ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 994 หวานซึ้งยิ่งนัก
ความคิดเห็น! พวกเขาจะกล้ามีความคิดเห็นได้อย่างไรกันเล่า!
ผ่านเรื่องราวที่น่าหวาดกลัวเช่นนั้นมา การเผชิญหน้ากับสำนักขวางโซ่วที่วิปริตเช่นนี้นั้น พวกเขาจำเป็นต้องมีผู้นำที่แข็งแกร่ง
ในกลุ่มของพวกเขา ไม่มีผู้ใดสามารถแบกรับภาระอันหนักหน่วงนี้ได้ แต่ท่านเหล่านั้นของเมืองเหลยสามารถทำได้
“เดิมทีเมืองเหลยก็เป็นผู้ชนะที่ได้อันดับหนึ่งในการประลองครั้งนี้อยู่แล้ว ท่านเจ้าเมืองเย่เป็นผู้นำ ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
“ครั้งนี้ หากไม่ได้ทุกท่านของเมืองเหลยช่วยชีวิตเอาไว้ พวกเราก็คงจะถูกสำนักขวางโซ่วกำจัดไปแล้ว พวกท่านเป็นถึงผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ ตำแหน่งผู้นำนี้ต้องเป็นของท่านเจ้าเมืองเย่แต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว”
“……”
เมื่อไม่มีผู้ใดมีความคิดเห็นที่ขัดแย้ง มู่เฉียนซีจึงหันไปยิ้มพลางกล่าวกับเย่เฉินว่า “เอาล่ะ เรื่องต่อไปก็มอบให้เป็นหน้าที่เจ้าแล้ว”
เย่เฉินได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกยุ่งเหยิงแล้ว พูดผิดไปหรือไม่!
นี่นายท่านคิดจะทิ้งให้เขาจัดการโดยไม่สนใจสิ่งใดเลยอย่างนั้นเหรอ?
มู่เฉียนซีใช่ว่าจะไม่สนใจสิ่งใดเลย เมื่อครู่นางเพิ่งจะทะลวงพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับห้าได้ ดังนั้นนางจึงต้องรีบไปฝึกฝนให้พลังมั่นคงเสียก่อน
เมื่อไม่มีคำสั่งจากมู่เฉียนซี กู้ไป๋อีก็ไม่ได้ใจดีที่จะไปช่วยเย่เฉิน
โชคดีที่เย่เฉินยังมีว่าที่พ่อตาในอนาคตกับท่านเจ้าเมืองซีเจว๋คอยช่วย มิเช่นนั้นเรื่องราวมากมายเช่นนี้หากให้เขาจัดการเพียงลำพังคงต้องเหนื่อยมากเป็นแน่
เมื่อซ่อมแซมเมืองและก่อสร้างจวนเจ้าเมืองขึ้นมาใหม่แล้ว จากนั้นก็เริ่มคัดเลือกคนขึ้นมาเป็นท่านเจ้าเมืองของแต่ละเมืองใหม่
ทางตะวันตกของทุ่งรกร้างแห่งนี้มีเมืองหลายเมืองถึงเพียงนี้ ภายในเวลาหนึ่งวันก็ได้ขาดเจ้าเมืองไปแล้วไม่น้อย และแน่นอนว่าต้องจัดการใหม่
เดิมทีคนที่อยู่ในเมืองนี้ไม่ยอมจำนนต่อท่านเจ้าเมืองที่แต่งตั้งขึ้นมาลอย ๆ เช่นนี้ เย่เฉินจึงได้ส่งท่านเจ้าเมืองซีเจว๋และยอดฝีมือบางส่วนไปปราบปราม
ไม่ยอมจำนน ก็ต้องต่อสู้จนพวกเขายอมจำนน!
ไม่รู้ว่าสำนักขวางโซ่วจะมาโจมตีเมื่อใด เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเขาเหล่านี้ เย่เฉินซื้อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาเป็นจำนวนมากเพื่อมาฝึกสัตว์ อีกทั้งยังส่งคนไปเป็นจำนวนมากเพื่อจับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มา
ในขณะที่มู่เฉียนซีฝึกฝนพลังวิญญาณอยู่ นางก็ได้ฝึกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย ทำให้ความแข็งแกร่งทางตะวันตกของทุ่งรกร้างยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
เมืองที่ถูกทำลายได้รับการซ่อมแซมปรับปรุงและสร้างใหม่ขึ้นมาดังเดิมแล้ว เนื่องจากการทำงานล่วงเวลาจึงทำให้เสร็จเร็วขึ้น จวนเจ้าเมืองอันยิ่งใหญ่ได้ตั้งตระหง่านขึ้น ในที่สุดท่านเจ้าเมืองเย่ก็มีที่พักแล้ว
เจ้าเมืองซีเจว๋หลังกลายมาเป็นสุนัขรับใช้แล้วก็กล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองเย่ นายท่าน ในเมื่อตอนนี้ได้แต่งตั้งท่านเป็นเจ้าเมืองคนใหม่แล้ว เมืองซีเจว๋แห่งนี้ก็ต้องเปลี่ยนชื่อด้วยหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ก็จริง ควรจะเปลี่ยนชื่อแล้ว เย่เฉิน เจ้าคิดเองเถอะ!”
เย่เฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไปเปราะหนึ่ง โชคดีที่นายท่านให้เขาคิดชื่อเอง
หากนายท่านเป็นคนคิดชื่อแล้วละก็ เขาคงจะรับไม่ได้เป็นแน่
เมื่อนึกถึงชื่อของสัตว์พันธสัญญาของนายท่านอย่างเสี่ยวหงกับชื่อของท่านกู้ ก็รู้ได้ในทันทีว่าทักษะการตั้งชื่อของนายท่านเป็นเช่นไร
แน่นอนว่าเย่เฉินนั้นเพียงแต่คิดในใจเกี่ยวกับทักษะการตั้งชื่อของนายท่านตัวเอง และไม่คิดจะกล่าวออกไปให้มู่เฉียนซีได้ยินเป็นแน่
เย่เฉินกล่าว “นายท่าน ตั้งชื่อว่าเมืองเย่เซี่ยได้หรือไม่”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เจ้านี่ช่างเป็นคนที่หวานซึ้งเกินไปแล้ว ชื่อของคนสองคน เอามารวมกันตั้งเป็นชื่อเมือง เซี่ยฉีต้องดีใจมากเป็นแน่”
“ชื่อนี้ได้หรือไม่นายท่าน?” เย่เฉินกล่าวอย่างมีความหวัง
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าเมือง แต่หากไม่มีนายท่าน เขาจะเดินมาถึงจุดนี้ได้เช่นไร
การใช้ชื่อของเซี่ยฉีกับชื่อของตัวเองมาตั้งเป็นชื่อเมืองเช่นนี้ มันอาจจะดูไม่เหมาะสมเล็กน้อย
มู่เฉียนซีกล่าว “ถึงอย่างไรเสีย นี่ก็เป็นเมืองของเจ้า เจ้าจะตั้งชื่ออะไรก็แล้วแต่เจ้าสิ”
“ขอบคุณนายท่านขอรับ ขอบคุณนายท่านมาก” เย่เฉินกล่าวด้วยความตื่นเต้น
หลังจากที่พูดคุยเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว มู่เฉียนซีก็จากไป
กู้ไป๋อีมองมู่เฉียนซีและกล่าวถามว่า “คุณหนูใหญ่ การที่เราใช้ชื่อของคนสองคนมาตั้งเป็นชื่อเมือง หรือตั้งเป็นชื่อของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันหวานซึ้งมากหรือขอรับ?”
มู่เฉียนซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เสี่ยวไป๋ นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะถามคำถามนี้ หรือว่าเจ้าก็อยากจะตั้งชื่อของบางอย่างเพื่อเอาใจสาวอย่างนั้นเหรอ?”
“ข้าเปล่า! ก็แค่ถามไปงั้น ๆ เอง”
“ถามงั้น ๆ แล้วเจ้าจะถามคำถามนี้มาได้อย่างไรกันล่ะ” มู่เฉียนซีมองหน้าเขาด้วยความสงสัย
กู้ไป๋อีจึงเปลี่ยนเรื่อง “ความก้าวหน้าของคุณหนูใหญ่เริ่มมั่นคงแล้ว คุณหนูใหญ่รีบกลับไปฝึกฝนเถอะ!”
“อืม!”
ในขณะที่มู่เฉียนซีกลับไปฝึกฝน กู้ไป๋อีก็เอากระบี่เฉียนหานของตนเองออกมา ในตอนนั้นเขาแค่ตั้งชื่อกระบี่เล่มนี้ออกมาโดยไม่ได้คิดอันใด หรือว่าในตอนนั้นเขาก็…
ในความที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว นึกไม่ถึงว่าเขาไม่สามารถควบคุมหัวใจของตนเองได้แล้ว เขาแค่ไม่รู้ตัวเองก็เท่านั้น
มู่เฉียนซีใจจดใจจ่ออยู่กับการฝึกฝนพลังวิญญาณ ส่วนเย่เฉินก็ยุ่งกับการจัดการเรื่องต่าง ๆ จนหัวหมุน และในที่สุดก็จัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ในเวลานี้ ณ สถานที่มืดมิดแห่งหนึ่ง
“ท่านพ่อ จะไม่ลงมือกับทางตะวันตกของทุ่งรกร้างจริง ๆ หรือขอรับ ของดีเช่นนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้นะขอรับ!”
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ เจ้าไม่เพียงแต่จะพ่ายแพ้ แต่ยังทำให้สูญเสียเงาไปเงาหนึ่งอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่ากว่าจะหลอมรวมออกมาเป็นเงาได้มันยากเย็นเพียงใด เจ้ามันไร้ประโยชน์!”
“ท่านพ่อ ข้ารู้ผิดแล้ว แต่จะปล่อยให้พวกมันกำเริบเสิบสานต่อไปเช่นนี้น่ะเหรอ”
“เจ้าบอกว่าสองคนนั่นเป็นกระดูกที่กัดแทะได้ยาก ดังนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งลงมือกับพวกมันก่อน รอให้พวกเราได้อาณาเขตอื่น ๆ มาได้ และเพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกเราได้เสียก่อน เมื่อถึงเวลารับมือกับพวกมัน เราจะได้ปลอดภัยมากขึ้น”
“ขอรับ!”
ในขณะที่เย่เฉินเสริมความแข็งแกร่งให้แข็งแกร่งขึ้น แต่สำนักขวางโซ่วก็ไม่ได้กลับมาแก้แค้นแต่อย่างใด
เขากล่าวด้วยความแปลกใจเล็กน้อยว่า “นายท่าน กองกำลังของสำนักขวางโซ่วไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดใดเลย เกรงว่าจะมีแผนการใหญ่แอบซ่อนอยู่”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “พวกมันไม่มีทางเลิกราเป็นแน่ ทุกอย่างต้องระมัดระวังให้ดี”
ทางตะวันตกของทุ่งร้างได้เป็นพันธมิตรกันและเข้าสู่ลู่ทางที่ถูกต้อง นับว่ารวมกำลังอย่างสามัคคีกันค่อนข้างดี
เดิมทีเย่เฉินคิดจะพักผ่อนและกลับไปเยี่ยมหญิงสาวอันเป็นที่รักของตัวเองสักหน่อย กลับคิดไม่ถึงว่าทางด้านของท่านผู้เฒ่าเย่จะส่งข่าวที่น่าตกใจข่าวหนึ่งมา
ค่ายกลนั้นของตระกูลเย่ของพวกเขาได้เสียหายก่อนเวลาที่กำหนด!
แน่นอนว่าไม่ได้เสียหายทั้งหมด แต่ปรากฏรอยแตกขึ้น
“นายน้อย จะทำเช่นไรต่อไปดี?”
เย่เฉินกล่าว “ต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด”
“แจ้งนายท่าน!”
เมื่อมู่เฉียนซีได้ยินคำพูดของเย่เฉิน กลับดีใจขึ้นมาเล็กน้อย
มู่เฉียนซีกล่าว “เดิมทีคิดว่าต้องรอเป็นครึ่งปีเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะเปิดออกก่อนเวลาที่กำหนด เช่นนี้ก็จะได้ดีงูสวรรค์เร็วขึ้นน่ะสิ”
เย่เฉินกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “นายท่าน เรื่องในครั้งนี้ เกรงว่าจะไม่ได้ราบรื่นเช่นนั้นน่ะสิ”
“หากค่ายกลของตระกูลเย่เปิดออกอย่างเงียบ ๆ ตามเวลาที่ได้กำหนดเอาไว้ ก็จะไม่มีผู้ใดรับรู้ มีข้าเป็นคนนำทาง พวกเราก็จะได้ของในคลังสมบัติของตระกูลเย่อย่างปลอดภัย”
“แต่ตอนนี้มันปรากฏรอยแตกขึ้น เกรงว่าจะเปิดโปงตระกูลเย่ของข้าแล้ว ตอนนี้เกรงว่ากองกำลังทั่วทั้งแดนตะวันออกจะสังเกตเห็นตระกูลเย่ของข้าแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะแห่กันมาที่ตระกูลเย่ และการที่พวกเราจะเอาของในคลังสมบัติก็จะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้”
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “ไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้อย่างนั้นเหรอ ไม่ง่ายก็ต้องลองดู ไม่ว่าอย่างไรก็จะสูญเสียดีงูสวรรค์ไปไม่ได้เด็ดขาด”
เย่เฉินกล่าว “ถึงแม้ว่าดีงูสวรรค์จะเป็นสมุนไพรวิญญาณขั้นปฐพี แต่ก็ได้ทำให้กองกำลังเหล่านั้นสนใจ สิ่งที่พวกเขาสนใจเกรงว่าจะเป็นหม้อเทพไท่อีต่างหาก!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ถึงแม้ว่าหม้อเทพไท่อีที่เป็นวัตถุเลียนแบบหม้อเทพนิรันดร์จะสำคัญมาก แต่เย่เฉิน การที่เจ้ากลับตระกูลเย่ไปในครั้งนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือดีงูสวรรค์ เจ้าต้องจำไว้ให้มั่น!”
เย่เฉินกับกู้ไป๋อีได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง คนที่นางจะช่วยชีวิตผู้นั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะสำคัญจนทำให้นางไม่สนใจวัตถุเทพได้
ถึงแม้จะรู้ว่าคนผู้นั้นไม่ใช่หวงจิ่วเยี่ยผู้ที่นางให้ความสำคัญมากที่สุด แต่ในใจเขาก็เกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อเย่เฉินไปรวบรวมข่าวของตระกูลเย่ เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะเลวร้ายเกินกว่าที่เขาได้จินตนาการเอาไว้