ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 129
เวลาห่างกันไม่เพียงกี่ชั่วยามเท่านั้น ของวิเศษหลายพันชิ้นทำไมหายไปแล้ว?
แผ่นผนึกติดไว้หน้าประตูถ้ำอย่างแน่นหนา ร่องรอยการเคลื่อนไหวแม้แต่นิดก็ไม่มี ของวิเศษจะระเหยไปแบบนี้หรือ?
เรื่องนี้นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น! คิดไม่ถึงว่ายังมีคนกล้าลองดีกับสวรรค์? ประเด็นคือมีคนมีความกล้านี้ด้วย เจ้ายังต้องคิดเหตุหาผลต่อไปว่าเขาทำไปทำไมอีก!
นางมองมู่หรงหลิวเย่ก่อนมองหลิวจวิ้น มู่หรงหลิวเย่ขมวดคิ้ว แต่กลับไม่มีสีหน้าร้อนรนจนเกินไป ของวิเศษไม่กี่ชิ้นสำหรับชิงชิวแล้วไม่นับว่าเป็นอะไร ได้จิตจิ้งจอกของมู่หรงรุ่ยเจี๋ยแล้ว ชัดเจนว่าพวกเขาไม่สนใจสิ่งของที่เหลืออีก อย่างไรก็ตามหลิวจวิ้นกลับไม่คิดเช่นนั้น ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด ในสายตายังเห็นถึงความใจหายวาบอย่างชัดเจน
เรื่องนี้ส่งให้กับหน่วยลาดตระเวนแล้ว แน่นอนว่าเป็นความรับผิดชอบของหน่วยลาดตระเวน หากหลิวจวิ้นไม่ตกใจ ใครจะตกใจ? หากหาร่องรอยไม่ได้ หน่วยลาดตระเวนต้องแบกรับ!
“ท่าน…เอ่อ มหาเซียนลู่มาแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?” ราชาจิ้งจอกเห็นลู่ยา จึงพุ่งเข้ามาอย่างตื่นตัว
คนที่เหลือมองไป กลับไม่ขยับ ถึงแม้ทุกคนรู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นี้มีบุคลิกโดดเด่น แต่กลับไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ถูกขนานนามว่าเป็นราชาจิ้งจอกถึงเคารพซ่านเซียนผู้หนึ่งขนาดนี้ กลิ่นอายก็มิใช่อาวุธเสียหน่อย
ลู่ยามุ่งตรงเข้าไปในถ้ำ สายตาราวกับไฟกวาดไปรอบด้าน
“เป็นอย่างไรบ้าง” มู่จิ่วเดินตามเข้ามาถาม
“มีคนเคยเข้ามา” ลู่ยาพูด
มู่จิ่วกับซ่างกวนสุ่นและหลิวจวิ้นที่เดินตามมาอดตะลึงไม่ได้
ถึงแม้พวกเขาล้วนคาดการณ์ไว้ประมาณนี้ แต่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างมาก นอกจากคนของทัพสวรรค์แล้ว ใครจะมีแผ่นผนึกประทับตราของอวี้ตี้และเข้าออกได้อย่างสะดวกเล่า? นอกจากคนของอู่เต๋อกับพวกเขาแล้วจะมีใครรู้ว่าที่นี่ซ่อนของวิเศษจำนวนมากไว้?
“หรือจะเป็นอู่เต๋อ?” ซ่างกวนสุ่นพูด
“เป็นไปไม่ได้” มู่จิ่วแย้ง “อู่เต๋อไม่มีเหตุผลจะทำแบบนี้”
ถึงแม้ทุกคนจะรวมหัวกัน รู้สึกว่าเบื้องหลังอู่เต๋อยังมีแผนการอะไรแอบซ่อนอีก แต่หากเขายังมีความคิดนี้อยู่ ทำไมยังไปหาหลีหัง?
“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร?” ซ่างกวนอวิ๋นพ่อของซ่างกวนสุ่นพูด “ตอนนี้คดีคลี่คลายแล้ว ของวิเศษหากถูกขโมยก็ถูกขโมย และคนที่สอดคล้องกับเงื่อนไขก็มีเพียงเขา หากเบื้องหลังเขาซ่อนความลับอะไรไว้จริงๆ ล่ะ? ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เราควรอาศัยตอนนี้ที่เขายังไม่ลงไปเวียนว่ายตายเกิดถามเสียหน่อย”
มู่จิ่วรู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผลมาก จึงกล่าว “แบบนี้แล้วกัน ข้ากับองค์หญิงหลิวเย่และซ่างกวนสุ่นไปหาอู่เต๋อ ส่วนแต่ละท่านไปรอที่หน่วยลาดตระเวนหรือลานจื่อหลิง โปรดทำตัวตามสบาย หากข้าได้ข่าวแล้วจะรีบกลับไปบอก”
อิ่นเสวี่ยรั่วพูด “ข้าเป็นคนของกองอารักขาพู่เหลือง ข้าไปกับเจ้าด้วย!”
มู่จิ่วพยักหน้า แล้วจึงเตรียมตัวขี่เมฆไป
ลู่ยาหยุดนางไว้ เรียกอาฝูมาก่อนพูด “ขี่เขาไปเร็วกว่าหน่อย” พูดจบก็ร่ายเวทอยู่ข้างหูนาง บอกให้นางออกไปสามร้อยลี้ก่อนค่อยร่ายให้อาฝู จากนั้นเรียกพวกเขาขึ้นไป
นางทำตามคำพูดที่ลู่ยาบอก ออกไปสามร้อยลี้จึงค่อยร่ายวิชา เห็นเพียงอาฝูตัวใหญ่ขึ้นสี่ห้าเท่าราวกับถูกสูบลม หลังของเสือกว้างใหญ่เหมือนเนินเขาเล็กๆ!
มู่จิ่วกระโดดขึ้นอย่างดีใจระคนแปลกใจ คนที่เหลือแต่ละคนปีนขึ้นไป เห็นเพียงภาพสีขาวราวแสงอัสนีเมื่ออยู่กลางอากาศ พวกเขาเดินทางพริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว
มีฝีเท้าของอาฝูอยู่ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงประตูสวรรค์แดนใต้ พวกเขาเข้าประตูก็มุ่งไปวังเทพราชา
วังเทพราชาเป็นที่พิจารณาคดี เพียงแต่ปกติคดีที่อวี้ตี้ไม่มีคำสั่งลงมา หลังจากหน่วยบังคับคดีและหกฝ่ายร่วมไต่สวนแล้ว ก็จะให้เจ้าหน้าที่ในส่วนเทพราชาประกาศคำพิพากษาและดำเนินการ อู่เต๋อกับหลีหังรอรับการลงโทษอยู่ที่นี่
ตอนพวกมู่จิ่วมาถึงเจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์กำลังนำม้วนบันทึกไปที่คุก ได้ยินว่าคดีเกิดปัญหาขึ้นอีก จึงไม่กล้าชักช้า รีบสั่งคนให้พาอู่เต๋อออกมา
อู่เต๋อซึ่งถูกตัดรากฐานเซียน ตอนนี้เหมือนผู้คงแก่เรียนธรรมดาบนโลกมนุษย์ ได้ยินมู่จิ่วพูดถึงสาเหตุที่มาเขาก็รู้สึกตื่นตระหนก เงียบไปสักพักจึงพูดว่า “หากสิ่งของเหล่านั้นมีส่วนช่วยในการตามหาเฟยอี ข้าย่อมต้องซ่อนพวกมันไว้อย่างไม่ลังเล แต่สำหรับข้าพวกมันก็เหมือนกับขยะ ข้าจะเอาไปทำอะไร?”
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีใครสามารถนำพวกมันออกไปจากข้างในได้?” มู่หรงหลิวเย่ถาม
อู่เต๋อพูด “ในค่ายทหารสวรรค์ขุนนางลำดับสามขึ้นไปล้วนมีความสามารถในการควบคุมผนึก พวกเจ้าเพียงต้องสืบหาว่านอกจากข้าแล้วยังมีใครที่รู้จักถ้ำนั่นอีก และยังมีเวลาก่อคดี”
“ความหมายของเจ้าคือ นอกจากเจ้าหน้าที่ของค่ายทหารสวรรค์แล้ว ก็ไม่มีใครเข้าไปในถ้ำที่ถูกผนึกได้?”
อู่เต๋อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูด “นอกจากนี้แล้ว คนที่พลังบำเพ็ญถึงระดับก็สามารถเข้าไปได้ แต่…” พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงักลง ยกปากขึ้นพูดด้วยความเย็นชา “แต่วันนี้ลัทธิฉ่านกล้ำกลืนความสูญเสีย เกรงว่าหากพวกเขาไม่หาทางเอาคืนหน่อยคงไม่ยินยอม”
มู่จิ่วอึ้ง ความหมายของเขาคือเรื่องนี้ลัทธฉ่านเป็นผู้ทำ?
ยังไม่ทันให้นางได้ถาม อู่เต๋อก็มองนางอย่างล้ำลึก “ความจริงพวกเจ้ายังมีเวลาตัดสินใจ แต่ข้าอยากถามว่าเจ้ากับลู่ยาเต้าจู่มีความสัมพันธ์กันเช่นไร?”
มู่จิ่วอ้าปากกว้างจนเป็นถ้วยชา!
เขารู้จักลู่ยาได้อย่างไร? ใครบอกเขา?!
“ทำไมเจ้าถามแบบนี้?”
อู่เต๋อยกริมฝีปาก มองไปข้างหน้าพลางพูด “เพราะก่อนหน้านี้หลีหังบอกว่า หลายวันก่อนลู่ยาเต้าจู่เรียกเขามาพบที่วิมานหลีเฮิ่น และยังนำเลือดของเขาไปหยดหนึ่ง ส่วนเจ้ากลับรู้เรื่องระหว่างข้ากับหลีหังมากมาย นอกจากเจ้ากับลู่ยาเต้าจู่รู้จักกันแล้ว ยังมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอีกหรือ?”
มู่จิ่วอึ้งงัน หลีหังรู้เรื่องลู่ยาเอาเลือดของเขาไปแล้วหรือ?
ดูแล้วคนเหล่านี้ไม่ธรรมดาเลย!
ต่อหน้าคนข้างตัวมากมายขนาดนี้ นางไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดี พอดีมีเซียนถือพู่หางม้าเดินเข้ามาสองคน “ถึงเวลาแล้ว ท่านเซียนควรออกเดินทาง”
มู่จิ่วรู้ว่าคือผู้ดูแลเรื่องเวียนว่ายตายเกิด จึงรีบเปิดทางให้ มองพวกเขาพาอู่เต๋อไป
อู่เต๋อเดินมาถึงประตู พลันหันกลับมามองมู่จิ่วก่อนพูด “ข้าไหว้วานเจ้าสักเรื่องได้หรือไม่?”
มู่จิ่วสงสัย “เรื่องอะไร?”
อู่เต๋อค้อมเอวส่งแผ่นหยกให้ “เจ้ารู้จักเฟยอี หากเจ้าเห็นนาง รบกวนเจ้ามอบสิ่งนี้ให้นางด้วย”
มู่จิ่วมองแผ่นหยก เป็นหยกเขียวซึ่งสลักขึ้นเป็นนกชิงหลวนตัวหนึ่ง นางรับมา พยักหน้าให้ แล้วเก็บเข้าไปในกระเป๋าเล็ก
“ข้ารับปาก หากมีโชคได้พบนาง”
ถึงแม้นางไม่มีหนทางช่วยเขาตามหาวิญญาณเฟยอี เช่นนั้นสามารถช่วยให้เขาสำเร็จตามใจปรารถนาก็ยังดี
เมื่ออู่เต๋อเดินหายไปจากระเบียงทางเดิน มู่จิ่วจึงยืนขึ้นและออกจากประตูไปพร้อมพวกหลิวเย่
ได้ยินว่าพวกราชาจิ้งจอกกลับไปลานจื่อหลิงกับลู่ยา พวกเขาก็มุ่งตรงไปทันที
มู่จิ่วเพิ่งบอกว่าอู่เต๋อไม่ได้ทำ และเขาสงสัยว่าเป็นลัทธิฉ่านที่ทำ ราชาจิ้งจอกก็ตบโต๊ะ “ข้าเดาว่าเป็นพวกเขาที่ทำ! ต้องเป็นหลีหังคนชั่วนั่นแน่! เขาเห็นข้าจัดการเขา ดังนั้นจึงย้ายของวิเศษเพื่อตอบโต้ ให้พวกเรากล้ำกลืนความสูญเสีย!”
…………………………………………………