ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 140 แต่ละคนมีอุดมการณ์ของตนเอง
มู่จิ่วรู้ว่าโอกาสที่จะให้เขาชี้แนะอย่างจริงจังได้มายาก จึงค่อยๆ ทิ้งเรื่องนี้ไป ตั้งใจบำเพ็ญฝึกวิชา
แต่ก่อนตอนอยู่บนเขา นางเข้าใจว่าก่อนเลื่อนขั้นไม่มีทางก้าวหน้าขึ้นแล้ว ภายหลังได้ลู่ยาสั่งสอน และหลังจากทะลวงเส้นลมปราณไปหลายจุด นางค้นพบว่าพลังฤทธิ์ของนางเพิ่มมากขึ้น บุญกุศลแม้ไม่มีหนทางเพิ่มขึ้น แต่พลังฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากกายของตนเอง ดังนั้นตอนร่ายรำกระบี่ ใช้คาถา และใช้ของวิเศษล้วนมีประโยชน์ใหญ่หลวง
กล่าวได้ว่า ถึงแม้นางยังต้องสะสมบุญกุศลถึงจะได้เลื่อนขึ้น แต่พลังการต่อสู้ของนางกลับเพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้ง แต่ก่อนไปเกาะเป่ยอี๋นางต้องใช้เวลาถึงหนึ่งสองชั่วยาม ตอนนี้ขี่เมฆไปใช้เพียงครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว และขอบเขตคลื่นค่ายกลกระบี่ของนาง แต่ก่อนรัศมีห้าสิบลี้ก็กลายเป็นร้อยกว่าลี้ สามารถพูดได้ว่าก้าวหน้าไปไกลมาก
ดังนั้นผ่านไปหลายเดือน มู่จิ่วจึงรู้สึกว่าพลังฤทธิ์ล้วนสามารถกระตุ้นสิ่งของที่หนุนธาตุทองให้เข้ามาใกล้เอง แม้แต่หลิวจวิ้นยังรู้สึกได้ว่าทั้งร่างนางดูกระปรี้กระเปร่า แววตาสว่างไม่น้อย ส่วนภาพมายาที่มู่หรงหลิวเย่ให้มานางก็เริ่มฝึกแล้ว ภาพมายาธรรมดานางสามารถสร้างขึ้นมาได้หลายอย่าง
ตอนอิ่นเสวี่ยรั่วมาเยี่ยม มู่จิ่วกำลังสร้างภาพมายาฝึกอาฝู ผลคือทำให้นางเข้าใจผิดว่ามาผิดที่ เดินไปๆ มาๆ อยู่ที่หน้าประตูหลายรอบ สุดท้ายเห็นเสี่ยวซิงถือตระกร้าเดินออกมาจากป่ารก จึงได้รู้ว่าถูกภาพมายาหลอกเอาแล้ว
หลังจากที่มู่จิ่วพาพวกเสี่ยวซิงย้ายออกมาแล้ว ลานจื่อหลิงก็มีคนเข้ามาอยู่ใหม่ อวี๋เสี่ยวเหลียนกลับมาแล้ว นอกจากนี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญอีกสองคน หยางอวิ้นถูกสั่งไม่ให้กลับมาอยู่อีก จางเหยี่ยนซิงจวินตั้งใจแยกพวกนางจากกันตลอดไป
“แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานมีคนบอกว่ามาจากสำนักตะวันอำพราง เขามาถามเรื่องเจ้า” อิ่นเสวี่ยรั่วถูกรั้งไว้ให้กินข้าวกลางวัน ก่อนกินข้าวก็นั่งปอกลิ้นจี่อยู่ในห้องกับมู่จิ่ว พูดคุยเรื่องซุบซิบในหอวิหคแดง “ทุกคนกำลังพูดกันเรื่องที่เจ้าคลี่คลายคดีชิงชิวได้ พวกเขาได้ยินชื่อเจ้าก็ถามที่มาที่ไป พอดีมาถามข้าเข้า ข้าเห็นว่าพวกเขาไม่ได้มาดี จึงไม่สนใจ”
สำนักตะวันอำพราง?
หากนางไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมามู่จิ่วก็ลืมแล้ว เพราะสำนักตะวันอำพรางทำให้นางถูกหลิวหยางส่งมาทำงานบนสวรรค์! แต่ตอนนี้นางไม่กลัวแล้ว ตัวการที่ทำลายยอดเขาของพวกเขาอยู่กับนางนี่ และยังเป็นอาจารย์อาของเจ้าสำนักพวกเขาอีก มีขุนเขาอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ให้พึ่งพิง สิบสำนักตะวันอำพรางนางก็ไม่กลัว
นางพูด “ไม่ต้องสนใจ บนโลกนี้ใจคนยากแท้หยั่งถึงที่สุด ใครจะรู้ว่าพวกเขาแอบซ่อนอะไรไว้ในใจ” นางเอ่ยอีก “หลังจากผ่านเรื่องชิวชิวไป พวกลัทธิฉ่านเป็นอย่างไรบ้าง?” ลู่ยาบอกว่าพวกเขายังมีเคราะห์ใหญ่ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง
อิ่นเสวี่ยรั่วไม่เปลี่ยนสีหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “หลายเดือนก่อนวิมานหลีเฮิ่นถ่ายทอดคำสั่งไปยังสำนักต่างๆ สั่งอย่างเข้มงวดให้ระมัดระวังคำพูดและการกระทำ แต่สวรรค์อยู่สูงกษัตริย์อยู่ห่างไกล ลัทธิฉ่านใหญ่ขนาดนั้น ใครจะทำตามอย่างหวาดกลัวจริงๆ? แต่อย่างไรก็สำรวมลงไปเยอะ ใช่แล้ว ข้าได้ยินว่าสำนักแรกพยับที่ไปหาชิงชิวก่อนหน้านี้ ภายหลังก็ไม่มีการเคลื่อนไหว”
พูดถึงแรกพยับ มู่จิ่วพลันนึกถึงหลินเจี้ยนหรูที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง? ช่วงนี้ถึงแม้จะบังเอิญเจอหน้ากันบ่อย รู้ว่าเขายังอยู่หน่วยลาดตระเวน แต่กลับไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะทั้งสองหน่วยอยู่ไกลกันมาก นอกจากตั้งใจมาหา มิฉะนั้นโอกาสบังเอิญเจอก็ไม่มากนัก
แรกพยับไม่ได้ไปถามหาความยุติธรรมที่ชิงชิว นั่นหมายความว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้วใช่หรือไม่?
ถึงแม้นางไม่ได้ยอมรับเรื่องที่เขาสังหารบิดา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสนใจ นางกินข้าวกลางวันแล้ว จึงอ้างว่าจะไปพบสหายร่วมงาน จากนั้นไปหอวิหคแดงกับอิ่นเสวี่ยรั่ว
อย่างไรก็ตาม หลินเจี้ยนหรูไม่อยู่ จึงถามทหารที่อยู่ลานบ้านเดียวกันเรื่องชีวิตช่วงนี้ของเขา ถึงได้รู้ว่าช่วงนี้เขาเข้างานกะเช้า ไปที่หน่วยงานแล้ว
“หากท่านต้องการพบเขา เอาไว้ข้าจะบอกเขาให้” ตอนนี้นางเลื่อนตำแหน่งแล้ว เหล่าทหารจึงเคารพนาง
มู่จิ่วคิดว่าไม่จำเป็น นางเพียงอยากรู้ว่าเขาอยู่อย่างสงบก็พอแล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่ายกเท้าเตรียมจะออกไป ก็เกือบชนเข้ากับคนอย่างจัง! มองดูกลับเป็นเขานี่เอง!
มองออกได้ว่าเขาเดินอย่างรีบเร่ง แต่หายใจปกติ ดูไปแล้วเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ช่วงนี้น่าจะไม่เลวทีเดียว มู่จิ่วยิ้มพูด “วันนี้ข้าหยุดพักผ่อน เมื่อครู่ผ่านมาทางนี้ จึงคิดจะมาดูว่าเจ้าอยู่หรือไม่ ไม่คิดว่าเจ้ากลับมาแล้ว”
หลินเจี้ยนหรูก็มองนางพลางยิ้มพูด “เพราะได้ยินว่าเจ้ามา ข้าจึงตั้งใจกลับมา” เขาเข้างานกะเช้าพอดี เกือบจะเลิกงานแล้ว เมื่อถึงประตูพบกับเจ้าหน้าที่จัดการเรื่องทั่วไปสองคน บอกว่าเห็นมู่จิ่วมาทางลานสนเขียว จึงรีบเร่งกลับมา
“เข้าไปนั่งในเรือนก่อนเถิด” เขาชี้ไปที่ห้องขณะพูด
ตอนนี้ทางแรกพยับกำหนดตัวฆาตกรที่สังหารหลินเซี่ยแล้ว จีหย่งฟางก็ตายแล้ว เขาไม่กลัวว่าลู่หยาจะแพร่งพรายเรื่องของเขาออกไปอีก
มู่จิ่วกลับไม่อยากผิดต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับลู่ยา กล่าวว่า “ข้าเพียงได้ยินว่าพวกจีหมิ่นจวินไม่ได้ไปชิงชิวแล้ว ดังนั้นจึงมาถามเจ้าว่าเรื่องเป็นอย่างไร?”
หลินเจี้ยนหรูมองดูซ้ายขวา นำนางไปยังใต้ต้นสนเขียวนอกประตูลาน แล้วพูด “สงบไปแล้ว”
“อ้อ เป็นอย่างไรบ้าง?” มู่จิ่วลอบถอนหายใจโล่งอก
หลินเจี้ยนหรูเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูด “เพราะวังโตวลวี่ถ่ายทอดคำสั่งลงมา พวกเขาจึงไม่กล้าไปก่อเรื่องอีก”
เขาไม่กล้าพูดความจริงกับนาง หากให้นางรู้ว่าเขาป้ายสีจีหย่งฟาง นางคงจะไม่ยกโทษให้เขาอีก
นางพยักหน้า “นี่ดีแล้ว เรื่องนี้แม้จะผ่านไป แต่รากฐานวิญญาณเจ้าไม่สะอาด ลู่ยาบอกว่าหากไม่ระวังเจ้าอาจถูกรากฐานมารเข้าครอบงำ จะกระทบต่อเส้นทางบำเพ็ญเพียรของเจ้า”
“ข้ารู้” เขาถอนหายใจแผ่วเบา เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรสังหารบิดา หลายเดือนนี้ข้าก็ตั้งใจบำเพ็ญตน ดิ้นรนหาหนทางว่ามีวิธีล้างรากฐานวิญญาณให้สะอาดใหม่หรือไม่ ใช่แล้ว” เขาหยิบคัมภีร์ที่นางเคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจากในอก “ในนี้ข้าเรียนรู้หมดแล้ว คืนให้เจ้าพอดีเลย”
มู่จิ่วรับมาดู เห็นเพียงขอบกระดาษมีขุยปรากฏขึ้นมา ดูออกว่าเขาตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง
“ขอบคุณเจ้า” เขาพูด
“ขอบคุณอะไร” มู่จิ่วม้วนคัมภีร์ “ก็แค่มีอยู่ในมือพอดี”
คิดๆ ดูแล้วก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก กำชับไปสองประโยคนางก็บอกลา
หลินเจี้ยนหรูมองส่งนางออกประตูใหญ่ไป
นอกจากเรื่องจีหย่งฟางที่เขาปิดบังไว้แล้ว เรื่องอื่นเขากลับไม่ได้หลอกนาง หลายเดือนมานี้เขาตั้งใจบำเพ็ญตน ทักษะการดูสีหน้าอ่านใจคนที่เขาฝึกในแรกพยับ ทำให้เขาค่อยๆ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทัพทหารสวรรค์ บางครั้งเขาก็ได้รับสิทธิ์เข้าไปในหอเก็บคัมภีร์เพื่อยืมหนังสือตำรา ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ารากฐานวิญญาณของตนยังมีโอกาสชำระล้างให้สะอาดได้ แต่วาสนานี้พบเจอได้ ทว่าร้องขอมาไม่ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร มีความหวังก็ดีแล้ว
ก่อนหน้านั้น เรื่องที่เขาสามารถทำได้คือตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญตน
บำเพ็ญเต๋าไม่พอ ถึงมีวาสนาก็ไร้ประโยชน์
…………………………………………