ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 155 เขาไม่หัดทำตัวดีๆ
ลู่ยาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง พลันยื่นมือทั้งสองดึงนางลงมานั่งบนตักอีก “เอาละ ไม่หึงก็ไม่หึง พวกเราเป็นสหายกันเท่านั้น ดีหรือไม่?”
มู่จิ่วไม่มีคำพูด ผลักเขาออกแล้ววิ่งหนีไป
ลู่ยามองแผ่นหลังของนาง มุมปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ มีความอ่อนโยนที่คนลุ่มหลงจนตายได้
อ๋าวเจียงกินยาเซียนของมู่จิ่ว คืนนั้นสามารถทนต่อความเจ็บจนตัวงอได้ แต่สองวันถัดมาไม่ได้ออกมาข้างนอกเลย
มู่จิ่วรู้อยู่ในใจ ตอนมีคนขอพบเขาจึงช่วยรับหน้าให้และบอกว่าเขาไม่อยู่ หากต้านไว้ไม่อยู่ก็เดินเข้าไปถามความเห็นเขา เขาให้เหตุผลอะไรมา นางก็ใช้เหตุผลนั้นหลีกเลี่ยง เช่นนี้จึงสงบไม่มีเรื่องอะไร
แต่แม้แต่หน้าของเขามู่จิ่วยังไม่เห็น เพียงแค่ตอนผ่านหน้าประตูตำหนักเห็นเขาแอบมองอยู่ที่หน้าต่าง จากที่นางคาดเดา เจ้าคนนี้สักแปดส่วนต้องถอดเสื้อออกจนหมดเพื่อรักษาบาดแผล ที่จริงไม่มีการเสียดสีจากเสื้อผ้า บาดแผลจะยิ่งฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
ส่วนสมาชิกคนอื่นในวังมังกร มู่จิ่วไม่เห็นมาตั้งแต่ต้น อ๋าวเชินก็ไม่ได้ถามนางอีก ราวกับแน่ใจว่าอ๋าวเจียงต้องอดทนยอมนางไม่ได้ จากนั้นนางต้องไม่มีผลดีอะไร
อ๋าวเยวี่ยกลับมาอีกสองครั้ง มีครั้งหนึ่งมู่จิ่วกลับมาจากปฏิบัติงาน นางกำลังพูดคุยกับลู่ยาหน้าประตูพอดี ยังมีอีกครั้งหนึ่ง มู่จิ่วกับลู่ยากินข้าวเสร็จกลับมา บังเอิญเจอนางกำลังเดินเล่นบนถนน
แต่เรื่องบังเอิญเจออะไรพวกนั้นนางไม่เชื่อ ทำไมองค์หญิงคนหนึ่งไม่มีเรื่องก็มาเดินเล่นอยู่ที่หน่วยบัญชาการ?
ทว่านางไม่คิดติดตามต่อ เพื่อป้องกันไม่ให้ลู่ยาคิดมาก
พูดจริงๆ แล้ว ทุกครั้งยามเขาพูดเล่นกับนางแบบนี้ นางล้วนรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เขาเป็นมหาเทพที่น่าเคารพขนาดนั้น และนางคือหัวเสินที่แม้แต่เซียนยังนับว่าเป็นไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะเจอกันที่หงชางครั้งนั้น พวกเขาห่างกันด้วยสวรรค์หลายสิบชั้น จะสามารถมาเกี่ยวพันกันถึงเรื่องหึงไม่หึงได้อย่างไร?
เขาสูงส่งเกินนางจะเอื้อมถึง นี่ไม่ใช่การดูแคลนตนเอง แต่คือรู้จักตนเอง
นางยังไม่รู้ว่าอายุของตนเองยืนยาวเท่าไร ส่วนเขาอายุเท่ากับฟ้า ข้อแตกต่างเช่นนี้ คำว่าดูแคลนตนเองไม่สามารถแบกรับเรื่องทั้งหมดได้ไหว
ดังนั้นจิตใต้สำนึกนางจึงปฏิเสธ
และตัวเขาเองน่าจะรู้ระยะห่างระหว่างพวกเขา แต่ยังพัวพันไม่เลิกแบบนี้ นี่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
ตอนนี้มู่จิ่วย้ายไปอยู่กะดึกกับเจี๋ยเจี่ย
ทุกวันนางเข้างานลู่ยาเพิ่งกลับมา นางเลิกงานลู่ยาไปปฏิบัติงาน ดังนั้นไม่ว่าตอนกลางคืนเขาจะพาอ๋าวเยวี่ยไปล่องภูเขาเล่นน้ำก็ดี พูดคุยความในใจอย่างใกล้ชิดก็ดี ล้วนไม่เกี่ยวกับนางแล้ว
แน่นอน นางไม่รู้สึกว่าอ๋าวเยวี่ยกับลู่ยาจะพัฒนาความสัมพันธ์อะไรได้ หากเขาหวั่นไหวง่ายเพียงนั้น หลายหมื่นปีขนาดนี้คงไม่หาคนมาแต่งงานด้วยไม่ได้ แต่อยู่กับมหาเทพผู้นี้ ดีที่สุดนางต้องรู้จักวางตัว เหมือนแต่ก่อนตอนปฏิบัติงาน นางก็เรียนรู้ว่าจะรุกหรือถอยอย่างไร
เวลาที่นางอยู่วังเทียมบูรพาก็เพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
วันนี้เข้างานได้ไม่นาน หลังกลับจากลาดตระเวน นางกำลังนั่งเหม่ออยู่ข้างระเบียงทางเดิน อ๋าวเจียงพลันกลับมา
แต่เดิมฝีเท้าเร็วนักราวกับรีบไปทำอะไร หลังจากเห็นมู่จิ่วที่นั่งอยู่หลังต้นฉา (ต้นดอกคามีเลีย) เขาพลันหยุดลง มองซ้ายขวาเดินไปถึงตรงหน้านาง กดเสียงต่ำพูดว่า “ตามข้าเข้าไปในตำหนัก!”
มู่จิ่วไม่รู้ว่าเรื่องอะไร รีบยืนขึ้นเข้าไปในตำหนักกับเขา
มาถึงตำหนักหลังที่เขาได้รับบาดเจ็บ อ๋าวเจียงพลันปิดประตูลง แล้วพูดกับนาง “ตอนนี้เจ้าออกไปทำเรื่องหนึ่งกับข้าหน่อย”
“เรื่องอะไร?”
“อย่าถามมาก! ในเมื่อเจ้าเป็นพลอารักขาของข้า สรุปคือตามข้าไปก็พอแล้ว” อ๋าวเจียงถลึงตาใส่นาง ด้านหนึ่งหยิบกระบี่ล้ำค่าจากหัวเตียง จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปหลังฉากกั้นลม
มู่จิ่วรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มน้อยนี้แปลกประหลาดนัก ในเมื่อเขายกคำพูดนี้มา นางก็ไม่มีคำใดให้เอ่ย ตอนนี้นางเป็นข้ารับใช้ของวังมังกร จะทำอะไรต้องฟังเขา
หลังฉากกั้นลมมีเสียงเสียดสีกันอย่างถี่เร็วของเสื้อผ้า อ๋าวเจียงเปลี่ยนชุดลายมังกรสีน้ำเงินเข้มออกมา ผิวเขาขาว สวมสีนี้ทำให้เขายิ่งดูยิ่งใหญ่สง่างาม ช่างเป็นองค์ชายที่หล่อเหลาดีผู้หนึ่ง
มู่จิ่วไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอะไรต้องแอบออกไป และยังต้องแต่งตัวแบบนี้ แต่ความคิดของเขาครึ่งเซียนอย่างนางไม่สามารถคาดเดาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเลือกปิดปาก ตามหลังเขาที่ใช้คาถาอำพรางร่าง ตัดสินใจไปดูว่าเขาเล่นอะไรค่อยว่ากัน
ทั้งสองเดินทางเร็วมาก ตลอดทางพร่าเลือนไม่ชัดเจน ตอนถึงที่แล้ว พวกเขาหยุดลงที่ถนนสายหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้าง คนบนถนนที่เดินมาล้วนเป็นคนธรรมดา สองข้างทางเป็นโรงเตี๊ยมหอโคมเขียวอันเสเพล…เจ้านี่ กลับพานางมายังโลกมนุษย์!
อ๋าวเจียงไม่พูดอะไร เดินอย่างไม่เร็วไม่ช้าไปข้างหน้า ครั้นมาถึงหน้าประตูที่ปลูกต้นเหมยของอาคารสองชั้น เขามองดูป้ายบนประตู จากนั้นก้าวเท้าเข้าไป
มู่จิ่วก็ดูป้ายนั้น ข้างบนยังมีเหล่าแม่นางยิ้มหวานหยอกล้อไม่หยุด เหงื่อบนหลังผุดขึ้นมาแล้ว!
เจ้านี่ไม่เพียงหลอกนางมาโลกมนุษย์ ยังพานางมาหอโคมเขียว?
ไม่ใช่ว่าพยาธิเข้าหัวเขาไปแล้วนะ? แผลเพิ่งหายไม่กี่วันก็ทนไม่ได้แล้ว!
แต่เขาเข้าไปแล้ว นางก็ไม่มีหนทาง ทำได้เพียงรีบเปลี่ยนร่างตนเอง แต่งตัวเป็นชายรุ่นเยาว์ตามเข้าประตูไป
อ๋าวเจียงเข้าประตูแล้วให้เงินแม่เล้าไปก้อนหนึ่ง แม่เล้าคิ้วคลายตายิ้มพาพวกเขาขึ้นไปยังห้องทางใต้ ในห้องรอบด้านมีแต่กลิ่นแป้ง มู่จิ่วเข้าไปก็จามหลายครั้ง
รอจนแม่เล้าปิดประตูออกไป ในที่สุดมู่จิ่วก็ทนไม่ได้ พูดว่า “ข้าว่าข้าคงไม่อาจหาเรื่องอะไรทำได้? ต้องเรียนรู้การเล่นกับหญิงนางโลมหรือ?”
“หุบปาก!” อ๋าวเจียงหน้านิ่งถลึงตาใส่นาง ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นแดงทันที “ข้าไม่ได้ลามกอย่างที่เจ้าคิด!”
มู่จิ่วพูดเชื่องช้า “เช่นนั้นเจ้ามาทำอะไร?”
เขากัดฟัน ยกกระบี่เปิดหน้าต่างเล็กน้อย ชี้ไปทางกลุ่มคนที่ล้อมวงดื่มเหล้าฝั่งตรงข้าม ก่อนพูด “เห็นคนตรงนั้นที่สวมเสื้อดำหรือไม่? เจ้าจับตาดูเขาให้ดี! หน้าที่ของวันนี้คือจับเขากลับวังมังกร!”
มู่จิ่วเงยหน้ามองไป เห็นเพียงตรงข้ามในห้องเปิดโล่งมีคนแต่งกายไม่ธรรมดานั่งอยู่สี่คน ที่เหลือสามคนล้วนเป็นมนุษย์ แต่คนสวมเสื้อดำนั้นกลับเป็นเซียนอย่างชัดเจนมาก คนผู้นี้หน้าตาอายุประมาณยี่สิบกว่า ตาหงส์สมบูรณ์แบบ รอยยิ้มดึงดูดคนยิ่ง แต่กลับไม่ไร้เดียงสาเหมือนอ๋าวเจียง ยกมือขยับเท้ายังมีความหนักแน่นหลายส่วน
มู่จิ่วใจเต้นเล็กน้อย “นี่คือใคร?”
เสียงของอ๋าวเจียงลอดไรฟันออกมา “ลำดับที่สี่ของตระกูลอวิ๋น!”
นี่คืออวิ๋นซี? น้องชายของหงส์เพลิงอวิ๋นเฉี่ยน?
“เขามาที่โลกมนุษย์ได้อย่างไรกัน?” มู่จิ่วสูดลมหายใจเย็นเข้าไป เปิดปากถามขึ้นมาหนึ่งประโยค แล้วหันหน้ามองไปทางอวิ๋นซี หน้าตาแท้จริงก็ไม่เลว ดังนั้นตามความจริงแล้วพี่สาวของเขาต้องเป็นคนงาม แต่นี่อ๋าวเจียงหมายความว่าอย่างไร?!
“เขาไม่ออกมา ข้าจะจับเขาได้อย่างไร?!” อ๋าวเจียงยิ้มเยาะ จับกระบี่ในมือแน่น
มู่จิ่วฟังสิ่งผิดปกติออก “พูดแบบนี้แสดงว่าเขาถูกเจ้าหลอกออกมา?!”
…………………………………………………