ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 182 สนิทสนมชิดเชื้อ
“พรุ่งนี้เจ้าให้มู่หรงเสี่ยนนำจิ้งจอกน้อยมาที่นี่” คำพูดของลู่ยาเชื่องช้ามั่นคงตามเคย บนใบหน้าเขาไม่เห็นร่องรอยฉากเมื่อครู่อีกแล้ว “เห็นแก่เจ้าที่มาหาถึงที่นี่ ข้าจะไม่รังแกเขาแล้ว”
มู่จิ่วกระแอมไอพูดตอบรับ จากนั้นอาศัยตอนเขาหันไปหยิบพัด รีบพยุงหน้าแดงๆ ออกไปรวดเร็วแบบฟ้าผ่าที่แม้แต่ปิดหูยังไม่ทัน
ลู่ยาหยิบพัดหมุนกลับมาก็ไม่เห็นเงาของนางแล้ว
กลับไปถึงห้อง ใจของมู่จิ่วเต้นราวกับรัวกลอง นั่งอึดอัดคนเดียวอยู่ในห้องมืดสนิทอยู่นาน จนความร้อนบนใบหน้าหายไปบ้างแล้ว จึงค่อยออกไปอีกครั้งเพื่อพบราชาจิ้งจอก
เช้าวันถัดมา มู่จิ่วแบกเอารอบตาดำวงใหญ่ออกมา ก่อนกินข้าวราชาจิ้งจอกไปหาลู่ยาที่ห้อง กราบขอบคุณในบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้ของเขา อีกด้านก็หันไปคารวะมู่จิ่วยกใหญ่ และหยิบเอาเพชรหลากสีก้อนโตหลายชิ้นออกมาให้มู่จิ่ว แสงสว่างนั้นเกือบทำให้พวกมู่เสี่ยวซิงตาบอด!
มู่จิ่วกินข้าวโดยพยายามแสดงออกว่าสงบนิ่ง และแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปยังหน่วยงาน
ไม่อาจไม่พูดว่าราชาจิ้งจอกลงมือรวดเร็ว ตกดึกเพิ่งถึงบ้าน เสี่ยวซิงที่ออกมารับหน้าประตูมีเด็กผู้ชายราวเจ็ดแปดขวบเพิ่มมาอีกคน เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน แววตากระจ่างใส หลังตรงไม่เชิดหน้า ท่าทางสง่างามแต่ไม่ห่างเหิน แค่มองก็เห็นท่าทางการเลี้ยงดูอย่างดีเยี่ยมจากชาติตระกูลดี นี่ไม่ใช่จิ้งจอกน้อยตัวนั้นแล้วจะเป็นใคร?
“พี่สาว” เสียงนี้ก็ว่าง่ายอ่อนโยนอย่างมาก
มู่จิ่วนิ่งไปสักครู่ ส่งเกาลัดคั่วน้ำตาลครึ่งถุงที่ยังเหลือในมือให้เขา
อาฝูมองสมาชิกที่มาใหม่ เอียงหัวประเมินอยู่นาน และเดินหมุนวนรอบเขาอยู่สองรอบ เมื่อรู้สึกว่ามู่จิ่วเดินไปไกลแล้ว จึงรีบพ่นเปลือกเกาลัดออกมาจากปาก เชิดหัวหมุนก้นอ้วนๆ วิ่งไป
มู่จิ่วนำพวกเขามายังลานหลังบ้าน ชี้ไปทางห้องเชื่อมเล็กทางซ้ายของห้องตะวันออก พลางพูดกับจิ้งจอกน้อย “ต่อไปเจ้าอยู่ที่นี่แล้วกัน ใกล้อาจารย์เจ้า อยากกินอะไรอยากเล่นอะไรบอกเสี่ยวซิง ในบ้านยังมีนกต้าเผิงตัวหนึ่ง เจ้าคงยังจำได้ ไม่ต้องเกรงใจ และก็อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนนอก เรือนของข้าที่นี่มีอิสระมาก”
อย่างไรก็ไม่ใช่ศิษย์ของนาง ภายภาคหน้าพวกเขาไปวังชิงเสวียน คนเขาอยากจัดการเขาอย่างไรก็จัดการเขาอย่างนั้น
รุ่ยเจี๋ยพูดขอบคุณอย่างตั้งใจ มองไปรอบๆ ห้อง แล้วกลับไปเอาห่อผ้า
มู่จิ่วสั่งเสี่ยวซิงสักหน่อย ก่อนกลับห้องไป
ที่จริงหากตัดเรื่องนั้นกับลู่ยาไป การมาของจิ้งจอกน้อยเป็นเรื่องน่าดีใจอย่างมาก ใครเห็นจิ้งจอกขนทองหายากขนาดนั้นแล้วไม่ดีใจบ้าง? ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้าใจสถานการณ์ มีมารยาทนัก สำคัญคือเปลี่ยนร่างเป็นคนแล้วยังเป็นเด็กที่น่ารักงดงามขนาดนี้ ช่างไม่เหมือนจิ้งจอกเฒ่าที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
แต่คนแซ่ลู่นั่นช่าง…
ตอนแรกนางกลัวว่าเขาจะนำเรื่องนั้นมาล้อเล่น ดังนั้นจึงหลบเขาอย่างหวาดกลัวอยู่หลายวัน ทั้งยังไม่ได้ไปยุ่งเรื่องรุ่ยเจี๋ย ภายหลังเห็นเขาเหมือนไม่ได้เก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจ มู่จิ่วจึงวางใจ แต่นอกจากวางใจแล้ว ในใจนางยังมีความผิดหวังอยู่เล็กน้อย พูดไม่ถูกว่าคืออะไร สรุปคือหลายวันติดต่อกันนี้ นางมีเรื่องหรือไม่มีเรื่อง สายตาก็ยังปรากฏเงาของเขา
วันนี้ที่หน่วยงาน นางอ่านสมุดคำร้องจบไปสองเล่ม สายตาไปปะทะกับกำไลม่วงทองบนข้อมือ ก็อดเหม่อลอยไม่ได้ อาฝูอยู่ข้างๆ กัดขาโต๊ะเล่น กัดอยู่นานจึงค่อยเปลี่ยนมากัดรองเท้านาง มู่จิ่วก้มตัวลงจับสองขาหน้าเขาขึ้นมา ถอนหายใจพูด “ต่อไปเขาต้องกลับวังชิงเสวียน ใครจะมาสอนเจ้าฝึกพลัง?”
อาฝูกะพริบตามองมู่จิ่ว ยื่นลิ้นเล็กๆ เลียหัวแม่โป้งนาง สัตว์ที่เมื่อครู่ซุกซนอย่างมากพลันเปลี่ยนเป็นเชื่อง
มู่จิ่วบีบหน้าอ้วนๆ ของเขา พูดอีก “ทำไมเจ้าไม่ไปเล่นกับรุ่ยเจี๋ย?”
จิ้งจอกน้อยเพิ่งเข้ามาเป็นศิษย์ วิชายังไม่หนัก ทุกวันนอกจากจัดการเรื่องของตนให้ดี ก็อยู่ข้างกายลู่ยาจนเป็นวิถีที่คุ้นเคย เวลาที่เหลือก็อยู่กับเสี่ยวซิง หรือนั่งอยู่ตรงระเบียงทางเดินชมดอกไม้ใบหญ้า เขาทำงานบ้านไม่เป็น เสี่ยวซิงก็ไม่ให้เขาทำ แต่ไม่ว่าเวลาไหนเขาก็ว่าง่ายมาก ทำให้มู่จิ่วอดคิดถึงเขาบ่อยๆ ไม่ได้
อาฝูกลับเกาะติดนางแน่นขึ้น ตอนนี้ปีนขึ้นมาอยู่บนตักไม่ยอมเคลื่อนย้าย หากไม่ใช่เพราะมู่จิ่วเป็นกึ่งเซียน ต่อไปจะไม่โดนเขาทับจนแบนหรือ?
แต่นางก็ตระหนักได้ อาฝูระแวดระวังกับสมาชิกผู้มาใหม่ตัวน้อยนี้ จนถึงตอนนี้สี่ห้าวันแล้ว เขายังไม่มีปฏิสัมพันธ์อันใดกับรุ่ยเจี๋ย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวนี้คิดอะไรอยู่
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ช่วงเช้านางช่วยเสี่ยวซิงไปเก็บฟักทองที่สวนด้านหลัง พลันได้ยินใต้เพิงต้นแตงมีเสียงคนคุยกัน จึงยื่นมือไปจับต้นไม้แหวกดู ที่แท้เป็นอาฝูกับรุ่ยเจี๋ยสองคน รุ่ยเจี๋ยหิ้วตระกร้ากำลังเก็บดอกพุดตาน เห็นอาฝูที่เชิดก้นขึ้นจ้องมองเขาอย่างดุร้ายถึงพูดต่อ “เจ้าวางใจ ข้าไม่แย่งพี่สาวกับเจ้าหรอก”
อาฝูยังคงจ้องเขาแน่นิ่ง ท่าทางไม่เชื่อถือ
รุ่ยเจี๋ยนั่งลงบนหิน วางตระกร้าลง หยิบขนมถั่วตัดออกมาจากอกสองชิ้น พูดว่า “นี่ ให้เจ้ากิน”
อาฝูยืดคอมองถั่วตัดนั้น ลิ้นเล็กๆ ยื่นออกมาเลีย แต่ไม่กิน
“เช่นนั้นข้ากินก่อน!” รุ่ยเจี๋ยปอกชิ้นหนึ่งใส่เข้าไปในปาก เห็นน้ำลายเสือตรงหน้าหยดติ๋งติ๋ง อาฝูที่น่าเกรงขรามเคร่งขรึมหายไปไม่เหลือนานแล้ว จึงหยิบเอาก้อนที่เหลือวางเข้าไปในปากเขา ก่อนกล่าว “เด็กน้อยไม่ควรกินน้ำตาลมากไป อาจารย์ให้นี่เป็นรางวัลแก่ข้า ต่อไปมีอะไรอร่อยข้าล้วนแบ่งกับเจ้า” เขาพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อมาเช็ดน้ำลายให้อาฝู
ก้นที่เชิดขึ้นของอาฝูค่อยๆ ลดลง สายตาเปลี่ยนไปอ่อนโยนเหมือนแมว หมอบอยู่ใต้เท้ารุ่ยเจี๋ยเหมือนสัตว์เชื่องๆ
รุ่ยเจี๋ยลองยื่นมือไปลูบหัวเขา อาฝูก็ยื่นอุ้งเท้าอ้วนๆ ไปกวนเขาจนคัน รุ่ยเจี๋ยทนไม่ได้ กอดหัวเขาหัวเราะคิกคัก
ช่างไม่เอาไหนจริงๆ เลย! ได้ขนมก็ยื่นมือให้แล้ว
มู่จิ่วต่อว่าอาฝูเบาๆ ไปที แต่ก็อดยิ้มไม่ได้
หลังจากนั้นตัวน้อยทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น อาฝูเห็นได้ชัดว่าไม่เบื่อขนาดนั้นแล้ว ทุกวันช่วงเช้าตอนลู่ยาสอนรุ่ยเจี๋ยฝึกฝน อาฝูก็ไปที่หน่วยกับมู่จิ่ว ตอนบ่ายรุ่ยเจี๋ยถึงพาอาฝูไปเดินเล่น หรือสอนเขาฝึกพลังอะไรก็แล้วแต่ ถึงแม้พูดไปแล้วอาฝูคือ ‘ศิษย์พี่’ แต่อายุของรุ่ยเจี๋ยกลับมากกว่าเขา พลังบำเพ็ญก็สูงกว่า เป็นธรรมดาที่สามารถชี้นำได้
แม้แต่บนโต๊ะอาหาร รุ่ยเจี๋ยมักจะโยนอาหารที่อาฝูชอบให้เขา กินปลายังดึงก้างให้ ไม่นานตำแหน่งของรุ่ยเจี๋ยในใจอาฝูก็เกินหน้าเสี่ยวซิงและซ่างกวนสุ่น ตามหลังแค่มู่จิ่วเท่านั้น
ตั้งแต่เด็กรุ่ยเจี๋ยมีพี่ชายพี่สาวยอมให้ มารดาก็สอนให้เขาเข้าใจเรื่องการถอยให้คน
แต่ตัวเขาเองก็ยังเป็นเด็ก กลับยังทุ่มเทดูแลอาฝูผู้เป็น ‘ศิษย์น้อง’ ช่างไม่เหมือนใครเลย!
ซ่างกวนสุ่นเห็นเสี่ยวซิงมองคู่สนิทสนมชิดเชื้อคู่นี้จนตาถลน จึงเอาขาไก่ในชามของตนส่งให้นาง
ลู่ยาเหลือบมองพวกเขาคราหนึ่ง จากนั้นนำใก่ในชามตนส่งไปตรงหน้ามู่จิ่ว
มู่จิ่วหน้าแดงอยู่ตรงหน้าไก่ ก้มหน้ากินข้าวไป
…………………………………………………