เฉียนซีสะบัดข้อมือ เข็มยาอีกเข็มก็ได้พุ่งออกไป
นางกล่าว “เจ้าเมืองเหลยก็ไร้เดียงสาไปแล้วกระมัง! ต่อหน้าข้าเจ้ายังกล้าคิดที่จะฆ่าตัวตาย?”
ทั้งตัวของเขาไร้เรี่ยวแรง มาตอนนี้แม้ความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายก็ยังเป็นความหวังที่เลื่อนลอย
มู่เฉียนซีกล่าว “นำตัวเขาแล้วก็สัตว์พิษเหล่านั้นไป พวกเราเข้าเมือง!”
คนที่อยู่ในเมือง ณ ตอนนี้ มีทั้งบาดเจ็บ ล้มตาย และต้องพิษ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปิดประตูเมืองเอาไว้สนิทแน่น แต่ก็ไม่อาจที่จะกันพวกเขาเอาไว้ได้อยู่
มู่เฉียนซีโบกมืองแล้วกล่าว “อู๋ตี้ เสี่ยวหง ระเบิดประตูเมืองบานนั้นออก!”
“รับทราบ!”
อู๋ตี้ได้กลายร่างเป็นแมวสีขาวตัวยักษ์ ส่วนเสี่ยวหงก็ได้ระเบิดเปลวเพลิงออกมา!
ตูม!
เสียงระเบิดดังสนั่นเสียงหนึ่งลอยออกมา ประตูเมืองเหลยถูกเปิดออกอย่างไร้ความหมาย
“วิ่งเร็ว!”
“หนีเร็ว!”
“…..”
พวกเขาบุกฆ่าฟันไปถึงจวนเจ้าเมืองได้สบาย ๆ ส่วนเย่เฉินก็ได้ไปจัดการกับพวกเหล่าผู้ที่พ่ายแพ้ผู้อื่น
มู่เฉียนซีกล่าวกับเขา “อย่าได้ประมาทไป”
“ขอรับ!”
หลังจากที่เย่เฉินไปแล้ว มู่เฉียนซีก็มองไปทางเจ้าเมืองเหลยแล้วกล่าว “บอกมาเถอะ! ใครกันที่เป็นผู้ให้สัตว์พิษเหล่านี้แก่เจ้า?”
เจ้าเมืองเหลยตอบ “ไม่มี….ไม่มีใครให้ข้ามาทั้งนั้น….. ข้าได้มาเอง พวกเจ้าทำให้มันง่ายดายหน่อย ฆ่าข้าเสียเถอะ!”
ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววอันตรายออกมา ผู้ที่ให้สัตว์พิษแก่เขานั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่ชิงมู่กล่าวถึงอย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะมีผู้ได้รับมรดกจากเขาแล้วจากนั้นก็ออกมาก่อความวุ่นวาย
“แล้วถ้าหากว่าข้าจะต้องทำให้เจ้าพูดให้ได้เล่า?”
“ข้าไม่พูดหรอก!”
เขาสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บจากรอบด้าน กู้ไป๋อีได้ชักกระบี่ยาวออกมาจ่อที่คอของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เจ้าไม่กลัวตายจริงหรือ?” กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ดวงตาอันเย็นชาคู่นั้นแฝงไปด้วยจิตสังหาร ราวกับว่าจะทำให้เขาถูกแช่แข็งไปทั้งตัวก็มิปาน
เขาจะไปอยากตายได้อย่างไร?
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ข้าสามารถวางยาพิษเมืองเหลยของเจ้าได้ ข้าก็สามารถวางยาพิษเจ้าได้ หรือเจ้าอยากลองความรู้สึกของการที่มีพิษร้ายหลายชนิดอยู่บนร่างของเจ้าดู?”
“ไม่เอา…ไม่เอา….ข้าพูดแล้ว….”
“มันคือสำนักขวางโซ่ว เป็นพวกเขาที่เอาสัตว์พิษให้ข้า พวกเขาสั่งให้ข้าควบคุมเมืองที่อยู่รอบเมืองเหลยสิบเมือง เมื่อถึงตอนนั้นแล้วจะมีรางวัลใหญ่ ข้าเกิดความโลภเข้าครอบงำจิตใจชั่วขณะ ก็เลย….”
“สำนักขวางโซ่ว ที่ถิ่นทุรกันดารมีกองกำลังเช่นนี้หรือ?”
“พวกเขาไม่ได้อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารอย่างแน่นอน แต่ทว่ากำลังของมันนั้นก็คงจะไม่อ่อนด้อยไปกว่าขั้นสำนักนิกายระดับสอง”
กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แดนตะวันออกมีสำนักนิกายระดับสองนับพัน แต่ไม่มีสำนักเช่นนี้อยู่ ยิ่งแดนเหนือยิ่งไม่มี นอกเสียจากว่า…..”
ถึงแม้ว่าเขาจะใจจดใจจ่ออยู่กับการฝึกยุทธ์ แต่ความจำของเขานั้นก็นับว่าดีเป็นอย่างมาก เขาเคยอ่านรายชื่อสำนักนิกายระดับสองของโลกทั้งสี่ทิศและจดจำมันได้ทั้งหมด
โลกทั้งสี่ทิศไม่มีกองกำลังสำนักขวางโซ่วนี้อย่างแน่นอน
เมื่อกู้ไป๋อีมั่นใจเช่นนี้ แน่นอนว่ามู่เฉียนซีก็เชื่อในการคาดการณ์ของเขา นางถามขึ้นต่อ “นอกจากอะไรเสี่ยวไป๋?”
กู้ไป๋อีกล่าว “นอกเสียจากเป็นกลุ่มกองกำลังที่หลบซ่อนอยู่ในความมืด”
มิใช่กองกำลังทั้งหมดที่จะชอบนำตนเองออกมาไว้ในที่สว่าง
แต่โดยปกติแล้ว กองกำลังที่ซ่อนตัวเองเอาไว้ในความืดจะต้องมีแผนการอะไรบางอย่าง
“สำนักขวางโซ่ว มันอยู่ที่ไหนกันแน่?”
ให้เมืองเหลยโจมตีเมืองรอบด้านสิบเมือง เป้าหมายสำนักนิกายระดับสองไม่ใช่แค่เมืองสิบเมืองนี้แน่
เกรงว่าเป้าหมายของพวกเขาจะเป็นทั้งพื้นที่ทุรกันดาร หรือไม่ก็มีความทะเยอทะยานที่มากกว่านั้น!
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้จริง ๆ”
“เช่นนั้น สำนักขวางโซ่วมีสตรีชุดดำผู้หนึ่งใช่หรือไม่?” มู่เฉียนซีถามขึ้น