ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 131
“ถ้าเช่นนั้นไท่ซ่างเหล่าจวินรู้หรือไม่?” มู่จิ่วถาม
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้ชัดแจ้ง” ลู่ยายืนขึ้น “ข้าเพียงแค่อาศัยเรื่องนี้ทำนายดูหน่อย อีกอย่างภาพแปดทิศนี้ก็ลึกลับนัก ข้าไม่สามารถทำนายเหตุผลออกมาได้ รู้เพียงว่าความยุ่งยากในวันนี้ สามารถเปลี่ยนเป็นเคราะห์หนักในวันหน้า”
“เจ้าไม่คิดหยุดยั้งหรือ?” มู่จิ่วตามเขาไปถึงกลางห้อง
“ภาพแปดทิศแสดงออกมาไม่ได้ จะหยุดยั้งอย่างไร?” ลู่ยาแบมือ “อีกอย่าง ในเมื่อเป็นเคราะห์สวรรค์ แน่นอนว่าต้องมีเหตุ ไหนเลยจะเปลี่ยนแปลงกันง่ายๆ”
มู่จิ่วขมวดคิ้วแล้วเงียบลง
ลู่ยาเหลือบมองนางสองครา พลันจับข้อมือนางขึ้นมาอย่างสงสัย แล้วพูดต่อ “ทำไมอยู่ๆ เจ้าถึงมีพลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้นพันปี?”
“อ้อ จิ้งจอกแดงให้มา” มู่จิ่วได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้ก็รีบชักมือกลับ
ใบหน้าลู่ยาเต็มไปด้วยความสงสัย จึงพิจารณาใบหน้านาง ก่อนถามอีก “ทำไมนางต้องให้พลังเจ้า?”
พลังบำเพ็ญแบบนี้ไม่ใช่พลังฤทธิ์ คิดจะให้ก็ให้ได้หรือ? หากไม่ส่งมาพร้อมกับวิชา ปกติก็ไม่สามารถเอาออกมาได้
“นางให้เวทอะไรแก่เจ้า?” เขาถาม
“ก็แค่…แค่ให้ภาพมายา ไม่มีอะไรหรอก” มู่จิ่วไหนเลยจะมีหน้าบอกว่ามู่หรงหลิวเย่ให้วิชายั่วยวนแก่นาง? แบบนั้นนางยังจะมียางอายอยู่หรือ? พูดจบนางก็รู้สึกว่าอยู่ต่อไม่ได้แล้ว จึงหยิบกระบี่ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา “ยุ่งมาสองเดือนกว่าข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ต้องไปพักก่อนแล้ว ตอนกินข้าวเย็นหากข้าไม่ตื่นไม่ต้องปลุก!”
พูดจบก็พุ่งออกไปราวกับควัน เหมือนกลัวว่าช้าไปครึ่งก้าวจะไม่อาจออกไปได้แล้ว
ลู่ยามองนางตลอดโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย มุมปากกลับยกยิ้มเยาะขึ้น หรือคิดว่ารีบวิ่งไปแล้วเขาจะมองไม่ออกว่านางกำลังโกหก? ไม่คิดเสียหน่อยว่าคนตรงหน้านางคือปรมาจารย์ด้านการพูดโกหก! วิ่งไปเถอะ ช้าเร็วเขาก็ต้องรู้อยู่ดี
คดีฆาตกรรมของชิงชิว หลังจากที่อู่เต๋อและหลีหังเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดแล้วเรื่องราวก็จบลง
ถึงแม้ของวิเศษที่หายไปจากถ้ำยังคงเป็นปริศนาอยู่ แต่ตามการตัดสินใจว่าจะไม่สืบหาของชิงชิวและเนินอาราม กลุ่มคนก็เข้าใจเงียบๆ ว่านี่คือการกระทำของลัทธิฉ่าน ดังนั้นจึงทำเป็นงุนงงไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
หลังจากหลิวจิ้นนำคดีนี้แจ้งต่อฝ่ายทหาร ในขณะเดียวกันก็แจ้งเรื่องผลงานของมู่จิ่วไปด้วย วันนี้ตอนเช้านางไปขอลาหยุดที่หน่วย คนในห้องก็ฉีกยิ้มมองนาง ในนั้นยังรวมถึงหลิวจวิ้นด้วย!
“นี่เกิดอะไรขึ้น?” นางก็ยิ้ม
หลิวจวิ้นไม่พูด กลับเอาหนังสือเล่มหนึ่งส่งให้นาง
นางเปิดออกดู เห็นเพียงหนังสือแต่งตั้งให้นางเป็นผู้บัญชาการถิงเว่ย[1]แห่งหน่วยลาดตะเวน!
ถิงเว่ยแห่งหน่วยลาดตระเวนทำหน้าที่รับพิจารณาคดีโดยเฉพาะ ทั้งหมดมีสิบสองกอง ผลัดเปลี่ยนกันรับคดีจากสามภพ ผู้บัญชาการเป็นขุนนางผู้ดูแลหน่วยงานทั้งสิบสอง ตอนแรกหลิวจวิ้นรับปากเลื่อนขั้นให้นางเป็นนายร้อย ตอนนี้กลับเลื่อนให้นางเป็นถิงเว่ยทำคดี? นี่ทำให้ตกใจระคนยินดีมากไปแล้วกระมัง?!
นายร้อยกับผู้บัญชาการถิงเว่ยถึงแม้จะลำดับขั้นเท่ากัน ล้วนเป็นระดับหก ตำแหน่งหนึ่งเป็นผู้นำกองทหารเล็กๆ แต่อีกตำแหน่งเป็นผู้นำในหน่วยงานเฉพาะกิจ ความแตกต่างระหว่างกันช่างยิ่งใหญ่นัก! อย่างน้อยโอกาสสร้างผลงานในภายหลังก็มีมาก การที่จะได้ของวิเศษยาเซียนก็ยิ่งมีมาก หลิวจวิ้นช่างดูแลนางอย่างดีจริงๆ!
“ใต้เท้า นี่…”
นางตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“ไม่ต้องนู่นนี่แล้ว นายร้อยไม่มีกำลังพล มีเพียงตำแหน่งผู้บัญชาการว่าง ถึงแม้ประสบการณ์เจ้าไม่พอ ก็เอาเป็นว่าให้เจ้าได้ส้มหล่นแล้วกัน” หลิวจวิ้นยิ้ม ทำหน้าขรึมพูด แต่ถึงแม้เขาจะทำหน้าเคร่ง แต่สายตาของเขากลับดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิด
“ขอบคุณใต้เท้า!” มู่จิ่วรีบก้าวขึ้นไปทำความเคารพ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หลิวจวิ้นก็ยังเป็นคนให้โอกาสส้มหล่นแก่นาง! นางไม่อาจใจจืดใจดำรับเอาความกรุณาของเขามาเปล่าๆ!
“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณ” หลิวจวิ้นหยิบกล่องหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก กางแผนที่ออกมา “นี่คือยาเซียนสองเม็ดที่กองอารักขาพู่ม่วงส่งมาให้เจ้า นอกจากนี้ยังมีเรื่องยินดีกับเจ้าอีก ตามกฎสวรรค์แล้ว เจ้ามีสิทธิได้ที่พักเดี่ยวมีทางเข้าออกสองทาง นี่คือแผนที่ในเขตของพวกเรา ทุกเส้นสายในนี้ล้วนใช่หมด เจ้าเลือกเอาได้เลย!”
“ดียิ่ง!” มู่จิ่วค้อมตัว จากนั้นหยิบแผนที่ขึ้นมาอย่างยินดี มองๆ แล้วจึงพูด “ข้านำกลับไปดูแล้วพรุ่งนี้เช้ามาคืนท่านได้หรือไม่?”
“เจ้านี่เรื่องมากที่สุด!” หลิวจวิ้นจ้องนางอย่างไม่สบอารมณ์ พูดจบก็เหลือบมองนาง “เอาไป!”
มู่จิ่วนำแผนที่ไปอย่างยินดี ขอบคุณนับพันครั้งขณะออกประตูไป
เหล่าทหารในหน่วยเดินหลั่งไหลตามไปด้วย แต่ละคนล้อมเข้ามาอวยพรนาง “มู่จิ่วได้เลื่อนตำแหน่ง ควรจะเลี้ยงข้าวพวกเรา!”
“ใต้เท้าหลิวดูแลเจ้าดีขนาดนี้ อย่างไรเจ้าก็ต้องตอบแทนพวกเราพี่น้องบ้าง?”
“ใช่! ไหนเลยจะไม่มีที่ว่างของนายร้อย แล้วให้เจ้าได้ส้มหล่นเป็นถึงผู้บัญชาการถิงเว่ย เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจเว้นตำแหน่งนี้ไว้ให้เจ้า? เมื่อวานข้าได้ยินว่ากองอารักขาพู่น้ำเงินพูดว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานมีนายร้อยจากไปหลายคน ทั้งทัพทหารสวรรค์มีกองอารักขาเจ็ดกอง ยังจะหาที่ว่างนายร้อยไม่ได้อีกหรือ? เอาละ มื้อนี้เจ้าต้องเลี้ยง!”
แต่ก่อนตอนนางโดนหลิวจวิ้นเล่นงาน คนเหล่านี้แต่ละคนคอยซ้ำเติมรอดูเรื่องตลก ตอนนี้เห็นหลิวจวิ้นมองนางเปลี่ยนไปก็รีบหันมาห้อมล้อมนาง ช่างรู้จักสถานการณ์เสียจริง!
แต่ทุกคนล้วนเป็นพวกที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงขุนนาง ทำไมต้องคิดเล็กคิดน้อยเล่า? ยังไงนางต้องตอบแทนความดูแลเอาใจใส่ของหลิวจวิ้น ต้องเชิญเขากินข้าวสักมื้อ ถือโอกาสสร้างไมตรีเสียเลย!
ดังนั้นนางจึงยิ้ม “รอข้าจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าต้องเชิญทุกท่านดื่มเหล้า!”
พูดจบก็อาศัยโอกาสฝ่าวงล้อมออกไป และนำแผนที่กลับลานจื่อหลิง
เสี่ยวซิงได้ยินว่ามู่จิ่วได้รับจัดสรรบ้านมาแล้ว ความดีใจนั้นไม่ต้องพูดถึง ทิ้งไม้กวาดลากอาฝูมาดูแผนที่ทันที อาฝูดูอะไรก็ไม่เข้าใจ แต่มาด้วยเพื่อความคึกคัก มู่จิ่วคิดขึ้นได้ว่าลู่ยาก็อยู่ ถึงแม้เขาจะเป็นแขก ช้าเร็วต้องจากไป แต่อย่างไรนางก็ทำเหมือนไม่มีเขาอยู่ไม่ได้ จึงไปเรือนข้างๆ ดึงเขามาดูด้วย
“เจ้าช่วยดูหน่อย ที่ไหนดี?”
พูดตามความจริง เรือนบนสวรรค์ไม่มีที่ไม่ดี แต่แม้เป็นแบบนี้ยังไงก็ต้องเลือก เพราะเลือกเองถึงจะมีความรู้สึกผูกพัน
ที่จริงลู่ยาไม่มีความเห็น เพราะเขาดูแล้วไม่มีอะไรสู้วังชิงเสวียนได้ หากนางต้องการเรือนของตนเองแล้วละก็ สำหรับเขาแล้วไม่ใช่ปัญหา! แต่เขาต้องทนไว้ไม่ทำลายน้ำใจนาง ดังนั้นสุดท้ายจึงชี้ไปหลายที่ จากนั้นพานางไปดูสถานที่จริง สุดท้ายมู่จิ่วเลือกลานบ้านที่ปลูกต้นท้อกับจื่อเถิงเหมือนเดิม
หน้าหลังลานบ้านมีสองทางเข้า ลึกเข้าไปไม่มากนัก แต่ห้องเล็กๆ ใหญ่ๆ ด้านในมีทั้งหมดหกห้อง ลานด้านหน้าทางตะวันออกมีสองห้อง สามห้องทางตะวันตกเป็นห้องครัว ผ่านห้องโถงไปลานด้านหลังจะมีสี่ห้อง แบ่งเป็นตะวันออกตะวันตกอย่างละห้อง ทางเหนือสองห้อง เมื่อเดินเข้าประตูเล็กที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือไปจะเป็นสวนดอกไม้เล็กๆ
………………………………………………………