ท่านเทพมาแล้ว - ท่านเทพมาแล้ว - ตอนที่ 183 ภัยพิบัติพันปี
ที่จริงหลายวันมานี้ลู่ยาปกติมาก
ไม่ว่าเรื่องสอนอาฝูและฝึกฝนรุ่ยเจี๋ย หรือจะเรื่องการงานในชีวิตประจำวัน เวลาคุยกับนางก็ไม่มีความรู้สึกไม่ดีอะไรแม้แต่น้อย
เรื่องนี้เหมือนทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกัน นอกจากตอนอยู่คนเดียวบางครั้ง มู่จิ่วแอบหวนคิดไปถึงเรื่องที่เกือบเกิดขึ้นคืนนั้น ก็ไม่มีผู้อื่นรู้สึกผิดปกติอะไร
วันคืนเหมือนกระสวยทอผ้าเคลื่อนผ่านไปข้างหน้า
งานในหน่วยหากอยู่ในมือแล้วก็ไม่มีอะไรต้องกังวล วันนี้มาถึงห้องทำงาน นางวางอาฝูลงให้เขาไปทำตัวเป็น ‘เจ้าป่า’ อ่านแฟ้มคดีไปหลายเล่มก็อยากจะงีบหลับ กลับได้ยินนอกประตูพลันมีเสียง ‘บรู๊ว’ เสียงหนึ่งดังเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงของหนักตกลงบนพื้น!
นางเปิดตาขึ้นทันที เห็นอาฝูที่อ้วนเป็นลูกกลมๆ เหมือนกับก้อนเนื้อร่วงลงมาบนพื้นนอกประตู ทั้งยังกระเด้งอีกสองครั้ง…
มีคนกล้าแหย่อาฝู?!
นางตาสว่างขึ้นทันที ผลักเก้าอี้พุ่งออกไป ชักกระบี่ไปถึงข้างกายอาฝู
แต่อาฝูเร็วกว่านางนัก เขาเจตนาดีต้องการเล่นกับคน แต่คนกลับโยนเขาขึ้นไปบนฟ้า หรือลืมไปแล้วว่าเขาคือลูกหลานสัตว์เทพสงครามโบราณ? เขาลุกขึ้นมาก่อนพุ่งเข้าหาคนที่ยืนอยู่ตรงประตูทันทีราวกับสายฟ้าแลบ!
“อาฝู!”
มู่จิ่วตามเข้าไป มองเห็นคนเสื้อขาวกระโดดขึ้นกำแพงไปอย่างรวดเร็วภายใต้อุ้งเท้าเสือ คำพูดที่เหลืออยู่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร!
“กัวมู่จิ่ว! นี่เป็นเสือมาจากไหน?!”
อ๋าวเจียงยืนอยู่บนกำแพง หลังแนบต้นสนด้านหลัง ถึงแม้หลบการโจมตีของอาฝูได้ แต่เผชิญหน้ากับเขาที่ยังคำรามอย่างโกรธเคือง กลับไม่กล้าผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย “เจ้ารีบจับเขาออกไป!”
มู่จิ่วลูบหัวอาฝู พลางเงยหน้า “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
ตอนนี้เขามิใช่ต้องรีบเจรจาเอากุญแจจันทรากลับมาจากตระกูลอวิ๋นหรือ? หรือไม่ก็รีบปลอบใจอ๋าวเยวี่ย ทำไมถึงสนใจมาถึงทัพทหารสวรรค์ล่ะ?
อาฝูยังคงร้องอยู่ใต้ฝ่ามือนาง ก้นยกสูงกว่าหัว ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างจ้องอ๋าวเจียงพลางรอโอกาสลงมือ
อ๋าวเจียงกระโดดลงมาที่พื้น เลือกลงที่ห่างจากอาฝู ยืนนิ่งพูดว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญมาหาเจ้า เข้าไปค่อยพูด!”
พูดจบก็เข้าไปในห้องทำงานนางอย่างรวดเร็ว
มู่จิ่วไม่รู้ว่าเขามีเรื่องหนักหนาอะไร นางส่งอาฝูให้ลูกน้อง ก่อนเดินตามเข้าไป
คนที่ผ่านประตูมาแล้วเป็นแขก นางกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปยกผลไม้และชาหลายอย่างเข้ามา จากนั้นค่อยนั่งลงถามเขา “เจ้ามาได้อย่างไร? มาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
อ๋าวเจียงกรอกชาเต็มแก้วลงท้อง จากนั้นมองนางเงียบๆ “พ่อของข้าใกล้ตายแล้ว”
“ใกล้ตายแล้ว?”
มู่จิ่วตกใจคำพูดนี้ของเขาอย่างแท้จริง อ๋าวเชินคนนั้นสมควรตาย แต่มีคำพูดที่ว่า คนดีชีวิตสั้นคนเลวชีวิตยืนยาวมิใช่หรือ? เขาเป็นขยะในโลกเซียน ต้องมีชีวิตอยู่นานกว่าถึงจะถูก จะว่าไปแล้วเขาแข็งแกร่งขนาดนั้น ยังมีใจเลี้ยงดูภรรยาน้อย ดูจากท่าทางแล้วไม่เลว ทำไมถึงจะตายแล้ว?
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าวางยาเขา?” นางลองพูดดู นี่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ นางเห็นกับตาตนเองว่าเพื่อปกป้องอวิ๋นเฉี่ยน อ๋าวเชินกลับไม่สนใจว่าอ๋าวเจียงถูกรังแก แล้วยังดุด่าเขาด้วยกันกับตระกูลอวิ๋น หากอ๋าวเจียงทนไม่ได้ขึ้นมาตอนไหน แล้วทำเหมือนกับที่หลินเจี้ยนหรูลงมือกับพ่อของเขาเล่า?
คงไม่ใช่ว่าเร็วขนาดนี้ฟ้าก็ลงโทษแล้วนะ?
“ไม่ใช่!” อ๋าวเจียงจ้องนางอย่างอารมณ์ไม่ดี “ข้าเป็นคนแบบนั้นหรือ?”
มู่จิ่วเลิกคิ้วไม่พูด บนโลกนี้ใจคนมากมายยากแท้หยั่งถึง หลินเจี้ยนหรูผู้นั้นไม่ใช่ว่าสังหารหลินเซี่ยแล้วหรือ
อ๋าวเจียงเห็นสีหน้าของนางก็โกรธอย่างมาก แต่ชัดเจนว่าไม่มีเวลาต่อปากต่อคำกับนาง
เขากำมือจ้องพื้นเงียบ จากนั้นจึงพูด “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่ออกมาจากวังประจิมไสววันนั้น จิตใจของเขาไม่ค่อยดี คืนนั้นกินข้าวมื้อค่ำ ทำตะเกียบหล่นถึงสองครั้ง ภายหลังพักผ่อนสองวันก็ไม่ฟื้นฟู วันที่สามเขานำเหยี่ยวพิษนั้นไปทิวเขาริ้วหยก ระหว่างทางกลับล้มกลิ้งลงจากเกี้ยวหยก
“ข้ากับพี่ใหญ่พี่รองไปรับเขากลับมา ภายหลังฟื้นสติขึ้น แต่ตลอดมาจนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถลงจากเตียงได้ เขายิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ ข้าดูแล้วผิดปกติอย่างมาก คิดจะบอกปู่ของข้า แต่ไม่รู้ว่าปู่ไปเยี่ยมใครที่ไหน ข้าเองก็ไม่กล้าไปที่ทะเลตะวันออกทำให้คนแตกตื่น คิดไปคิดมาจึงขึ้นมาสวรรค์”
มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้ก็จริงจังขึ้นมา
นางคิดไม่ถึงว่าอ๋าวเชินจะป่วยจริง และยังป่วยตั้งแต่วันที่พวกเขาออกจากวังมังกร เขาโกรธหรือเขาร้อนใจ? แต่ถึงแม้ป่วยเพราะร้อนใจและโมโหก็พูดเกินจริงไปหน่อย เขาเป็นเผ่าพันธุ์เทพ และยังเป็นราชามังกรที่ได้รับการแต่งตั้ง จะอ่อนแอเหมือนคนธรรมดาได้อย่างไร?
แต่คิดกลับไปวันนั้นตรงหน้าโบตั๋นม่วง แท้จริงจิตใจเขาก็ไม่ค่อยปกตินัก หรือเขาป่วยนานแล้ว?
“แม่เจ้าว่าอย่างไรบ้าง?” นางถาม
คำถามนี้ยิ่งทำให้คิ้วของอ๋าวเจียงขมวดมุ่นมากขึ้น “เจ้าก็รู้ ความบาดหมางระหว่างพ่อแม่ข้าลึกซึ้งนัก พ่อข้าทำให้นางเจ็บปวดใจ นางไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของเขามาหลายปี ครั้งนี้นางก็ไม่สน”
มู่จิ่วไม่รู้จะพูดอะไรดี
ใจของราชินีมังกรคงมอดเป็นเถ้าไปแล้ว
มีหญิงคนไหนเจอเรื่องแบบนี้แล้วใจไม่สลายบ้าง? แต่ในเมื่อราชินีมังกรใจแข็งถึงขั้นแม้แต่อ๋าวเชินใกล้ตายก็ยังไม่ไปดู ทำไมนางถึงไม่ตัดใจจากเขา? และก็ไม่เห็นนางแย่งชิงอ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยน หากนางอาลัยอ๋าวเชิน หลายปีนี้ความจริงต้องมีการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยก็ต้องไม่ปล่อยเรื่องของเขากับอวิ๋นเฉี่ยนโดยไม่สนใจมิใช่หรือ?
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางไม่ไปสนใจเขา คนนอกก็ไม่มีสิทธิบ่นอะไรอยู่ดี
นางครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนพูด “เช่นนั้นเจ้าคิดให้ข้าช่วยเจ้าทำยารักษาหรืออย่างไร?”
“หากเจ้ามีวิธีรักษาเขา แน่นอนว่ายิ่งดี” อ๋าวเจียงใจไม่ค่อยอยู่กับตัว เห็นชัดว่าไม่ได้หวังในตัวนาง เขาพูด “แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าเรื่องอื่น พี่สาวใหญ่ของข้าจนถึงตอนนี้ยังหาไม่เจอ พวกเราต้องการไปหาตระกูลอวิ๋น ตอนนี้กุญแจจันทรามีประโยชน์ต่อพ่อข้ามาก ข้ายังหวังให้พวกเขาเอากุญแจคืนมา!”
“และสักแปดส่วนพวกเขาคงไม่ยินยอม เจ้าเป็นคนของหน่วยลาดตระเวน ใช้ฐานะของเจ้าหน้าที่สวรรค์ไปพูด พวกเขาอาจไว้หน้าให้บ้าง ยังมีร่องรอยของกุญแจจันทราหยาง…ข้าไม่มีเบาะแสเลย ข้ารู้ของขวัญที่ให้ไปไม่มีเหตุผลที่จะเอากลับคืน แต่ตอนนี้พ่อข้าอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ข้าไม่อาจไม่ทวงคืนได้”
ลากนางเข้าร่วมเรื่องนี้?
เขาช่างหาเรื่องให้นางเก่งนัก!
ทำไมตั้งแต่รู้จักเขานางถึงไม่เจอเรื่องดีเลยสักเรื่อง?
มู่จิ่วคิดปฏิเสธ เรื่องนี้แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่เรื่องที่นางจะแก้ไขได้
แต่ก่อนต่อหน้าพวกเขา อ๋าวเชินยังมีเกียรติอยู่หลายส่วน ตอนนี้เรื่องนี้เปิดเผยแล้ว ตระกูลอวิ๋นยังสามารถยินยอมตระกูลอ๋าวได้หรือ?
นางดื่มชาไปครึ่งคำ วางแก้วลง “เจ้าไปหาคนอื่นเถอะ ข้าไปก็ไม่มีประโยชน์”
กุญแจจันทราสำหรับตระกูลอวิ๋นแล้วสำคัญมาก ไม่ง่ายที่พวกเขาจะได้มาอันหนึ่ง สามารถรักษาชีวิตของอวิ๋นรองไว้ได้ จะปล่อยมันไปเพราะคำพูดเดียวของสวรรค์ได้อย่างไร? และราชามังกรกลับป่วยตอนนี้ พวกเขาต้องไม่เชื่อแน่ มีแต่จะเข้าใจว่าทะเลสาบน้ำแข็งเปลี่ยนวิธีเอาของที่ให้ไปแล้วคืน
สรุปคำเดียว กุญแจจันทราอยู่ในมือตระกูลอวิ๋น ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้คืนมา
…………………………………………………………