ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 109
สัตว์เขาเดียวคิดดูแล้วรู้สึกว่าถูก มองดูแผลบนหน้าผากของจีหย่งฟางอีกคราแล้วจึงถามมู่จิ่ว “แท้จริงแล้วใครเตะ!”
มู่จิ่วชี้จีหย่งฟางพลางพูด “แน่นอนว่าเป็นนางที่มีใจคิดทำร้ายข้าก่อน นางเตะหินมา ข้าจึงอาศัยมันเตะโต้ตอบกลับไป! ท่านมหาเซียน หากท่านต้องการตามหาผู้รับผิดชอบต้องไปหานาง!”
สัตว์เขาเดียวจ้องจีหย่งฟาง ทิ้งมู่จิ่วลง เดินไปหานางก่อนยกขึ้นกลางอากาศ
เหลียงชิวฉานรีบเอ่ย “ขอบังอาจถาม ท่านนี้คือมหาเทพหลีเปิงแห่งสำนักของอู่เต๋อเจินจวินใช่หรือไม่?”
สัตว์เขาเดียวพูด “เจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร?”
“อาจารย์ของข้าหัวชิงเจินเหรินแห่งสำนักแรกพยับพูดถึงอู่เต๋อเจินจวินอยู่บ่อยครั้ง!”
“พวกเจ้าเป็นศิษย์ของหัวชิงเต้าเหริน?” สัตว์เขาเดียวอึ้งไปเล็กน้อย
เหลียงชิวฉานรีบส่งป้ายข้างเอวไปให้เขาดู
สัตว์เขาเดียวดูแล้วจ้องจีหย่งฟางที่กลัวจนไร้เรี่ยวแรงพลางพูด “เห็นแก่อาจารย์ของพวกเจ้า ครั้งนี้ข้าจะละเว้นให้!”
จีหย่งฟางหล่นลงไปกับพื้น จะยืนก็ยืนไม่ไหว
ตอนมู่จิ่วได้ยินชื่ออู่เต๋อเจินจวินก็มองสัตว์เขาเดียวผู้นี้อย่างละเอียด
สัตว์เขาเดียวสวมเสื้อคลุมนักพรตริมผ้าปักลายดอกไม้มากมาย บนแผ่นหลังยังปักลายนกหลวน[1]ตัวหนึ่ง เสื้อคลุมของเหล่าเทพบนสวรรค์ล้วนพิถีพิถัน สัญลักษณ์ติดตัวมักจะเป็นสมญานามที่อวี้ตี้มอบให้ตอนสำเร็จเป็นเซียนหรือร่างเดิมก่อนขึ้นมาเป็นเซียน ตามที่นางรู้มีเพียงคนที่เป็นกษัตริย์ในโลกมนุษย์มาก่อนขึ้นเป็นเซียนจึงจะใช้นกหลวนเป็นสัญลักษณ์ได้ หรืออู่เต๋อเจินจวินเป็นกษัตริย์จากโลกมนุษย์เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นเซียน?
ยังมีสัตว์เขาเดียวตัวนี้ซึ่งถูกขนานนามเป็นมหาเทพหลีเปิงแห่งสำนักของอู่เต๋อเจินจวิน แสดงว่าเป็นพาหนะของอู่เต๋อเจินจวิน
มู่จิ่วประเมินเขาอย่างละเอียด สายตาไปหยุดอยู่ที่หัวรองเท้าหุ้มข้ออยู่ครู่หนึ่ง หากนางจำไม่ผิด อู่เต๋อเจินจวินผู้นี้เป็นผู้บัญชาการของทหารพู่เหลืองในฝ่ายทหาร หลีเปิงที่เป็นพาหนะกลับเดินอยู่บนถนนตัวคนเดียว และหัวรองเท้าหุ้มข้อยังมีเศษใบไม้ติดอยู่ ต้องไปทำธุระที่ไหนมาแล้วกลับมารายงาน เห็นพวกเขายังพูดคุยเรื่องเก่าก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดคลื่นลมอะไรอีก นางจึงเดินจากมาอย่างเงียบเชียบ
เพิ่งผ่านปากถนนไปก็ถึงเพิงหมี่เย็นของเถ้าแก่หมี นางนั่งลงชิมหมี่เย็นเย็นๆ หอมๆ ไปได้คำหนึ่ง ไหล่ก็ถูกคนใช้พัดตี ครั้นหันกลับไปมอง ซ่างกวนสุ่นที่เหงื่อเต็มศีรษะนั่งลงมาก่อนร้องสั่ง “เถ้าแก่! หมี่เย็นสองชาม! ใส่น้ำเชื่อมกุ้ยฮวาเยอะๆ!”
มู่จิ่วรีบพูด “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เขามองซ้ายขวา หยิบกระดาษพับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออย่างเงียบๆ “ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว! ประตูสวรรค์ทั้งสามประตูข้าไปมาหมด ประตูสวรรค์ทางตะวันออกกับทางตะวันตกไม่มีเบาะแสอะไร ข้าเพิ่งแอบเข้าไปที่ประตูสวรรค์แดนเหนือกลับมีคนพบเห็นเข้า คนกว่าร้อยตามล่าสังหารข้า สุดท้ายกดดันจนข้าไปที่ยอดหอ หลบเลี่ยงหูตาพวกเขาถึงหลุดรอดมาได้!”
“จากนั้นล่ะ?” มู่จิ่วอึ้งถาม “ทำไมเจ้าไม่ซ่อนกาย?”
“ซ่อนแล้ว!” ซ่างกวนสุ่นพูด “มีประโยชน์อะไร? ข้างในมีค่ายกลกักขังวิญญาณ! ข้าเข้าไปแบบนี้สามารถเผยร่างออกมาได้ตลอดเวลา!”
มู่จิ่วอึ้งตะลึงไป บันทึกการเข้าออกไม่ใช่ของสำคัญอะไร ทำไมถึงได้เพิ่มค่ายกลที่สำคัญขนาดนี้ไว้?
“แบบนั้นแล้วนี่คืออะไร?” นางถาม
ซ่างกวนสุ่นพูดอย่างภาคภูมิ “ถึงแม้ขั้นตอนจะลำบาก แต่ใครใช้ให้ข้ามีความสามารถขนาดนี้? หลังจากข้าโดดลงจากประตูเมืองก็ย้อนกลับไปทันที เสียแรงเพียงแค่กินนมก็สร้างปราการเซียน ฉีกบันทึกเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องกับซิงจวินมาแล้ว!”
ตอนนี้เองแม่นางหมีน้อยนำหมี่เย็นมาวางลง ดวงตาเล็กหยีมองซ่างกวนสุ่นอย่างโง่งมพลางยิ้มไร้เดียงสา “ท่านชาย หมี่เย็นของท่าน” ทั้งยังกุมมือพูดอย่างเอียงอาย “ท่านชายยิ้มแล้วดูดียิ่งนัก!”
มู่จิ่วเกือบพ่นหมี่เย็นออกทางจมูก!
ซ่างกวนสุ่นสะบัดมืออย่างอารมณ์ไม่ดี “ดูน้ำลายเจ้า จะหยดลงชามข้าอยู่แล้ว! รีบออกห่างๆ ข้าหน่อย!”
แม่นางหมีน้อยท่าทางยังราวสิบสามสิบสี่ปี เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็กัดนิ้วถอยไปอยู่หลังโต๊ะด้านนั้น
แต่ไปยืนแล้วก็ยังคงยื่นหน้ามามอง ซ่างกวนสุ่นไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงเปลี่ยนตำแหน่งหันหลังให้นาง
มู่จิ่วพลิกดูกระดาษพับนั้น เป็นบันทึกการเข้าออกของเหล่าซิงจวินและบริวารในที่พำนักจริงๆ นางรีบเก็บไว้ในอก พูดว่า “กลับไปค่อยว่ากัน!” กล่าวจบกินหมี่เย็นเข้าไปอีกสองสามคำ วางเหรียญหยกสองเหรียญไว้บนโต๊ะก่อนจากไป
ซ่างกวนสุ่นรีบจนยกชามขึ้นมา “รอข้าก่อน ข้าเพิ่งเริ่มกินนะ!…”
ทางลานจื่อหลิง เวลาช่วงเช้าสงบเงียบ เพราะตอนนี้คนในหอวิหคแดงหากไม่ใช่ว่าออกไปเข้ากะ คนที่เข้ากะกลางคืนก็นอนหลับอยู่
หลังมื้ออาหารเช้าเสี่ยวซิงนำกับข้าวที่เตรียมให้อิ่นเสวี่ยรั่วใส่ไว้ในหม้อ จากนั้นจึงเริ่มซักเสื้อ อาฝูไม่ใส่เสื้อผ้า ไม่จำเป็นต้องซัก ลู่ยาไม่รู้ว่าทำอย่างไร ไม่เคยเห็นเขาเปลี่ยนเสื้อผ้ามาก่อน แต่ทั้งร่างยังคงรักษากลิ่นหอมสะอาดไว้ได้ตลอด ซ่างกวนสุ่นจัดการตัวเอง นางเลยดีใจจนผ่อนคลาย
ซักผ้าเสร็จนางต้องไปจ่ายตลาดเตรียมอาหารกลางวัน จากนั้นหลังกลางวันก็พักผ่อนสักหน่อย อยู่ในห้องฝึกฝนวิชาได้ ต่อมาตอนบ่ายจะคึกคักขึ้น
ดูไปแล้วทุกวันวางแผนจัดการได้หมดจดเรียบร้อย นางกลับชอบนัก
แต่ก่อนตอนอยู่เขาหงชาง ทุกวันนางก็ทำคล้ายๆ กันแบบนี้ รดน้ำดอกไม้ ให้อาหารสัตว์ประหลาดน้อยที่อยู่ในถ้ำเมฆาคล้อย จากนั้นตามมู่จิ่วไปเดินเล่นที่เขาแต่ละลูก
นางชอบง่วนอยู่ในครัวและความยุ่งแบบนี้ เพราะสิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกว่าการมีอยู่ของนางมีค่า
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
กำลังร้องเพลงตากเสื้อผ้า ประตูลานบ้านพลันมีเสียงคนเคาะ ประตูที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งไม่รู้ตอนไหนมีร่างสง่างามผมเคราขาว แต่เป็นคนชราที่หน้าตาสดใสยืนอยู่ เขาเคาะประตูพลางแหงนหน้ามองไปรอบด้าน เหมือนกับกำลังดูว่าเดินมาถูกประตูหรือไม่
“ท่านมาหาใคร?” เสี่ยวซิงถาม
“ขอถาม มหาเทพลู่อยู่ที่นี่หรือไม่?” ราชาจิ้งจอกครุ่นคิดอยู่ครู่จึงพูดชื่อลู่ยาออกมา “ข้าคือมู่หรงเสี่ยน มีเรื่องขอพบ”
“เจ้ามาหาลู่หยา?” เสี่ยวซิงพูด ลู่หยามาก็หลายเดือนแล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครมาหา ตอนนี้กลับมีคนมาหาเขาถึงประตูตรงๆ? ยังมีเรื่องขอพบอีก? “เจ้ารอก่อน!”
พูดจบก็หันหน้าวิ่งไปทางเหนือ พูดกับลู่ยาที่กำลังฝึกให้อาฝูเปลี่ยนร่างอยู่ “มีคนชราท่าทางลับๆ ล่อๆ ต้องการพบเจ้า ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์พี่ที่ตามล่าสังหารเจ้าหรือไม่!”
ลู่ยาชะงักไปเล็กน้อย ยื่นหน้าออกไปมองๆ ดู เห็นเพียงราชาจิ้งจอกกำลังชะเง้อมองเข้ามาข้างในอยู่ใต้ต้นดอกท้อ ทันใดนั้นก็นึกถึงคำสั่งที่วันนั้นให้เขาไปจับกระดิ่งจากวังจิตกระจ่างมาให้ จึงรีบพูด “ให้เขาเข้ามา”
เสี่ยวซิงรีบออกไป
ลู่ยาตบๆ ศีรษะอาฝูให้เขายืนขึ้นมา ป้อนหยกโมราให้เขาสองชิ้นก่อนเอ่ย “เจ้ากลับเรือนไปก่อน”
อาฝูก้าวออกไปจากประตู ราชาจิ้งจอกเข้ามาพอดี เห็น ‘หมู’ อ้วนท้วนตัวขาวจนสว่างเดินมา มองอยู่นานถึงได้รู้ว่าเป็นเสือขาว เขาตกใจเล็กน้อย รีบก้าวท้าวเข้าเรือนไป เห็นลู่ยาก็ก้มตัวทำความเคารพ “สิบสามเข้าพบท่านผู้อาวุโส”
“นั่งเถอะ” ลู่ยาขัดสมาธิไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย มองประเมินเขา เห็นเพียงไม่ได้พบกันไม่กี่วัน ราชาจิ้งจอกยังคงแต่งตัวแบบนั้น แต่สีหน้าท่าทางกลับดูร้อนใจไม่น้อย เมื่อดูอย่างละเอียดแม้แต่ผมยังยุ่งเหยิงเล็กน้อย เส้นผมที่ครึ่งหนึ่งดำครึ่งหนึ่งขาวล้วนหลุดออกมาจากมงกุฎหิน จึงกล่าวว่า “เจ้าเป็นอะไร?”