ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] - บทที่ 428 สายโทรเข้ากลางดึก
บทที่ 428 สายโทรเข้ากลางดึก
บทที่ 428 สายโทรเข้ากลางดึก
“ใช่แล้ว! ตอนที่ผมเดินอยู่หน้าประตูสำนักเมื่อสองปีที่แล้ว ผมเจอผู้หญิงสองคนที่คล้ายกับคำบอกเล่าของคุณมาก!”
คนคนนั้นคือผู้อาวุโสหลิน
“ตอนนั้นผมไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่ แถมยังลืมไปนานแล้วจนได้ยินคุณเล่าในวันนี้นี่แหละ”
เขาอธิบายเสริมทันที
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมจ้องมองอีกฝ่าย หัวใจเต้นรัวด้วยความดีใจ
เขาสังเกตการกระทำของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ!
ชายหนุ่มใช้ชีวิตในโลกเทวะมากว่าสามร้อยปีในโลกเทวะจึงสามารถรับรู้เจตนาของผู้อื่นอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่มีใครหน้าไหนโกหกเขาได้หรอก!
ขณะนั้นเอง ผู้เฒ่าหลินรู้สึกเหมือนว่าตัวเองถูกมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ทันใดนั้นแผ่นหลังของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
โชคดีที่เขาเคยเจอสองคนนั้นจริง ๆ!
อวี้ฮ่าวหรานตัดสินอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“อืม แกไม่ได้โกหกจริง ๆ”
อวี้ฮ่าวหรานสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มจึงดีใจอย่างมาก!
เนื่องจากมีคนพบเห็นหลี่เม่ยที่บริเวณนี้เมื่อสองปีก่อน นั่นหมายความว่าเขากำลังมาถูกทางแล้ว!
แต่ประเทศจีนกว้างขวางมาก หนทางข้างหน้าจึงไม่ง่ายเลย…
“ดีมาก!”
ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นข่าวดีที่สุด เขาจึงอุทานออกมาด้วยความดีใจ
ทันทีที่เขาอุทานทั้งสองคำออกมา ทุกคนในห้องโถงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สุดท้ายก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง!
กว่าการประชุมจะจบลง ตะวันก็ลับขอบฟ้าแล้ว
“ตอนนี้ดึกแล้ว ถ้าน้องชายไม่รังเกียจ ทำไมไม่พักที่นี่สักหนึ่งคืนล่ะ?”
เจ้าสำนักฉินเชิญอีกฝ่ายให้พักที่สำนักเมฆาเขียว
เมื่อคิดให้ดีแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้ฆ่าลูกศิษย์เขา แถมตอนนี้ทั้งสองก็ไม่ได้มีความแค้นต่อกันแล้ว มันจึงเป็นโอกาสดีที่จะผูกมิตรกันไว้
“อืม”
อวี้ฮ่าวหรานเงยหน้ามองท้องฟ้าและเห็นว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่ปฏิเสธ
หลังจากได้รับเบาะแส เขาจะออกเดินทางกลับพรุ่งนี้เช้าทันที
สถานการณ์ในเมืองฮ่วยอันยังคงซับซ้อน ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่สามารถค้างแรมที่อื่นนานเกินไป
เวลาหนึ่งทุ่ม งานเลี้ยงก็ถูกจัดขึ้นในสำนักเมฆาเขียว
“ฮ่า ๆ! ดี! ในเมื่อน้องเล็กตัดสินใจค้างแรมอยู่ที่นี่ นายก็ถือว่าเป็นแขกของสำนักเมฆาเขียวของเรา พวกเรายินดีมาก!”
เจ้าสำนักฉินหัวเราะเสียงดัง
เขาไม่คาดหวังว่าตัวเองและอีกฝ่ายไม่เพียงปรองดองกันเท่านั้น แต่ยังรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกันอีกด้วย
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจอีกฝ่าย เขาพยักหน้าแล้วคีบอาหารเข้าปากอย่างเงียบ ๆ
จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง ก่อนวางตะเกียบลง
“ครั้งนี้ฉันเป็นหนี้บุญคุณสำนักเมฆาเขียว ถ้ามีเรื่องให้ช่วยเหลือก็บอกฉันได้ทุกเมื่อ”
เนื่องจากข้อมูลที่ได้จากอีกฝ่ายมีประโยชน์มาก อวี้ฮ่าวหรานจึงไม่อยากติดหนี้บุญคุณอีกฝ่าย
“งั้นก็…ดีมาก!”
ผู้อาวุโสหลินที่ที่นั่งอยู่ถัดจากเขามีความสุขมากเมื่อได้ยินอย่างนั้น ความเมตตาของชายผู้บรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุดมีประโยชน์ต่อสำนักเมฆาเขียวของพวกเขา
เจ้าสำนักเมฆาเขียวมีความสุขมากกว่าใคร ถึงพวกเขาจะเป็นพันธมิตรกับสำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็ตาม แต่ในเวลาปกติ พวกเขามักจะพึ่งพาตนเองมากกว่าขอความช่วยเหลือจากสำนักอื่น
“ขอบคุณ! ขอบคุณน้องชายมาก! ฉันฉินชางจะรักษาความสัมพันธ์อันดีงามของเราไว้แน่นอน!”
…
หลังจากรับประทานอาหารและสุราจนอิ่มแปล้ ไม่ช้าทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ
อวี้ฮ่าวหรานถูกจัดให้พักในห้องนอนรับรองขนาดใหญ่
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว ลมเย็นพัดโชยมา อวี้ฮ่าวหรานทอดสายตามองทิวทัศน์ข้างนอกหน้าต่าง
บ้านเรือนต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นตามสองข้างทาง ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่มีดวงดาวนับพัน รอบข้างมีแต่ภูเขาสูงตระหง่านในตอนค่ำคืน
ที่นี่ไม่มีอาคารสูงเทียมฟ้าเหมือนในเมืองอันวุ่นวายเลย
ภาพตรงหน้าทำให้อวี้ฮ่าวหรานตกอยู่ในภวังค์ ราวกับเขาได้หวนคืนสู่โลกเทวะอีกครั้ง
“ที่นี่สวยเหมือนกันนะเนี่ย”
หลังจากถอนหายใจ ชายหนุ่มก็เข้าสู่ขั้นตอนการฝึกตนทันที
การต่อสู้ในวันนี้ทำให้อวี้ฮ่าวหรานตระหนักถึงความสำคัญของความแข็งแกร่ง ถ้าบรรลุแค่ขอบเขตก่อรากฐานขั้นต้น เขาคงไม่มีวันได้เบาะแสของหลี่เม่ย
แต่ตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานเข้าใจแล้วว่าสำนักเมฆาเขียวแห่งนี้เป็นพันธมิตรกับสำนักที่มีชื่อเสียงบางสำนัก
พลังของผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดมาก
ท่ามกลางความมืดมิด อวี้ฮ่าวหรานเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ขณะที่เขาค่อย ๆ รู้สึกผ่อนคลายลง
ตอนนั้นเองจู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วทันทีเมื่อคิดได้ว่าตัวเองลืมปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ
หลังจากรวบรวมพลังวิญญาณและออกจากการฝึกตน อวี้ฮ่าวหรานก็เอื้อมมือไปกดปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ แต่ทันใดนั้นชายหนุ่มก็เห็นว่าคนที่โทรเข้าคือซูหว่านเอ๋อ!
ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก แต่จู่ ๆ คนที่ไม่คาดคิดว่าจะโทรมาในยามวิกาลกลับเป็นฝ่ายโทรมาหาเขาก่อน
คิ้วของเขาขมวดแน่นขึ้น ต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน!
เขากดรับสายทันที
“มีอะไรเหรอครับ?”
อวี้ฮ่าวหรานถาม แต่ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงลนลาน
“อวี้ฮ่าวหราน… ช…ช่วยฉันด้วย…พ่อทะเลาะกับผู้ชายที่เราเจอในโรงพยาบาลครั้งล่าสุด พวกเขาบุกเข้าไปในบ้านเรา ตอนนี้ฉันหนีออกมาข้างนอก…”
ซูหว่านเอ๋อ หญิงสาวผู้บอบบางพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
เสียงหอบหายใจดังอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าปลายสายกำลังวิ่งหนีด้วยความกลัว
“ผู้ชายที่เจอครั้งล่าสุด?”
อวี้ฮ่าวหรานอึ้งไปทันทีที่ได้ยิน จากนั้นก็จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ไปเยี่ยมหญิงสาวที่โรงพยาบาล เขามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับชายคนหนึ่ง จากนั้นส่งต่อให้ซูกว่างไห่และลูกชายของเขาเป็นคนจัดการ
“ตอนนี้มีคนตามคุณมาไหม?”
“ม…ไม่มี พ่อกับพี่ชายของฉันถูกพวกมันมัดไว้…แล้ว…”
“โอเค! คุณคงจะรู้ที่อยู่บ้านผมแล้ว ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดมากเลยครับ รีบหนีออกมาก่อน”
อวี้ฮ่าวหรานโพล่งขึ้นขัดจังหวะของอีกฝ่ายก่อนสั่งการอย่างรวดเร็ว
“ตอนนี้ผมออกมาทำธุระ แต่ไม่ต้องห่วง ผมจะส่งคนไปจัดการเรื่องที่บ้านคุณเอง”
“แต่…แต่…”
ซูหว่านเอ๋อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงลังเล
“อย่าเพิ่งคิดมากเลยครับ ตอนนี้คุณต้องหนีออกมาจากที่นั่นก่อน!”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ดังนั้นอวี้ฮ่าวหรานจึงไม่สนใจเรื่องอื่น
หลังจากวางสาย เขาก็โทรหาหวังเหยียนอย่างรวดเร็ว หลังจากรอสายไม่นาน อีกฝ่ายก็รับสายทันที
“ไม่ต้องถาม! นายรีบพาคนที่มีฝีมือไปเฝ้าข้างนอกบ้านฉันเดี๋ยวนี้!”
ไม่รอให้อีกฝ่ายขานรับ อวี้ฮ่าวหรานก็สั่งการอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ…นั่น…เข้าใจแล้วครับ”
เห็นได้ชัดว่าหวังเหยียนกำลังนอนหลับอยู่ ตอนนี้เขาจึงงัวเงียเล็กน้อย
“รีบไปซะ!”
อวี้ฮ่าวหรานกังวลเล็กน้อย เขาจึงเร่งเร้าลูกน้องอีกครั้ง ปลายสายหลุดจากอาการงัวเงียทันที
“ผมตื่นแล้ว ขอเวลาไม่เกินยี่สิบนาทีครับ!”
“ดี!”
หลังจากสั่งลูกน้องแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็วางสายทันที
ชายหนุ่มทอดสายตามองภูเขาที่เปรียบเสมือนคลื่นในยามราตรี ขณะที่ลมหนาวพัดโชยปะทะใบหน้า
ซูหว่านเอ๋อเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อวี้ฮ่าวหรานรู้จักและอยู่เคียงข้างเขามาเป็นเวลานานแล้ว
ใครกล้าทำร้ายเธอ มันต้องตายสถานเดียว!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจเดินทางกลับไปยังเมืองฮ่วยอันทันที
ดูเหมือนว่าในขณะที่ตัวเองไม่อยู่ในเมือง ถ้าเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น เขาคงพึ่งพาโจวเฟยหู่ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
แต่ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นคนลงมือ คงมีแค่ตัวอวี้ฮ่าวหรานเท่านั้นที่สามารถปกป้องครอบครัวได้
เมื่อคิดอย่างนั้น เขาจึงรีบเดินลงไปชั้นล่างเพื่อบอกลาแล้วออกจากสำนักเมฆาเขียวทันที!
ครั้งนี้เขาเดินทางออกมาไกลจากเมืองฮ่วยอันมาก ต่อให้ขับรถเร็วแค่ไหนก็ใช้เวลาเจ็ดถึงแปดชั่วโมงอยู่ดี!
ครอบครัวของซูหว่านเอ๋อถูกลักพาตัว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าหนักใจอย่างมาก แถมยังรับมือยากอีกด้วย
ถึงชายหนุ่มจะไม่ชอบซูกว่างไห่และลูกชาย แต่ยังไงทั้งสองคนก็คือพ่อและพี่ชายของซูหว่านเอ๋อ
จะปล่อยให้พวกเขาถูกฆ่าไม่ได้!