ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 999 ธิดาศักดิ์สิทธิ์
มู่เฉียนซีกล่าว “ที่ข้าต้องการก็ไม่มากนัก เห็นแก่การที่พวกเจ้าทำให้ข้าทำการค้าขายครั้งแรกได้เสร็จสิ้น ยาเม็ดขั้นปฐพีสามเม็ดก็พอแล้ว”
“เจ้านี่มันเป็นสิงโตอ้าปากเขมือบเสียจริง เจ้า…”
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่เป็นไร ถ้าพวกเจ้าไม่ยินยอมที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลก็ได้ เช่นนั้นขอเชิญกลับไปเถิด! วันนี้พวกเจ้าไปยังหุบเขาตระกูลเย่ไม่ได้แล้ว”
“แต่…แต่พวกเราได้จ่ายเงินไปแล้ว เจ้า…เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?”
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับคนใจดำ คนมีอายุน้อยรุ่นหนุ่มหน่อยก็ถูกทำให้โกรธเสียจนปวดตับ
คนผู้อื่นนั้นโกรธเสียจนแทบจะระเบิดออกมา แต่เซียวโม่กลับชื่นชมมู่เฉียนซีอย่างที่สุด!
แข็งแกร่ง แข็งแกร่งยิ่งนัก
ไม่สามารถที่จะทนต่อไปได้อีก และในตอนที่พวกเขากำลังจะระเบิดออกมานี้เอง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ได้นำยาเม็ดขั้นปฐพีที่มีคุณภาพอย่างดีมอบให้แก่มู่เฉียนซีแล้วกล่าว ตอนนี้พวกเราสามารถเข้าไปได้แล้วกระมัง!”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “แน่นอนว่าเข้าได้แล้ว เชิญเข้าไปเถิด!”
พวกเขาเข้าไปยังหุบเขาตระกูลเย่อย่างกระอักเลือด
จากนั้นเซียวโม่ก็หันมากระซิบว่า “เฉียนซี เจ้าว่าไป๋อีสามารถปลอมเป็นยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิขั้นที่เก้าได้อย่างไร? ถ้าหากว่าไม่รู้เรื่องภายในละก็ ข้ายังนึกว่าเป็นของจริงเลย”
พลังกดดันทางจิตอันเย็นยะเยือกพลังหนึ่งทำให้พวกเขารู้สึกถึงความหนาวเหน็บชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ
ม่านตาของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพลันหรี่เล็กลง พลังความกดดันทางจิตนี้อย่างน้อย ๆ …
อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับมหาจักรพรรดิขั้นที่เก้าจึงจะมีได้ เบื้องหลังกลุ่มคนหนุ่มที่โอหังเหล่านี้กลับมีผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้อยู่ มิน่าเล่าพวกเขาถึงได้ยโสโอหังเช่นนี้
เบื้องหลังของพวกเขาอย่างน้อยก็ต้องเป็นสำนักนิกายระดับสองครึ่ง ในเมื่อล่วงเกินพวกเขาไม่ได้ก็จะหลบซ่อนจากพวกเขามิได้หรือยังไรกัน?
“ถ้าหากข้ารู้วิธีการเช่นนี้ จากนี้ไปก็จะสามารถไปหลอกให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว”
แน่นอนว่าเซียวโม่ไม่มีทางรู้ถึงพลังความสามารถที่ผ่านมาของกู้ไป๋อีว่าได้ไปถึงในขั้นนั้นมาแล้ว การแสดงเป็นยอดฝีมือระดับนั้นช่างง่ายดายยิ่งนัก
มู่เฉียนซีกล่าว “ก็มีแค่เพียงไป๋อีเท่านั้นที่สามารถจะใช้ได้ พวกเจ้าจงล้มเลิกความคิดนั้นเสียเถอะ!”
“เย่เฉินรีบรักษาอาการบาดเจ็บเข้า กิจการค้าขายเพิ่งจะเริ่มขึ้น!”
พวกเขาทั้งสี่คนแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน เซียวโม่รับผิดชอบแสดงเป็นนายน้อยจากกองกำลังใหญ่ผู้หยิ่งยโสที่ทรงพลัง
เย่เฉินรับหน้าที่ในการถูกทุบตี ส่วนมู่เฉียนซีรับหน้าที่ในการหลอกลวงผู้คน ส่วนไป๋อีนั้นคอยแผ่ซ่านพลังกดดันที่น่ากลัวนั่นอยู่ในมุมมืดเพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัว
พวกเขาทั้งสี่ร่วมมือกันได้ดีเป็นอย่างมาก พวกเขาทำการหลอกลวงปล้นชิงมาได้ทั้งวันโดยไม่ปรากฏพิรุธอันใด
ผู้ที่อนาถที่สุดนั้นก็คือเย่เฉิน แต่ทว่าเขาเองก็มีความสุข
ตระกูลเย่ได้ถูกทำลายไปแล้ว คนเหล่านี้ก็จงอย่าคิดที่จะได้ของของตระกูลเย่ไป ถึงแม้เขาจะไม่มีพลังความสามารถอะไรไปหยุดยั้งหรือประมือกับพวกเขา แต่ได้ทำให้พวกเขาเลือดตกยางออกเล็กน้อยก็ยังดี
วันต่อมาเหตุการณ์เช่นนี้ก็ยังดำเนินต่อไป…
เย่เฉินถูกทุบตีเสียจนเคยชินแล้ว ส่วนเซียวโม่เองก็เล่นสนุกเสียจนเสพติด
“การเข้าร่วมกับพวกเจ้านั้นคิดมิผิดจริง ๆ มันช่างสนุกสนานและตื่นเต้นยิ่งนัก”
แต่สิ่งที่ทำให้เซียวโม่ต้องตกตะลึงก็คือ เย่เฉินที่ถูกทุบตีไปเรื่อยนั้นกลับบรรลุขั้นเสียแล้ว ครานี้เป็นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สาม
เขาขยี้ตาของตนเองแล้วกล่าวขึ้น “ข้า…ข้ามิได้มองผิดไปกระมัง! เขาบรรลุขั้นอีกแล้ว!”
แม้ว่าเซียวโม่จะเป็นคนที่มีนิสัยไม่เลว แต่เย่เฉินเองก็ไม่สามรถที่จะบอกเรื่องยากระดููกมังกรกับเขาได้
เขากล่าว “ความสามารถในการฝึกยุทธ์ของตระกูลข้าค่อนข้างจะพิเศษ ยิ่งถูกตบตีเท่าไหร่ก็ยิ่งบรรลุขั้นได้เร็วเท่านั้น”
“ถูกตีแล้วกลับสามารถบรรลุขั้นได้ เจ้านี่ก็โชคดีไปแล้วกระมัง! ข้าถูกบิดาตีตั้งแต่ยังเล็กแต่กลับไม่มีความโชคดีที่จะได้บรรลุขั้นดังเช่นเจ้าเลย” เซียวโม่มีความอิจฉาต่อเย่เฉินนานาชนิด!
ช่วงเวลาหลายวันมานี้มีคนคิดที่จะเข้าไปในหุบเขาของตระกูลเย่เพื่อหาข่าวสารอยู่ไม่น้อย พวกเขายังมิได้พบเข้ากับสำนักนิกายระดับสอง ดังนั้นแล้วทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างราบรื่น
ไม่ว่าจะเป็นหยกวิญญาณหรือสมุนไพรวิญญาณ ล้วนแต่ได้มาเป็นจำนวนไม่น้อย
และตอนนี้ก็ห่างจากวันที่ค่ายกลนั้นของตระกูลเย่จะถูกเปิดออกอีกไม่นานแล้ว ชิงมู่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหม้อเทพไท่อีที่แรงขึ้นเรื่อย ๆ จึงได้บอกกับมู่เฉียนซีให้เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี
มู่เฉียนซีตัดสินใจว่าจะเลิกทำเช่นนี้แล้วหลังจากที่ขายตั๋วนี้หมดไป แต่กลับนึกไม่ถึงว่าได้มีคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา และในกลุ่มคนกลุ่มนั้นก็มีคนบางผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง
“ศิษย์พี่หลิว พวกนั้นนั่นแหละ! เมื่อวานข้าถูกพวกเขาปล้นไปแล้ว ท่านต้องล้างแค้นให้ข้า” ที่แท้ผู้ที่ถูกพวกนางปล้นไปเมื่อวานได้พาคนมาช่วย
ปรากฏว่าศิษย์พี่หลิวผู้นั้นเหลือบมองไปยังเงาร่างสีแดงแล้วกล่าว “ข้าก็นึกว่าใครที่โอหังอวดดีที่กล้ามาปล้นชิงกันในที่แห่งนี้! ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เองนายน้อยเซียว แล้วก็มีเพียงนายน้อยเซียวเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้”
เซียวโม่กล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเป็นข้าแล้วก็ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
ศิษย์พี่หลิวกล่าว “คนอื่น ๆ นั้นกลัวเจ้าแต่ว่าข้าไม่กลัว สำนักต้าเหยี่ยนของพวกเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวต่อพวกเจ้าตำหนักเซียวอวิ๋น”
สำนักต้าเหยี่ยน สำนักนิกายระดับสองครึ่ง
เซียวโม่กล่าว “พวกเจ้าจะเอาอย่างไร?”
สำนักนิกายระดับสองครึ่งรับมือได้ยากกว่าสำนักนิกายระดับสองอยู่มากนัก
“นำของที่พวกเจ้าชิงเอาไปคืนให้แก่ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ แล้วก็ถือโอกาสนี้ขอโทษเขาเสีย และเรื่องนี้ก็จะจบลงไปเช่นนี้”
เซียวโม่ยิ้มแล้วกล่าว “ขอโทษ? เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ?”
“ในเมื่อเจ้าไม่ตกลง เช่นนั้นก็ต้องขอคำแนะนำจากนายน้อยเซียวสักหน่อยแล้ว ไม่รู้ว่าพลังความสามารถของเจ้าในตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง?”
กล่าวจบ ศิษย์พี่หลิวก็ได้ลงมือกับเขา
เซียวโม่กล่าว “นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอคู่แค้นที่นี่ คนอื่น ๆ อย่าได้เข้ามายุ่ง ข้าจัดการเองก็ได้แล้ว”
ปัง! เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น ทั้งสองคนได้เริ่มสู้กันขึ้นมาโดยที่มีพลังความสามารถสูสีกัน!
ถึงแม้ว่าเซียวโม่จะประลองกำลังกับศิษย์พี่หลิว แต่ทว่าคนอื่น ๆ นั้นกลับไม่คิดที่จะปล่อยมู่เฉียนซีและเย่เฉินไป
โดยเฉพาะมู่เฉียนซีที่ดูแล้วจะมีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น พลังความสามารถจะต้องไม่แข็งแกร่งและรับมือได้ง่ายอย่างแน่นอน!
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! หลายคนเหล่านั้นได้พุ่งไปทางมู่เฉียนซี
นางยิ้มแล้วกล่าว “หลายวันมานี้ข้าได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว ตอนนี้เลยอยากที่จะยืดเส้นยืดสาย แล้วก็มีพวกเจ้ามาหาถึงที่ ดีเยี่ยม…”
เมื่อร่างสีม่วงเริ่มขยับ นางก็ได้พุ่งไปทางคนเหล่านั้นราวกับสายฟ้าฟาด
เย่เฉินที่บรรลุขั้นมหาจักรพรรดิขั้นที่สามก็ได้ลงมือเช่นกัน
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! ทันทีที่ข้อมือของมู่เฉียนซีขยับ เข็มยาก็ได้บินออกมา
“พิษ!” สีหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนไป จากนั้นพลังหัตถ์ของมู่เฉียนซีก็ได้ร่วงลงมา
“ทักษะเทียนซวน!”
ตูม!
“มังกรวารีพิฆาต!”
ปัง ปัง ปัง!
ปรากฏว่าเซียวโม่ยังไม่ทันที่จะได้ตัดสินแพ้ชนะกับศิษย์พี่หลิว มู่เฉียนซีกับเย่เฉินก็ได้จัดการคนอื่น ๆ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เซียวโม่กล่าว “พวกเจ้าก็ไวไปแล้วกระมัง! ไว้หน้าข้าหน่อยได้หรือไม่เล่า! ตอนนี้ข้ายังไม่ได้จัดการกับเจ้าหมอนี่เลย!”
ใบหน้าของศิษย์พี่หลิวผู้นี้จวนจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว แต่คนของเขากลับถูกสองคนนั้นจัดการไปได้อย่างรวดเร็ว เจ้าพวกไร้ค่า!
เป็นเพราะเขาเกิดเบี่ยงเบนความสนใจจึงได้เป็นโอกาสให้แก่เซียวโม่ พลังวิญญาณธาตุไฟได้โคจรขึ้นมาแล้วพุ่งไปทางศิษย์พี่หลิวผู้นั้น
“ฟ้าสูงพิฆาต!”
ตูม!
ศิษย์พี่หลิวได้กระเด็นลอยออกไปและกระแทกเข้ากับต้นไม้
เขาร้องตะโกนออกมาว่า “เซียวโม่ ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เซียวโม่ได้ลงมาจากกลางอากาศแล้วกล่าว “เจ้าผู้พ่ายยังคิดจะฆ่าข้า? เจ้ารีบนำสุนัขของเจ้าไสหัวไปเถอะ!”
ครานี้ตำหนักเซียวอวิ๋นไม่ได้มาเข้าร่วมสนุกด้วย เซียวโม่มาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ศิษย์พี่หลิวคิดที่จะฉวยโอกาสนี้จัดการกับเขาเสีย ไหนเลยจะคิดว่าข้างกายของเจ้าหมอนี่จะมีผู้ช่วยที่ร้ายกาจถึงสองคน
เขารับมือกับเซียวโม่ไม่ได้ จึงทำได้แต่กล่าวอย่างดุดัน “เจ้า…เจ้ารอก่อนเถอะ ข้า…ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
ในตอนนี้เอง ที่ปากทางเข้าก็ได้มีเสียงเสียงหนึ่งลอยมา
“ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ ยังเหลืออีกสองวันที่ค่ายกลโบราณของตระกูลเย่จะหายไป ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องรีบมาเช่นนั้น ท่านควรที่จะพักผ่อนเอาแรงเสียหน่อยจะดีกว่า”