ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 133 เจ้าจะดื่มเหล้า?
หลินเจี้ยนหรูย่อตัวลงไปตรงหน้านาง ขยับปากพูด “หากศิษย์พี่เชื่อฟัง ข้าจะไม่ให้เจ้าเดินไปถึงขั้นนี้แน่นอน”
“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?” นางมองเขาที่อยู่ระดับเดียวกัน ดวงตาทั้งสองซึ่งเต็มไปด้วยเส้นเลือดเหมือนกับจะพ่นไฟโกรธออกมาแผดเผาเขาให้เป็นจุณ
“ง่ายมาก” หลินเจี้ยนหรูพูด “เจ้ากลับไปห้ามหัวชิงไว้ ให้เขาล้มเลิกเรื่องที่จะไปชิงชิวเพื่อหารือกับจิ้งจอกเก้าหาง”
เหลียงชิวฉานแค่นหัวเราะเย้ยหยัน “นี่เป็นเรื่องใหญ่ของแรกพยับ ข้าจะมีความสามารถอะไรไปหยุดยั้งได้?”
“แน่นอนว่าต้องวางแผน” หลินเจี้ยนหรูกล่าว “เจ้าลืมไปแล้ว วันนั้นที่เจ้าเข้าห้องหลินเซี่ย ตอนหลังจีหย่งฟางตามเข้ามาด้วยมิใช่หรือ? เจ้าเพียงหาวิธีนำมหาโอสถเม็ดหนึ่งมาจากอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก แอบให้จีหย่งฟางกินเข้าไป จากนั้นก็กลับคำบอกว่าจีหย่งฟางเข้าห้องหลินเซี่ยไปก่อน เรื่องก็จบลงแล้วนี่?”
“เจ้าให้ข้าป้ายสีจีหย่งฟาง?” ดวงตาทั้งสองของเหลียงชิวฉานหรี่ลง ยิ้มเยาะเย้ยพูด “เจ้าประเมินข้าสูงไปแล้ว มหาโอสถทองอาจารย์เป็นผู้ดูแล ข้าจะนำมาง่ายๆ ได้อย่างไร?”
หลินเจี้ยนหรูยืดตัวขึ้น มองนางพลางเอ่ย “เรื่องนี้หากศิษย์พี่ทำไม่ได้ ก็ไม่มีใครสามารถทำได้แล้ว”
เหลียงชิวฉานเลือดลมติดขัด พูดอีกว่า “ถึงแม้ข้าจะนำมหาโอสถทองมาได้ แล้วจะอธิบายเรื่องขนจิ้งจอกอย่างไร!”
“เรื่องนี้เจ้าต้องอธิบายแทนนางด้วยหรือ?” เขาพูด “จีหมิ่นจวินยั่วยุเหล่าผู้อาวุโส โน้มน้าวอาจารย์ลุงเจ้าสำนักให้ไปก่อกวนชิงชิว ได้ยินว่าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ข้าดูแล้ววันนั้นสีหน้าของเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสไม่ค่อยดีนัก คิดว่าพวกเขาก็ต้องรู้สึกว่าจีหมิ่นจวินทำเกินไปหน่อย”
“เพียงแค่ยืนยันได้ว่ามหาโอสถทองอยู่ในร่างจีหย่งฟาง เจ้ายืนกรานว่านางเข้าไปในห้องหลินเซี่ยแน่ จะมีใครไม่เชื่ออีก? ข้าเกรงว่าเจ้าสำนักจะเชื่อก่อนเป็นอันดับแรกด้วยซ้ำ”
“มหาโอสถทองมีจำกัด ส่วนที่หายไปข้าจะทดแทนคืนอย่างไร?!” เหลียงชิวฉานกัดฟันแน่น
หลินเจี้ยนหรูยืนขึ้นมา “เรื่องนี้เจ้าต้องคิดหาหนทางเองแล้ว มหาโอสถหนึ่งเม็ดกับชีวิตของเจ้าเทียบกันแล้วสิ่งใดสำคัญกว่า เชื่อว่าศิษย์พี่รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร”
เหลียงชิวฉานแหงนหน้ามองเขาที่อยู่สูงกว่า รู้สึกเพียงว่าฟันในปากจะแหลกเป็นผุยผงแล้ว…
อีกฟากหนึ่ง มู่จิ่วกำลังถกเถียงกับลู่ยาถึงตำแหน่งของป้ายประตูอยู่ตรงทางเข้าลานแต่เช้าตรู่
เสียเวลาไปครึ่งวันก็ย้ายเรือนเรียบร้อย และใช้เวลาอีกครึ่งวันจัดการ ตอนนี้ในที่สุดก็เก็บกวาดหมดจดแล้ว
ห้องทั้งสี่ในลานบ้านเพียงพอสำหรับหนึ่งคนหนึ่งห้อง มู่จิ่วได้ห้องชุดเล็กๆ ทางทิศตะวันออก ลู่ยาได้ห้องชุดทางทิศตะวันตก ทิศเหนือมีสองห้อง ห้องทางตะวันออกให้เสี่ยวซิงอยู่ ส่วนตะวันตกยกให้อาฝู ตรงกลางทิศเหนือยังมีห้องโถงเล็กๆ ไว้สำหรับรับแขกอยู่อีก
ส่วนลานบ้านด้านหน้า ห้องครัวทางทิศตะวันตกยังคงเป็นห้องครัว ห้องทางตะวันออกสองห้องแม้ไม่มีคนอยู่แต่เก็บกวาดไว้ก่อน ห้องหนึ่งไว้เป็นห้องอาหาร อีกห้องเอาไว้เก็บของใช้ในชีวิตประจำวัน
มู่จิ่วทำลานตรงกลางให้เป็นสวนดอกไม้เล็กๆ ปลูกโบตั๋นเสาเย่าอะไรต่างๆ ยังมีดอกบ๊วยและต้นอู๋ถงอีกหลายต้น
ทั้งสี่ทิศของลานบ้านด้านหลังยังวางรั้วปลูกดอกไม้ไว้มากมาย แต่เดิมมีเพียงต้นจื่อเถิงสองต้น ยังมีต้นท้อใหญ่สองต้น ตอนนี้เพิ่มมาอีกหลายอย่างจนมีมากมายแล้ว กลางลานบ้านมีทางเล็กๆ ที่คดเคี้ยว ในวันปกติสามารถใช้เดินเล่นหลบร้อนได้ นางยังไปขอลู่ยาให้ทำก้อนหินหลายก้อน สร้างภูเขาจำลองขึ้นมาอีกหนึ่ง
เมื่อดูไปแล้ว สถานที่แม้จะไม่ใหญ่มาก แต่กลับมีรสนิยมขึ้นหลายส่วน
เสี่ยวซิงอาฝูล้วนมีความสุขยิ่ง เมื่อคืนอยู่ที่นี่หนึ่งคืน ปกติต้องเกียจคร้านจนเสี่ยวซิงทำอาหารมาให้ถึงลุกขึ้นจากเตียง แต่วันนี้อาฝูตื่นแต่เช้า จากนั้นเลือกปีนขึ้นไปบนหินสูงจั้งกว่ากลางลานบ้าน ทำเอามู่จิ่วตื่นมาตอนเช้ายังเข้าใจไปว่ามีดาวโชคลาภหล่นมาจากฟ้า เกือบจะก้มกราบทำความเคารพไปแล้ว
“ข้าคิดว่าต่ำลงหน่อยดีกว่า มิฉะนั้นจะสูงเกินไป เขียนแค่ว่าเรือนสกุลกัว เอาป้ายไม้มาขัดเงาและแกะสลักสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”
“หากเป็นไม้ให้พวกกู้เจียทำก็ได้” ตอนนี้เองเสี่ยวซิงที่ทำอาหารเช้าเสร็จแล้วเดินเข้ามา
“กู้เจียคือใคร?” มู่จิ่วหันหน้าไปพูด
“คือพวกลิงขนทองที่ขายหมีโหวเถาอยู่ที่ประตูสวรรค์แดนใต้” เสี่ยวซิงตอบ “บนเขาพวกเขามีไม้มากมาย ให้พวกเขาทำมาก็เรียบร้อยแล้ว”
มู่จิ่วคิดไม่ถึงว่าเสี่ยวซิงจะกลายเป็นเพื่อนกับลิงน้อยไปแล้ว สะดวกสบายแบบนี้ไหนเลยจะมีเหตุผลไม่รับไว้?
ตอนนี้เรื่องนี้จึงมอบให้เสี่ยวซิงไป จากนั้นจึงเริ่มเขียนรายการอาหาร
นางคิดว่าจะเชิญเหล่าสหายในหน่วยมาสังสรรค์คืนนี้ ในหน่วยลาดตระเวนเชิญหลิวจวิ้น เฉินอิง และหูเหยียน จากนั้นเชิญผู้บัญชาการถิงเว่ยอีกสิบเอ็ดท่าน และยังเชิญทหารข้างกายหลิวจวิ้นที่ห้อมล้อมมู่จิ่วให้จัดงานเลี้ยงในวันนั้นด้วย คิดดูแล้วต้องมีสองโต๊ะใหญ่ คนเยอะขนาดนี้เสี่ยวซิงต้องรับมือไม่ไหวแน่ มู่จิ่วก็ไม่คิดจะทำร้ายนาง ดังนั้นจึงจองโต๊ะไว้ที่ ‘หงส์ระบำ’
เถ้าแก่ของหงส์ระบำคือหงส์ตัวหนึ่ง บิดาเป็นพาหนะให้โอรสคนที่สามของอวี้ตี้ หลังจากนางแต่งงานไปแล้วก็อาศัยชื่อของหงส์เฒ่าเปิดภัตตาคารขึ้น ภัตตาคารมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง อาหารทำได้ดี มู่จิ่วรู้ว่าหากไม่มีหลิวจวิ้นก็คงไม่มีนางในวันนี้ ดังนั้นจึงต้องตอบแทนเขาดีๆ
อย่างไรหลังจากนางเลื่อนตำแหน่ง ทุกเดือนนอกจากได้สวัสดิการแล้ว ยังได้เงินเดือนเป็นเหรียญหยกห้าร้อยเหรียญ เชิญมากินข้าวยังไงก็พออยู่แล้ว
“เจ้าคงไม่ร่วมดื่มเหล้ากับพวกผู้ชายเหล่านั้นกระมัง?” ตอนกินข้าวเช้า ลู่ยาคีบก้อนข้าวเหนียวพลางเหลือบมองนาง
มู่จิ่วรู้สึกว่าเรื่องที่เขาถามออกจะแปลกประหลาด “ในเมื่อข้าเป็นเจ้ามือ ทำไมข้าถึงดื่มเหล้าไม่ได้”
สีหน้าของลู่ยาไม่ค่อยน่าดูนัก “หญิงสาวคนหนึ่งดื่มเหล้ากับผู้ชายจะเหมาะสมได้อย่างไร” เขาก็ไม่รู้ด้วยว่านางคอแข็งขนาดไหน ล้วนเป็นผู้ชายทั้งนั้น หากพวกเขาลงไม้ลงมือขึ้นมาจะทำอย่างไร? ถึงแม้ไม่ลงมือ พูดจาสองแง่สองง่ามก็ไม่ดีแล้ว
มู่จิ่วรู้สึกว่าน่าหัวเราะ นี่มีอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสมกัน? นางก็ไม่ใช่พวกเชื่อถือคำสอนของสำนักขงจื่อ คนทำงานด้วยกันร่วมดื่มเหล้าไม่ใช่ว่าปกติมากหรอกหรือ
ลู่ยากินก้อนข้าวเหนียวจนหมด ก่อนพูด “มิสู้ข้าไปด้วยจะดีกว่า” เขามองนาง
“นั่นจะได้อย่างไร?” มู่จิ่วปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “คนที่ข้าเชิญล้วนเป็นคนในหน่วย เจ้าไปด้วยพวกเขาจะไม่สบายใจกัน”
คนเขาจะไม่สบายใจกันเพราะเขาเป็น ‘คู่หมั้น’ ของนาง ที่นางไม่สบายใจเพราะเขาเป็นเทพเซียนสูงส่ง คนอื่นไม่รู้จักฐานะเขา หากพูดอะไรไม่ดีด้วย อีกเดี๋ยวเขาจัดการเอาเรื่องคงไม่ดีนัก
ลู่ยาก็คิดหาเหตุผลมายืนกรานไม่ได้ พูดตามจริง หากให้เขาไปเฝ้าจริงๆ เกรงว่าคนจะกลัวจนวิ่งหนี
จึงเหลือบมองนางอย่างเย็นชา พูดว่า “เช่นนั้นเจ้าพาอาฝูไป”
ยังไงก็ต้องมีคนคอยเฝ้านาง
มู่จิ่วส่งเสียงรับคำ นี่ค่อยยังชั่วหน่อย ทุกคนรู้จักอาฝู อาฝูก็เป็นเสือที่มีชื่อในทัพทหารสวรรค์ด้วย นับได้ว่าเป็นคนกันเองครึ่งหนึ่ง
หลังกินข้าวเสร็จ นางนำรายการอาหารให้เสี่ยวซิงไปส่งให้เถ้าแก่หงส์ ไหนเลยจะรู้ว่าอาฝูกินไม่อิ่ม กัดกางเกงเสี่ยวซิงอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย นางจึงทำได้เพียงนำไปส่งที่หงส์ระบำเอง
ภัตตาคารของเถ้าแก่หงส์อยู่ที่บริเวณจุ้ยอวี้ ด้านนอกด้านในสามชั้น หน้าประตูเป็นป้ายชื่อขนาดใหญ่ รอบๆ ป้ายชื่อเต็มไปด้วยต้นไผ่และป่าต้นอู๋ถง เมฆหมอกลอยไปมาช่างงามปราณีตยิ่งนัก ได้ยินว่าห้องส่วนตัวหนึ่งห้องมีหนึ่งโต๊ะ ทั้งหมดสามสิบหกห้อง ห้องรับรองระดับสองสองห้องต่อหนึ่งโต๊ะ มีทั้งหมดสิบแปดห้อง ห้องรับรองระดับหนึ่งสองโต๊ะต่อหนึ่งลาน มีทั้งหมดเก้าส่วน และห้องรับรองระดับพิเศษ หนึ่งลานจะมีหนึ่งโต๊ะ รวมมีสามส่วนด้วยกัน อันที่จริงสถานที่นี้ไม่สามารถใช้คำว่าภัตตาคารมาเรียกได้แล้ว
………………………………………………………