ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 113
“ไม่รู้” ราชาจิ้งจอกดื่มชา “ตอนข้าไปร่วมงานพบปะที่เขาคุนหลุน ได้ยินเหล่าเซียนพูดคุยกันจึงรู้มา แต่สามีของเฟยอีคือใครแท้จริงกลับไม่มีคนรู้เลย และหลังจากชิงผิงซิงจวินกระโดดแท่นประหารเซียนไปแล้ว ปีถัดมาเดือนเดียวกันวันเดียวกันนั้นเอง เฟยอีกลับแอบปีนแท่นกระโดดลงมาเหมือนกัน”
มู่จิ่วอึ้งไป “กระโดดด้วยเหมือนกัน? แท้จริงแล้วนางรักเขาหรือไม่กันแน่?”
ราชาจิ้งจอกส่ายศีรษะ “เรื่องนี้ใครจะรู้?”
มู่จิ่วเงียบไปชั่วครู่ เหลือบมองเขาก่อนพูด “ราชาจิ้งจอกช่างรู้เรื่องราวหลังม่านเยอะจริงๆ”
ราชาจิ้งจอกยิ้มเยาะเอ่ย “ในหกภพแค่ขอมีชื่อเสียงหน่อย มีใครบ้างที่ไม่มีเรื่องซุบซิบนินทา? ข้าจะบอกเจ้าให้ ถึงแม้ข้าขึ้นสวรรค์มาน้อย แต่รู้ข่าวคราวไม่น้อยเลย วันหลังหากมีเวลาข้าค่อยพูดคุยกับเจ้า”
พูดกับผีสิ!
โดยปกตินางมองว่าพวกเขาเผ่าพันธุ์เทพเอยเทพเซียนเอยนั้นจริงจังอย่างมาก ทุกวันไม่ถ่ายทอดวิชาเต๋าก็ต้องศึกษามรรควิถี คิดไม่ถึงว่าในความเป็นจริงแล้วแต่ละคนเหมือนกับป้าในตลาดผัก ในท้องมีอย่างอื่นไม่มาก ที่มากที่สุดก็คือเรื่องซุบซิบ!
มู่จิ่วกำลังจะพูด ลู่ยาพลันโอบไหล่นางเข้ามา “ถามเขามิสู้ถามข้า อย่างน้อยข้าก็หน้าตาดูระรื่นตากว่าเขา”
ราชาจิ้งจอกสำลักจนใบชาโผล่ออกมาจากจมูก ทำได้เพียงหาทางลงเองแล้วพูดกับมู่จิ่ว “วันนี้เป็นอย่างไรข้าก็รู้ไม่แน่ชัด แต่ตอนแรกหลังจากเขาถูกแต่งตั้งเป็นอู่เต๋อเจินจวิน ยังมีหลายคนเรียกเขาเป็นซิงจวินอยู่ เพราะเรียกกันจนชินแล้ว”
ในเมื่ออู่เต๋อเจินจวินมีประวัติความเป็นมาแบบนี้แล้วยังถูกคนเรียกว่าซิงจวิน แสดงว่าเขาก็สามารถเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยได้?
คิดถึงตรงนี้มู่จิ่วจึงรีบเรียกซ่างกวนสุ่น “ตอนบ่ายเจ้าไปตรวจสอบประตูสวรรค์แดนเหนืออีกที มีบันทึกการเข้าออกของอู่เต๋อเจินจวินหรือไม่!”
อู่เต๋อเจินจวินเป็นจอมพลแห่งกองอารักขาพู่เหลือง ลำดับขั้นอาวุโสมากพอ ความสามารถสูงพอ ถึงแม้แรงจูงใจจะไม่ชัดเจน แต่อย่างน้อยก็มีเงื่อนไขในการก่อคดี ไปตรวจดูก่อนก็ไม่เลว
ลู่ยากระแอมให้คอโล่ง
ราชาจิ้งจอกมองเขา จากนั้นมองซ่างกวนสุ่น พูดอย่างจนปัญญาว่า “ให้ข้าไปดีกว่า ป้องกันไม่ให้เด็กน้อยซ่างกวนสุ่นไปแล้วทำให้พวกเขาตกใจ”
“เช่นนั้นข้าไปรินชาเตรียมข้าว!”
ซ่างกวนสุ่นดีใจจนปรบมือ กระโดดโลดเต้นออกนอกประตูไป
มู่จิ่วครุ่นคิด ในเมื่อมีราชาจิ้งจอกรับผิดชอบ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะดึงดันให้ตัวเองทำเรื่องที่ทำไม่ได้ จึงลุกขึ้นไปหยิบชาม พอดีกับที่อิ่นเสวี่ยรั่วกลับมา มู่จิ่วแนะนำราชาจิ้งจอกว่าเป็นอาจารย์อาของลู่ยา นางก็ไม่ได้สงสัย กลับเป็นราชาจิ้งจอกที่ได้เอาเปรียบลู่ยาไปครั้งหนึ่ง และดีใจจนปิดปากไม่สนิท
หลังมื้ออาหาร ราชาจิ้งจอกอ้างว่าไปพักผ่อนที่เรือนของลู่ยา ก่อนจะซ่อนร่างไปประตูสวรรค์
ทางมู่จิ่วต้องรอข่าวที่ส่งกลับมา จึงให้เสี่ยวซิงไปแจ้งจางเหยี่ยนซิงจวินที่หน่วยจัดการเรื่องทั่วไปว่าในบ้านมีแขก ส่วนตนเองล้างชามรอ
ลู่ยาว่างจนเจ็บสะโพก พลันประสานมือเดินเข้ามาอยู่ข้างมู่จิ่ว พูดกับนางว่า “เจ้าอย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของจิ้งจอกเฒ่า ในโลกเซียนมีความรักแต่งงานไม่ใช่เรื่องน่ากลัวขนาดนั้น”
“อา?”
ความคิดมู่จิ่วชัดเจนว่าตามเขาไม่ทัน
ลู่ยาขยับศีรษะเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนเอ่ย “เรื่องที่เขาพูดโดยพื้นฐานแล้วไม่มีทางเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับข้า”
แต่เดิมก็ไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้วนี่ เขาศีรษะถูกประตูหนีบหรือ? ทำไมพูดเรื่องโง่ๆ ออกมา?
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง เช็ดมือแล้วพูด “หากท่านว่างจนเพ้อ มิสู้ช่วยข้าสอนอาฝูเรื่องความสะอาด ท่านดูเขานอนกอดกระดูกอยู่ทุกวัน ไม่กลัวบาดคางหรือไร? ดีร้ายก็เป็นเสือขาวตัวหนึ่ง ทำไมถึงทำตัวเหมือนสุนัขได้”
พูดถึงตรงนี้นางก็ไม่อาจไม่ยกย่องซ่างกวนสุ่น ถึงแม้เขาจะปากร้ายไปหน่อย แต่ด้านความสะอาดไม่ขาดตกบกพร่องสักนิด ทุกวันไม่เพียงเก็บกวาดเตียงของอาฝู ยังช่วยเสี่ยวซิงทำงานบ้าน เก็บกวาดแท่นเตาจนสามารถให้คนนอนบนนั้นได้ อาฝูไม่มีคนใส่ใจสั่งสอนจึงเป็นแบบนี้
“นี่เป็นนิสัยของเขา ไม่ต้องสอนหรอก” ลู่ยาพูด เก็บมือไว้ในแขนเสื้อก่อนเดินจากไปอย่างสบายๆ
มู่จิ่วคร้านจะถกเถียงกับท่านเทพ
คราวนี้ราชาจิ้งจอกยิ่งรวดเร็วกว่าเดิม มู่จิ่วล้างชามเสร็จ เพิ่งล้างหน้าให้อาฝู เขาก็กลับมาแล้ว
มู่จิ่วรีบอุ้มอาฝูไปที่เรือนลู่ยา ราชาจิ้งจอกนำบันทึกที่ตรวจสอบมาได้แผ่ไว้เต็มโต๊ะ
“ในครึ่งปีนี้ อู่เต๋อเจินจวินออกจากสวรรค์ทั้งหมดสามสิบสองครั้ง ในนี้สามารถหาที่ไปที่แน่ชัดได้สิบสามครั้ง เดินทางไปกับผู้อื่นสิบครั้ง ที่เหลือเก้าครั้งบอกว่าไปเยี่ยมสหาย แต่กลับไม่มีสถานที่ไปแน่ชัด และในกลุ่มนี้ออกไปตอนกลางวันสิบแปดครั้ง กลางคืนสิบสี่ครั้ง ระหว่างที่เขาเนินอารามเกิดเรื่องเขาออกไปสามครั้ง ก่อนคดีเลือดของชิงชิวสามศพเขาไปยังโลกมนุษย์”
“และครั้งล่าสุดคือเมื่อคืนวาน”
“บันทึกการเข้าออกจำนวนครั้งเหล่านี้กับตอนที่เกิดคดีฆาตกรรมล้วนไม่บอกสถานที่ไปชัดเจน!”
น้ำเสียงของราชาจิ้งจอกโกรธแค้น สีหน้าเทียบกับตอนก่อนออกไปราวกับเป็นคนละคนกัน
มู่จิ่วฟังจบในใจก็ตระหนก หยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียด เรื่องจริงกับที่เขาพูดเหมือนกันหมด!
ในห้องเงียบไป
แบบนี้ดูแล้วอู่เต๋อเจินจวินผู้นี้ไม่เพียงแต่น่าสงสัย ความน่าสงสัยนี้ยังมีไม่น้อยด้วย!
เป็นธรรมดาที่ฝ่ายนั้นคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะสามารถเห็นเหตุการณ์จิ้งจอกน้อยโดนทำร้ายผ่านพลังหยั่งรู้ของลู่ยา และคิดไม่ถึงว่าจิ้งจอกน้อยที่สูญเสียจิตจิ้งจอกไปจะฟื้นขึ้นมาพูดถึง ‘ซิงจวิน’ สองคำนี้ ดังนั้นเขาย่อมไม่ได้ไปลบบันทึกเหล่านี้ที่ประตูสวรรค์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสงสัย!
ตอนปีศาจงูเขียวตาย แม้แต่กระจกฟ้าดินยังส่องไม่เห็นฆาตกร นอกจากฆาตกรจะมีฝีมือกล้าแกร่งแล้ว ก็มีอีกความเป็นไปได้หนึ่งคือสามารถปิดผนึกกระจกได้ อู่เต๋อเจินจวินมีฐานะเป็นใต้เท้าของกองอารักขาพู่เหลือง ตำแหน่งสูงส่งในทัพสวรรค์ เขามีอำนาจเข้าทัพสวรรค์ไปปิดผนึกระจกฟ้าดิน! ปีศาจงูเขียวถูกสังหารในพริบตาเดียวก็กลายเป็นคดีที่ไม่อาจคลี่คลายแล้ว
“แรงจูงใจของเขาล่ะ?” มู่จิ่วพูด ถึงแม้หลักฐานทั้งหมดจะชี้ว่าอู่เต๋อเจินจวินเป็นฆาตกร เช่นนั้นแรงจูงใจของเขาล่ะ? เขามีความแค้นอะไรกับลัทธิฉ่าน?
“เกรงว่าจะยังเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นในอดีต”
ตอนนี้เอง ลู่ยาที่นั่งกอดอกมาตลอดพูดขึ้น “ปีนั้นเขาตายเพราะความรัก เรื่องนี้ข้ามผ่านไปได้ไม่ง่าย หากหากข้าเดาไม่ผิด สามีของหญิงคนนั้นคงเป็นคนของลัทธิฉ่าน และคนนอกต่างก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ยิ่งแสดงว่าตำแหน่งของเขาในลัทธิฉ่านต้องยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาแน่”
“มีเหตุผล!”
มู่จิ่วกล่าว “แต่พวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะสืบหาตัวคนๆ นี้ได้?”
แน่นอนว่าอู่เต๋อเจินจวินไม่พูดออกมาแน่ ตามที่ราชาจิ้งจอกบอก เขาได้เป็นเซียนอีกครั้งก็หลายพันปีมาแล้ว ในหลายพันปีนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวความรักนี้อีก หากไม่พูดถึงผู้คนต่างก็ลืมหมดแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ อู่เต๋อเจินจวินย่อมไม่ยินดีที่จะพูดถึงอีกแน่ หากคดีนี้เป็นเขาทำจริงๆ แล้วละก็ เขายิ่งไม่มีเหตุผลที่จะคายความจริงออกมา
“ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี” ลู่ยาพูด “แต่ว่าเจ้าต้องคิดหาวิธีไปดึงเส้นผมของอู่เต๋อเจินจวินมา”
มู่จิ่วอึ้งไปเล็กน้อย พลันตื่นตัวขึ้นมา ทำไมนางถึงลืมไปว่าที่นี่มีมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่อยู่ผู้หนึ่งนะ?
ยามอยู่ที่ชิงชิวเขาสามารถดูเหตุการณ์ของจิ้งจอกน้อยได้ แน่นอนว่าต้องดูเรื่องราวพัวพันของอู่เต๋อเจินจวินได้!