ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 135 สวัสดีใต้เท้า
คืนนี้ไม่มีโอกาสคืนหินให้เขา
เช้าวันถัดมานางไปที่ห้องทำงานของเขาในหน่วยก่อน วางหินไว้บนโต๊ะ ก่อนพูด “เมื่อคืนใต้เท้าทำของตกไว้ ข้าเก็บมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
หลิวจวิ้นมองดูหินนั้น สายตาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมา “นี่ไม่ใช่ของข้า”
“ไม่ใช่ของท่าน?” มู่จิ่วอึ้งไป นี่ไม่ใช่ของเขาได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าเป็นของที่ตกไว้หลังจากเขาไป! “ใต้เท้า มิใช่ว่าท่านพบเจอเรื่องลำบากอะไรหรอกนะ? ของชิ้นนี้แค่มองก็รู้ว่าสำคัญ ท่านพูดได้อย่างไรว่าไม่ใช่ของท่าน? มีเรื่องลำบากก็เพียงแค่พูดออกมา ทุกคนสามารถช่วยท่านแก้ไขได้!”
เส้นผมอะไรก็ตาม เพียงดูก็รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องราวรักใคร่ ยิ่งบวกกับท่าทางของเขาเมื่อคืน หากไม่ใช่หนักใจเรื่องความรัก ทำไมถึงได้กังวลหนักแบบนั้น? มีคนรักแล้วก็มีสิ กลับยังไม่กล้ายอมรับ!
“มันไม่ใช่ของข้าอยู่แล้ว!”
หลิวจวิ้นได้ยินนางพูดแบบนี้ ก็ระเบิดอารมณ์ออกมา พูดแล้วว่าไม่ใช่ของเขายังยัดเยียดให้เขาอีก กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือ!
“ใต้เท้า เมื่อคืนข้าเห็นกับตาตนเองว่าท่านอยู่ที่นั่น ไม่ใช่ของท่านจะเป็นของใคร?” มู่จิ่วไม่สนใจข้ออ้างของเขา ในสวนดอกไม้ของหอจันทร์เสี้ยว ถึงแม้ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องรับรองอื่น แต่อย่างไรที่ที่เก็บหินได้ก็เป็นทางพวกเขา ถึงแม้เป็นคนอื่นเดินมาทำตกไว้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาตกอยู่ฝั่งพวกเขา?
“เจ้ายังต้องให้ข้าพูดสักกี่ครั้ง!” หลิวจวิ้นวางแก้วชาลงอย่างหนัก สติแตกแล้ว “ข้าไม่ใช่พวกสาวๆ หยิบหินฉูดฉาดมาทำอะไร? แล้วยังมาพูดส่งเดชที่นี่ ยังไม่รีบไปทำงานอีก? เจ้าคิดว่าในหน่วยไม่มีอะไรให้ทำแล้วใช่หรือไม่?”
พูดจบก็นำหินนั่นวางกลับไปบนมือนาง เหลือบมองนางพลางเดินออกไป
มู่จิ่วอึ้งงันจริงๆ พูดแบบนี้คือไม่ใช่ของเขาจริงหรือ? แต่ถ้าไม่ใช่ของเขาจะเป็นของใคร?
นางก้มหน้ามองเส้นสีเขียวภายใน เก็บมันเข้ากระเป๋าเล็กไปด้วยอับจนหนทาง
เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบคดีของทั้งสามภพโดยตรง ดังนั้นกลุ่มถิงเว่ยจึงตั้งอยู่หน้าสุดของทัพทหารสวรรค์ ใกล้ฝั่งถนน
สิบสองกองใช้สิบสองนักษัตรเป็นชื่อ คดีผลัดกันนำแก้ไข มู่จิ่วอยู่กองกระต่าย ห้องทำงานคือเรือนเล็กๆ มีสามห้อง นอกจากนางที่เป็นผู้บัญชาการ ยังมีรองผู้บัญชาการอีกสองคน เจ้าหน้าที่บันทึกสองคน และเจ้าหน้าที่ราชการยี่สิบสี่คน
รองผู้บัญชาการคนหนึ่งชื่อหลี่อี้ คนหนึ่งชื่อถงกวง ล้วนเป็นผู้ช่วยทำคดี ส่วนเจ้าหน้าที่บันทึกสองคนเป็นพี่น้องกัน คนหนึ่งชื่อหลิวหวน คนหนึ่งชื่อหลิวอวี่ ทำหน้าที่บันทึกและจัดการเรียงลำดับบันทึกคดี เหล่าเจ้าหน้าที่ราชการที่เหลือก็คอยรับคำสั่งของมู่จิ่ว กระฉับกระเฉงมาก
นางเพิ่งเข้าประตูลานไป ก็เห็นเพียงคนในลานเรียงแถวสองกลุ่มอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับกองทหาร คนหน้าสุดสองคน คนหนึ่งขาวคนหนึ่งดำ คนผิวดำหน้าเหลี่ยม มุมปากตกลง ราวกับเกิดมายิ้มไม่เป็น ส่วนคนขาวยิ้มตาหยีเหมือนพระสังกัจจายน์ มู่จิ่วเพิ่งจะก้าวเท้าหน้าเข้าไป เขาก็เดินขึ้นมารับ “ยินดีต้อนรับใต้เท้าเข้ารับตำแหน่ง!”
คนด้านหลังก็ค้อมตัวทำความเคารพ เสียงสูงจนดังไปถึงข้างบ้านแล้ว!
มู่จิ่วประสานมือรับ “พวกเจ้าทำอย่างนี้ทำไม? เดี๋ยวคนเข้าใจว่าข้าก่อกบฎ!”
ถงกวงหน้าขาวก้าวเข้ามา ยิ้มตาหยีพูด “ถ้าเช่นนั้นเชิญใต้เท้าด้านใน”
มู่จิ่วมองพวกเขาโดยไร้คำพูด จากนั้นเข้าไปในเรือนตรงกลางที่ค่อนข้างใหญ่
นางรู้แผนผังการทำงานของกลุ่มถิงเว่ย ตรงกลางเป็นผู้บัญชาการ ทางซ้ายเป็นรองผู้บัญชาการ ด้านขวาเป็นเจ้าหน้าที่บันทึกคดี
บนโต๊ะทำงานในห้องของนางยังมีถาดผลไม้และขนมหลายอย่างวางอยู่ ทั้งยังมีแก้วที่รินชาไว้อย่างดีในอุณหภูมิเหมาะสมด้วย!
คนเหล่านี้ เจตนาประจบเอาใจชัดเจนไปแล้วกระมัง?
แต่การประจบเอาใจเหล่านี้ก็เท่ากับทำเสียเปล่า นางไม่ใช่ศิษย์ลัทธิฉ่าน สามารถอาศัยคดีชิงชิวเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการก็โชคดีมากแล้ว หรือพวกเขาเข้าใจว่านางมีผู้สนับสนุนที่ไม่อาจดูแคลนได้ และสามารถทำให้พวกเขาเลื่อนตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว?
แต่นางก็ไม่เปิดเผยออกมา อยู่ทัพสวรรค์มานานขนาดนี้ ธาตุแท้ที่นี่เป็นอย่างไรใจนางยังรู้ดี
“เอาละ ความมีน้ำใจของทุกคนข้ารู้แล้ว ภายหลังทุกคนเดินหน้าไปด้วยกัน หวังว่าจะไม่มีใครคอยถ่วงกัน ถ้าหากมีชื่อเสียงขึ้นมาก็เป็นผลงานของทุกคน”
นางไม่รู้ว่าควรพูดอะไรเพื่อซื้อใจคน พูดตามพิธีรีตองหลายประโยคก็ส่งพวกเขาออกไป
จากนั้นหยิบหินก้อนหนักออกมาจากกระเป๋าเล็ก สุ่มวางเข้าไปในลิ้นชัก จากนั้นพลิกดูสองคดีซึ่งวางอยู่บนโต๊ะแล้ว
คดีที่กลุ่มถิงเว่ยรับมาทั้งหมดไม่ได้เป็นคดีอะไร คดีที่สามภพส่งมาถึงทัพทหารสวรรค์ก็มีน้อยนัก อย่างเช่นคดีชิงชิวที่มีความชัดเจนมาก หากคราวนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารคนลัทธิฉ่าน แล้วนางไปพบเข้าพอดี ก็ไม่แน่ว่าเรื่องจะมาถึงสวรรค์ได้
ดังนั้นคดีที่รับมาได้จึงมีเพียงเรื่องเล็กน้อย บ้านใครทำของหาย บ้านใครถูกคนตีเข้า บ้านใครมีภรรยาน้อยอะไรแบบนั้น สรุปคือเรื่องไม่สำคัญ จุกจิกหยุมหยิมอย่างมาก
ฝั่งนางรีบเริ่มต้นทำงาน ทางชิงชิค่อยๆ เงียบไป จิ้งจอกเก้าหางถึงแม้สังหารคนลัทธิฉ่านไปไม่น้อย แต่จะโทษพวกเขาทั้งหมดไม่ได้ ตอนนี้ความจริงของคดีปรากฏแล้ว หวังหมู่ถ่ายทอดคำสั่งด้วยตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรให้เห็นแก่ที่แต่ก่อนพบหน้าอยู่ในวังหนี่ว์วาบ่อยๆ ไท่ซ่างเหล่าจวินจึงย่อมไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกแน่นอน
ส่วนความสงสัยที่เหลือในคดีอู่เต๋อกลับกลายเป็นร่องรอยที่เหมือนมีเหมือนไม่มี จมอยู่ในใจสลัดไปไม่พ้น แต่ตอนนี้ไม่ได้กระทบจุดสำคัญแล้ว
หลังออกจากสวรรค์ไปแล้ว ราชาจิ้งจอกมุ่งไปยังวังจิตกระจ่าง เรื่องดำเนินไปอย่างไรไม่ต้องกล่าวถึงก็รู้ได้
แต่ทางแรกพยับเป็นอย่างที่หลินเจี้ยนหรูคาดการณ์ไว้ เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว จีหมิ่นจวินร้องโวยวายต้องการไปชิงชิวเพื่อคิดบัญชี หัวชิงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจก่อน เพราะคราวก่อนนางก่อวาจาวิวาทที่ชิงชิวจนเกือบทำให้ทั้งแรกพยับลำบาก อีกอย่างเขาสงบลงเพราะคิดว่าจิ้งจอกแดงแท้จริงไม่มีความจำเป็นต้องโกหกกัน ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงท่าทีออกไป
หลินเจี้ยนหรูไม่รู้สถานการณ์ของแรกพยับชัดเจนนัก แต่ก็สามารถเดาได้สักแปดเก้าในสิบส่วน
ตอนนี้เขายังปฏิบัติงานอยู่ในหน่วย ระหว่างวันยิ้มแย้มแจ่มใสติดต่อกับผู้คน แต่ในใจกลับสับสนวุ่นวายอยู่บ้าง
ตอนมู่จิ่วเลิกงาน นางบังเอิญเจอเขาที่ประตูทัพทหารสวรรค์
“ช่วงนี้ดูแล้วเจ้ายุ่งนัก ไม่เห็นเจ้าเลย” มู่จิ่วพูด ถึงแม้นางไม่ได้ชวนเขามากินข้าว กลับยังคิดจะขอบคุณเขาเสียหน่อย ที่จริงตอนแรกที่ดิ้นรนเอาคดีนี้มาจากมือหลิวจวิ้น เขาก็ช่วยนางไว้ไม่น้อยเลย
เขายิ้มๆ “เป็นเรื่องเล็กน้อย”
สบายดีหรือไม่เขาก็ไม่พูด มู่จิ่วจึงทำได้เพียงกล่าว “จัดการเสร็จหรือยัง?” นางยังคงไม่ลืมเรื่องที่เขาสังหารบิดา
“น่าจะเสร็จแล้วกระมัง” แววตาเขานิ่งสงบ ยกปากยิ้ม
เหลียงชิวฉานกับจีหย่างฟางกลับแรกพยับไปแล้วสามวัน ตามหลักเหตุผลควรกลับมาได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับยังไม่เห็นเงา บอกว่าไม่กังวลคงไม่ใช่ แต่เขาก็ไม่กล้ากลับไปยังแรกพยับ ถึงแม้เขาควบคุมเรื่องการตัดสินใจของเหลียงชิวฉานไว้อยู่หมัด แต่กลับไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องผิดพลาด หากหัวชิงมองนางออก หรือนางปิดไม่มิดแพร่งพรายออกไปเล่า?
…………………………………………